บทที่ 386 ราชโองการรับผิด
สำนักอวิ๋นลู่ เจ้าสำนักจ้าวโส่ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสาม
บุคคลยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในลัทธิขงจื๊อยุคนี้
จ้าวโส่วไม่ใช่แค่เป็นตัวแทนของตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของทั้งสำนักอวิ๋นลู่ เป็นตัวแทนของปัญญาชนในลัทธิขงจื๊อทุกคน
ดังนั้นเขาจึงนำดาบสลักมา
เป็นเพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งมองเห็นดาบสลัก สีหน้าของเขาจึงซีดเผือดในทันใด ตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ นี่เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิวัยเก้าสิบห้าปีผู้นี้รู้สึกถึงภัยคุกคามต่อความตายเป็นครั้งแรกในพระราชวัง
“เจ้าเข้ามาในเมืองหลวงได้อย่างไร เจ้าเข้ามาในวังได้อย่างไร…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแล้วชี้นิ้วไปที่เขา อารมณ์พลุ่งพล่านเต็มที่ “ท่านโหราจารย์ ท่านโหราจารย์ รีบมาคุ้มกันเดี๋ยวนี้!”
ทหารรักษาวังหนึ่งกองจะวิ่งออกไปนอกท้องพระโรง แต่กลับถูกม่านแสงใสกั้นเอาไว้
“ลัทธิขงจื๊อไม่สังหารราชา แต่จะฆ่าโจร”
สีหน้าของจ้าวโส่วเผยให้เห็นความไม่เกรงกลัวต่อความตาย “จ้าวโส่วเป็นตัวแทนของลัทธิขงจื๊อ ต้องการคำสัญญาของเจ้า สัญญาข้อแรก ยอมรับผิดเดี๋ยวนี้ คำสัญญาที่สอง สวี่ชีอันวอนขอชีวิตให้ประชาชนและร้องทุกข์ให้กับใต้เท้าเจิ้ง ทั้งยังไม่เคยกระทำความผิด เจ้าต้องออกราชโองการสรรเสริญเขา ยืนยันว่าเขาไร้ความผิด และไม่ทำร้ายคนในตระกูลของเขาด้วย”
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งซีดเผือด เขากวาดตามองทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง ‘ปัญญาชนจากราชวิทยาลัยหลวงกลุ่มนี้ไม่มีใครกล้าออกหน้าคัดค้านสักคน ราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่ร่วมมือกันโดยที่ข้าไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ?’
“จะให้ข้าออกโองการรับผิดก็ช่าง แต่เหตุใดต้องปกป้องสวี่ชีอันผู้นั้นด้วย”
จ้าวโส่วแย้มยิ้มแล้วประกาศออกมาอย่างใจเย็น “ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยบอก สวี่หนิงเยี่ยนเป็นลูกศิษย์ของข้า”
‘อะไรนะ!’
ขุนนางทั้งราชสำนักตกตะลึงอ้าปากค้าง หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสวี่ชีอันคนนั้น ผู้ชายธรรมดาๆ คนนั้นกลับเป็นศิษย์เข้าสำนักของเจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่อย่างนั้นหรือ
‘เขา เขากลับเป็นปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อด้วยอย่างนั้นหรือ?’
‘สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะกวี…’
‘แน่นอนว่าผู้ที่สามารถเขียนผลงานเลื่องชื่อมากมายเช่นนั้นออกมาได้ จะไม่ใช่ปัญญาชนจากลัทธิขงจื๊อได้อย่างไรกันเล่า…’
‘คนกันเองนี่นา…’
ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาในสมองของทุกคน
เว่ยเยวียนขมวดคิ้วแล้วมองจ้าวโส่ว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“เจ้าจะให้ข้ายกโทษให้คนทรยศที่ตัดศีรษะกั๋วกงเช่นนั้นหรือ เจ้าจะให้ข้ายอมให้เขาเข้ามาเป็นขุนนางในท้องพระโรงต่อหรือ ฮ่าๆๆๆ…”
คำขอของจ้าวโส่วราวกับทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งพิโรธอย่างหนัก ทำให้เขาเกือบจะตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง หัวเราะราวกับเป็นบ้าไปแล้ว
“จ้าวโส่ว ข้าเป็นผู้ปกครองอาณาจักร เป็นโอรสสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ากล้าสังหารข้าจริงๆ หรือ ข้าจะใช้ชีวิตมาเดิมพันชะตากรรมกับลัทธิขงจื๊อ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่บ้าคลั่งใช้เท้าเตะโต๊ะเล็กตรงหน้า แล้วก้าวไม่กี่ก้าวไปชี้หน้าตำหนิจ้าวโส่ว “คิดจะรังแกกันหรือ รังแกกันเกินไปแล้ว ข้ายังมีท่านโหราจารย์อยู่นะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านโหราจารย์จะนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้เจ้าลงมือ”
เขาไม่เชื่อว่าจ้าวโส่วจะแลกชีวิตของตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ เขารู้ว่าความปรารถนาตลอดชีวิตของจ้าวโส่วคือการทำให้สำนักอวิ๋นลู่กลับมารุ่งเรือง
และเขายิ่งไม่เชื่อว่าท่านโหราจารย์จะนั่งนิ่งแล้วมองดูจักรพรรดิถูกสังหาร เว้นแต่ว่าท่านโหราจารย์คิดจะตัดขาดกับโชคชะตาของต้าฟ่ง และเว้นเสียแต่ว่าท่านโหราจารย์จะไม่อยากเป็นโหรระดับหนึ่ง
ภายใต้การกดดันจากขุนนางทั้งหลายและการคุกคามจากจ้าวโส่ว จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตกในสภาวะใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ
ตอนนี้เอง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในท้องพระโรง แล้วกลายเป็นภาพมายาของชายชราเคราขาวชุดขาวกลางอากาศ
“หยวนจิ่ง ออกราชโองการรับผิดเสีย!”
จิตใจของจักรพรรดิหยวนจิ่งตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เขาถอยหลังตัวสั่นเทาและล้มลงบนบัลลังก์มังกร
แววตาของเขาเลื่อนลอย สีหน้าทรุดโทรมราวกับเป็นชายชราที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง ราวกับเป็นผู้แพ้ที่ถูกผู้คนทรยศและญาติมิตรลาจาก
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางถึงสามารถร่วมมือกับขุนนางทั้งหลายเพื่อบีบให้เขาออกราชโองการรับผิดได้ เขารู้แล้วว่าเหตุใดจ้าวโส่วถึงกล้าเข้ามาในเมืองหลวงและบีบให้เขารับผิด
เพราะทุกอย่างนี้ล้วนได้รับความเห็นชอบจากท่านโหราจารย์
หลังจากพูดประโยคนี้จบ ชายชราชุดขาวก็ค่อยๆ สลายหายไป
ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบสนิท
จนกระทั่งจ้าวโส่วเอ่ยออกมาทำลายความเงียบ “เขาไม่คิดจะกลับมาเป็นขุนนางในท้องพระโรงแล้ว”
เขาคือใคร?
ย่อมหมายถึงชายหนุ่มธรรมดาที่ตะโกนบอกว่าจะไม่เป็นขุนนางผู้นั้น
จักรพรรดิหยวนจิ่งงุนงงไม่เข้าใจ เขานั่งอยู่ในความสับสน ราวกับชายชราไม้ใกล้ฝั่ง
…
หอดูดาว แท่นแปดทิศ
สวี่ชีอันในชุดธรรมดายืนตรงอย่างองอาจ เขามองไปทางพระราชวังแล้วยกเหยือกสุราขึ้นมาเอ่ยยิ้มๆ “ความรุ่งเรืองตกต่ำตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอชำระด้วยสุราเหยือกนี้”
“เจ้าดูภูมิใจนักนะ เรื่องนี้ถ้าไม่มีอาจารย์มาคอยตามล้างตามเช็ดให้เจ้า เจ้าจะจัดการเองได้หรือไม่”
ที่ข้างโต๊ะมีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเหลืองนั่งอยู่ ใบหน้ารูปไข่ห่านดวงตากลมโต ทั้งอ่อนหวานและน่ารัก ที่ข้างแก้มปูดขึ้นเพราะเคี้ยวอาหาร ท่าทางเหมือนหนูตัวน้อยน่ารักตัวหนึ่ง
“เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น แล้วก็ไต้ซือเหิงหย่วนเป็นอย่างไรแล้วล่ะ”
สวี่ชีอันแย้มยิ้ม ไม่สนใจการถากถางของฉู่ไฉ่เวย
“ผ่านไปอีกสักหลายวัน เดี๋ยวอาการบาดเจ็บก็ดีขึ้น” ฉู่ไฉ่เวยขมวดคิ้วแน่นและบ่นออกมา “แต่ทำเอาข้าเหนื่อยแทบตาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์พี่ซ่งมาช่วยรักษาอาหารหรอก”
ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้กลายเป็นหนูทดลองแน่…สวี่ชีอันคิดในใจ
เขาไม่พูดอะไรอีก แต่หวนนึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อวาน
ในวันนั้น เขามาที่สำนักโหราจารย์แล้วให้ไฉ่เวยไปบอกท่านโหราจารย์หนึ่งประโยคว่า ‘เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางต้องการรวมขุนนางทั้งหมด เพื่อบีบให้จักรพรรดิหยวนจิ่งออกราชโองการรับผิด หวังว่าท่านโหราจารย์จะร่วมมือด้วย’
หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากนักบุญผู้อุปถัมภ์ต้าฟ่งคนนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ควบคุมพรรคต่างๆ และราชสำนักมาหลายปีขนาดนั้น เว่ยเยวียนและหวางเจินเหวินคงยากจะตกลงผลประโยชน์และทำให้ขุนนางในเมืองหลวงกว่าสองในสามยอมรับได้ภายหนึ่งวันเดียว
ซึ่งท่านโหราจารย์ก็ตกลงเห็นชอบ
ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ที่สวี่ชีอันขวางขุนนางไว้ที่ประตูอู่เหมิน และจัดการกับเฉากั๋วกงและเจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวได้
การสังหารโจรสองคนนี้เป็นเพียงฉากเปิดเท่านั้น เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางต้องการให้จักรพรรดิหยวนจิ่งยอมรับผิด นี่ต่างหากคือผลลัพธ์
แน่นอนว่าหากเว่ยกงและสมุหราชเลขาธิการหวางเลือกที่จะนิ่งดูดาย เช่นนั้นสวี่ชีอันก็ยังจะสังหารโจรสองคนนั้น เพื่อชดใช้แด่เจิ้งซิ่งไหวและดวงวิญญาณในเมืองฉู่โจวทั้งสามแสนแปดหมื่นชีวิต
แล้วจากนั้นเขาก็จะพาครอบครัวออกจากเมืองหลวงไปท่องอยู่ในยุทธภพ
เมื่อวานเขาไปที่สำนักอวิ๋นลู่มารอบหนึ่ง แล้วบอกแผนการนี้ให้จ้าวโส่วได้รู้ จ้าวโส่วไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเข้าสู่ยุทธภพของเขา เพราะสวี่ซินเหนียนเป็นบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่เพียงคนเดียวที่สามารถเข้าสู่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินและกลายเป็นผู้ดูแลคลังได้
ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าสำนักจ้าวเข้าวังไปบีบบังคับจักรพรรดิหยวนจิ่งขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง