ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 385

บทที่ 385 ยอมรับผิด (1)

‘ชิ้ง!’

สวี่ชีอันสะบัดข้อมือ มีดยาวสีดำทองส่งเสียงเบาๆ คราบเลือดอันน่าสยดสยองกระจายอยู่บนแท่นประหาร

ดวงตาของเขากวาดมองเจ็ดวีรบุรุษที่คุกเข่าอยู่ใต้แท่นอย่างช้าๆ กวาดตามองทหารรักษาวังและฝูงชนคับคั่ง สูดหายใจลึกพร้อมเอ่ยเสียงดัง

“ในวันนี้สวี่ชีอันสังหารสองชาติชั่ว ไม่ใช่เพื่อระบายความโกรธหรือความแค้นส่วนตัว แต่เพื่อปณิธานที่สุมอยู่ในอก เพื่อล้างแค้นแทนใต้เท้าเจิ้ง เพื่อบอกบางอย่างแก่ราชสำนัก…”

ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา ฉากเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียง ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ

น้ำเสียงของสวี่ชีอันดังก้องและทรงพลัง แต่แฝงด้วยความลุ่มลึกยากจะอธิบาย “หากสวรรค์มีความรู้สึกจักอาดูร เส้นทางที่ถูกต้องของโลกมนุษย์กลับตาลปัตรสิ้น”

สายตาของสวี่ชีอันระผ่านฝูงชนตรงนั้น มองไปที่ท้องฟ้าสีครามอันห่างไกล ท่ามกลางเมฆสีขาว คล้ายจะเห็นร่างเงาทื่อๆ โค้งคารวะเขาอยู่

สวี่ชีอันโค้งคารวะกลับโดยไม่เงยหน้าขึ้นอยู่นาน

ใต้เท้าเจิ้ง เดินทางสู่สุคติ

หากสวรรค์มีความรู้สึกจักอาดูร เส้นทางที่ถูกต้องของโลกมนุษย์กลับตาลปัตรสิ้น…บนสันหลังคาไกลออกไป ร่างอันบอบบางของฮว๋ายชิ่งในชุดขาวดุจหิมะสั่นระริก พึมพำในปากไม่หยุด บ้าไปแล้ว

เส้นทางที่ถูกต้องของโลกมนุษย์กลับตาลปัตรสิ้น นี่คือศรัทธาที่ยึดมั่นอยู่ในใจเจ้างั้นรึสวี่ชีอัน นอกฝูงชน หญิงสาวหน้าตาสวยดาษดากุมใจ ได้ยินมันเต้นแรงตึกตัก

รอบลานประหารไช่ซื่อโข่ว มีผู้คนมารวมตัวกันเป็นกลุ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมาเป็นพักๆ พวกเขาก้มหน้า ไม่ก็ปาดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

“ท่านพ่อร้องไห้ทำไม ทำไมเหล่าใต้เท้าถึงร้องไห้กันหมดเลย”

ในตำแหน่งที่ไม่แออัดนัก เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นและกะพริบตาปริบๆ

ชายหนุ่มอุ้มเด็กน้อยขึ้นวางบนไหล่แล้วเอ่ยเสียงเบา “มองชายผู้นั้นและจงจำประโยคนี้ไว้ ต้องจำประโยคนี้และต้องจดจำเขาไว้ให้ได้ จากนี้ไปไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไร เจ้าจงอย่าว่าร้ายเขา”

“เขาเป็นใครหรือ ทำไมข้าต้องว่าร้ายเขาด้วย” เด็กน้อยถามอย่างแปลกใจ

“เขาเป็นวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง ทว่านับจากนี้เขา อาจจะกลายเป็น ‘คนไม่ดี’”

สวี่ชีอันรับฝักดาบกลับมา ดึงมีดแกะสลักที่ตอกอยู่บนแท่นออกดังกังวานและกำอยู่ในมือ ทหารระดับสูงสิบกว่านายรอบแท่นประหารถอยห่างเรื่อยๆ ด้วยความประหลาดใจ

เขาไม่แยแสราวกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ก้าวลงจากแท่นประหารและเดินออกไปทีละก้าวๆ

ระหว่างนั้นก็เปิดถุงหอมพิเศษที่หลี่เมี่ยวเจินมอบให้เบาๆ และเก็บสองวิญญาณลงไปในถุง

ผู้คนที่แออัดเต็มท้องถนนและฝูงชนคับคั่งต่างถอยออกเปิดทางเดินเป็นแนวตรง

“สวี่อวิ๋นหลัว ตาแก่คนนี้ขอคารวะ”

นักปราชญ์อาวุโสผมขาวโพลนประสานมือคารวะ

“สวี่อวิ๋นหลัว ตาแก่คนนี้ขอคารวะ”

ไม่มีการรวมตัว ไม่มีการเชิญชวน ผู้คนตรงนั้นต่างประสานมือคารวะ แม้การเคลื่อนไหวจะไม่พร้อมกัน ทว่าพวกเขาต่างทำออกมาจากใจ

ฮว๋ายชิ่งมองกราดฉากนี้จากบนสันหลังคา ตกอยู่ในภวังค์อยู่สักพัก นางเป็นธิดาองค์ใหญ่ของจักรพรรดิ องค์หญิงผู้สง่าผ่าเผย อย่าว่าแต่คนนับพันก้มหัวให้ คนนับหมื่นนางก็เคยพบเจอ

เช่นพระบิดาผู้เป็นจักรพรรดิผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม คนรอบข้างต่างยำเกรงอำนาจของเขา ยำเกรงอาภรณ์มังกรบนร่างของเขา

มีเพียงสวี่ชีอัน ผู้คนต่างเคารพเขาและรักเขาล้วนมาจากใจ ไม่ใช่กับคนอื่นแต่กับเขาผู้นี้เท่านั้น

ทหารรักษาวังที่แออัดบนถนนก่อจลาจลขึ้น ทอดมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา ในคราแรกก็ไม่รู้ว่าควรลงมือหรือถอยหนีดี

พวกเขาอดมองผู้บัญชาการทั้งสามไม่ได้ พบว่าผู้บัญชาการและทหารนายอื่นๆ ยืนนิ่งอยู่ไกลออกไป ไม่มีเจตนาจะขัดขวางแม้แต่น้อย

“ฮี้ๆ…”

ม้าส่งเสียงร้อง ผลักสองข้างออกเพื่อเปิดทาง

เมื่อเดินออกมาหลายร้อยก้าวเขาก็หยุดลงและทอดมองไปทางพระราชวัง

น้ำพยุงเรือให้ลอยได้ก็ทำให้คว่ำได้เช่นกัน เจ้าไม่ยอมรับผิดก็จะมีคนบังคับให้เจ้ายอมเอง…

บัดนี้ด้านนอกประตูอู่เหมิน บรรดาขุนนางต่างไม่ได้แยกย้าย ยังอดทนรอข่าวส่งกลับมา

ยิ่งกว่านั้น หากเกิดศึกใหญ่ในเมืองขึ้นจริงๆ แน่นอนว่ารออยู่ในพระราชวังนั้นปลอดภัยที่สุด ยอดฝีมือในพระราชวังมีมากมาย ถึงแม้ว่าในยามปกติพวกเขาจะไม่ได้แสดงฝีมือมากนัก

พระราชวังอยู่ติดกับค่ายของทหารรักษาวัง โดยมีร้อยศึก เทวากล และทัพอาชาสามค่ายใหญ่ มีทหารรักษาวังทั้งสิ้นหนึ่งแสนนาย ซึ่งเป็นกองกำลังใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิโดยตรง

ท้ายที่สุดขุนพลและขุนนางคุณูปการด้านในอันที่จริงก็มียอดฝีมือมากมาย ขั้นห้าเฉกเช่นเชวียหย่งซิวก็มีไม่น้อย

เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊มากมายต่างกระซิบกระซาบหารือว่าจะยุติเรื่องนี้อย่างไร เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงสองบรรดาศักดิ์กงเป็นหรือตาย

ทว่าพวกเขาต่างใจเลื่อนลอย สายตาทองมองไปทางประตูวังอยู่บ่อยครั้ง

ในที่สุดทหารชุดเกราะนายหนึ่งกดด้ามมีด พุ่งทะยานเข้ามาจากนอกวัง

สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวมาข้างหน้าขวางทหารชุดเกราะไว้ แล้วเอ่ยเสียงขรึม “สถานการณ์นอกวังเป็นอย่างไรบ้าง ทหารรักษาวังเอาชนะสวี่ชีอันได้ไหม เฉากั๋วกงกับฮู่กั๋วกงปลอดภัยดีหรือไม่”

ทหารรักษาวังนายนี้จะไปทูลรายงานกับองค์จักรพรรดิ ไม่อยากโต้ตอบกับสมุหราชเลขาธิการหวาง จึงเบี่ยงตัวหลบเลี่ยงและเดินหน้าต่อ

ทว่าขุนพลหลายนายก็ขวางทางไว้พร้อมตะคอก “พูดสิ!”

เสียงฝีเท้าดัง ‘ตุ้บตั้บ’ ขุนพลบู๊บุ๋นต่างระดับขั้นนับร้อยนายก้าวมาด้านหน้า กรูเข้ามาพร้อมกัน

“…” ทันทีที่ทหารชุดเกราะได้รับแรงกดดันในแบบที่ไม่ควรมีจึงกัดฟันพูด

“เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกลากมาตัดหัวที่ลานประหารไช่ซื่อโข่วแล้ว”

เมื่อกล่าวจบก็รีบจากไป

เฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกลากไปฆ่าที่ลานประหารไช่ซื่อโข่วแล้ว…ข่าวนี้ทำให้ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นพูดไม่ออกอยู่นาน

แม้ขุนนางที่อยู่ตรงนั้นจะรู้อยู่แก่ใจว่าสวี่ชีอันเป็นคนอย่างไร โดยเฉพาะเจ้ากรมซุน หัวหน้าผู้พิพากษาศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ที่เคยเป็นอริกับเขา

ทว่าเมื่อได้รับการยืนยันว่าเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงถูกตัดหัวจริงๆ ในใจพวกเขาก็ต่างคิด ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหมือนเดิม

“ช่างเป็นคนไร้กฎเกณฑ์เสียจริง…” ขุนนางเอ่ยกระซิบกระซาบ

“เขาเป็นคนน่ารังเกียจ” เจ้ากรมซุนมองคนผู้นั้นเช่นกัน ชะงักอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม

“แต่ก็เป็นคนที่น่านับถือเช่นกัน”

ขุนนางบุ๋นหลายคนที่ใกล้ชิดกับเจ้ากรมซุนรอบๆ มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา

เจ้ากรมซุนเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข้าอยากจะแล่เนื้อเจ้านี่ออกเป็นชิ้นๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงความแค้นส่วนตัวของข้า เชวียหย่งซิวช่วยทรราชทำชั่ว สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่าสามแสนแปดหมื่นคน ศิษย์ชั่วที่สวรรค์มิอาจทนนิ่งดูดาย ฆ่าไปเสียก็ดี”

ฆ่าไปเสียก็ดี…ขุนนางบุ๋นมากมายต่างพูดประโยคนี้ในใจเบาๆ

ในบรรดาพวกเขาบางคนยอมประนีประนอมเพื่อผลประโยชน์ บางคนไม่กล้าต่อต้านอำนาจจักรพรรดิ บางคนเห็นว่าไม่ใช่กงการของตน รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี บางคนในใจอัดอั้นด้วยความแค้น แต่สถานการณ์บังคับให้เงียบ

ทว่าถูกหรือผิด แต่ละคนล้วนมีตาชั่งอยู่ในใจ

เว่ยเยวียนกับสมุหราชเลขาธิการหวางสบตากัน ไม่ประหลาดใจราวกับคาดเดาเหตุการณ์ไว้แล้ว

“หนึ่งวันพอหรือไม่” เว่ยเยวียนเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“พอ” สมุหราชเลขาธิการพยักหน้าเบาๆ

ในห้องบรรทม

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงยืนเอามือไพล่หลัง หันหลังให้ประตูโดยไม่ตรัสสิ่งใด ขันทีอาวุโสข้างกายก้มศีรษะน้อยๆ ไม่กล้าส่งเสียง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง