ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 387

บทที่ 387 ไต่ถามดวงวิญญาณ

คณะแรกที่ได้เห็นคนที่โดนพระราชกฤษฎีการับผิด คิดและตกตะลึงอยู่ในใจอย่างเหลือเชื่อ ตลอดจนความตื่นเต้นที่ ‘ข้าคือแหล่งข่าวสารแห่งแรก’ ที่ได้แพร่กระจายข่าวนี้อย่างบ้าคลั่ง

หลังจากนั้นประชาชนมากมายก็แห่รวมกลุ่มกันไปที่ประตูเมือง

“เป็นพระราชกฤษฎีการับผิดใช่หรือไม่?”

ประชาชนคนที่ไม่รู้หนังสือตลอดจนคนที่ไม่สามารถเบียดมาถึงข้างหน้าได้ ก็ต่างพากันตะโกนส่งเสียงเอะอะโวยวาย

“ใช่ เป็นพระราชกฤษฎีการับผิด ฝ่าบาททรงออกพระราชกฤษฎีการับผิดแล้วจริงๆ” คนที่อยู่แถวแนวหน้าหน้าตะโกนขานตอบ

“เร็ว รีบๆ อ่านออกมา” คนที่อยู่ข้างหลังเร่งรัดอย่างใจร้อน

“เบื้องบนได้มีพระราชโองการ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าใช้ความเยือกเย็นเพื่อคุณธรรม เพื่อสืบทอดความเป็นหนึ่งเดียวกัน ปรารถนาเพื่อเปลี่ยนใต้หล้าให้ฟื้นฟูสู่สภาพใหม่ เพื่อใช้ตอบแทนบรรพบุรุษ ไม่คิดว่าจะต้องอาศัยสิ่งที่ไม่ใช่คนจนทำให้เกิดการทำลายล้างเมืองฉู่โจว’

บันทึกที่ 1

หยวนจิ่ง วันที่สิบหก เดือนห้า ปีสามสิบเจ็ด”

พระราชกฤษฎีการับผิดทั้งบทนั้นร่ายยาวเกือบพันตัวอักษร มีระดับกำเนิดปราชญ์อาวุโสหนึ่งท่านยืนแถลงการณ์อยู่ตรงรั้วแนวหน้า อ่านด้วยน้ำเสียงสูงต่ำเป็นจังหวะจนจบ

ท่ามกลางหมู่ประชาชน มีบางคนที่ฟังเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงงงงวย พวกเขายืนยันได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือจักรพรรดิหยวนจิ่งได้มีพระราชกฤษฎีการับผิดแล้วจริงๆ!

“เป็นเพราะคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจวใช่หรือไม่?”

“ฝ่าบาท ทรงมีพระราชกฤษฎีการับผิดแล้ว ซึ่งนั่นก็หมายความได้ว่าสิ่งที่สวี่อวิ๋นหลัวพูดไว้เมื่อวานนี้ ทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ถูกหรือไม่?”

“ข่าวลือพวกนั้นที่พูดให้สวี่อวิ๋นหลัวเสียๆ หายๆ ที่ตลาด ก็เป็นเรื่องเท็จทั้งหมดใช่หรือไม่?”

สิ่งที่เหล่าประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ แม้ว่าในใจพวกเขาจะเชื่อสวี่ชีอัน แต่เมื่อวานก็มีข่าวลือมากมายเช่นเดียวกันนี้ที่พูดให้สวี่อวิ๋นหลัวเสียๆ หายๆ พูดราวกับว่ามีเหตุการณ์เช่นนั้นจริงๆ

พวกเขาต้องการข้อมูลข่าวสารที่ยืนยันได้อย่างด่วน เพื่อมาทำลายข่าวลือเหล่านั้น

ยิ่งกว่านั้น ในสายตาของประชาชนทั่วไป ตำแหน่งของราชสำนักนั้นหยั่งรากลึกในจิตใจของประชาชน หากราชสำนักยอมรับเรื่องนี้ และเสริมความน่าเชื่อถือขอสวี่อวิ๋นหลัว เช่นนั้นก็จะไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก หลังจากนี้ไม่ว่าใครๆ จะพูดอย่างไร พวกเขาก็จะไม่เชื่อ

ระดับกำเนิดปราชญ์อาวุโสกดมือของเขาลง จากนั้นเหล่าฝูงชนก็เงียบลงทันที เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจพลางส่ายหน้าและถอนหายใจ ก่อนกล่าว

“ฝ่าบาททรงมีพระราชกฤษฎีการับผิด และทรงยอมรับที่ทรงยินยอมปล่อยให้อ๋องสยบแดนเหนือกระทำการสังหารหมู่โดยไม่ขัดขวาง สิ่งที่สวี่อวิ๋นหลัวพูดไว้เมื่อวานนี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นหากสวี่อวิ๋นหลัวชักดาบออกมาด้วยความโกรธ คดีสังหารหมู่ในฉู่โจวที่ถูกใส่ความอย่างอยุติธรรมก็ยากที่จะชำระสะสาง ใต้เท้าเจิ้งก็จะ…จะนอนตายตาไม่หลับ”

เสียงโห่ร้องแสดงความดีใจและเสียงตะโกนก่นด่าก็ปะทุขึ้นพร้อมๆ กัน ถึงขนาดที่วิพากษ์วิจารณ์กันเกรียวกราว

“ต้าฟ่งสามารถผลิตสวี่อวิ๋นหลัวผู้นี้ออกมาได้ ช่างเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์เสียจริงๆ”

“น่าเสียดายที่ตอนนี้สวี่อวิ๋นหลัวไม่ใช่ขุนนางอีกต่อไปแล้ว”

“ไม่ใช่ขุนนางแล้วยังไง ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงเป็นวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง”

ถึงกับใช้น้ำเสียงดุ

“ทรราช…เจ้าทรราชนี่ คนของฉู่โจวก็ไม่ใช่ประชาชนต้าฟ่งของข้าหรือไง?”

“คนที่ฝึกฌานมายี่สิบปียังเป็นทรราช ยอมปล่อยให้อ๋องสยบแดนเหนือทำการสังหารหมู่เมือง นี่ก็คือเผด็จการ”

“ไม่ช้าก็เร็วต้าฟ่งก็จะล่มสลายภายใต้น้ำมือของเขา”

เสียงดุด่าพลันสงบลงอย่างรวดเร็วเพราะถูกขุนนางทหารบริเวณรอบๆ เข้าปราบปราม แต่ประชาชนก็ยังคงสบถด่าอยู่เบาๆ บ้างก็สบถด่าในใจ

แต่ขุนนางทหารก็ไม่ได้อยากจะกระทำการปราบปรามหรือแสดงความไม่เคารพต่อประชาชนเช่นนี้เช่นกัน

เมื่อจักรพรรดิทรงออกพระราชกฤษฎีการับผิด ก็เท่ากับเขายอมรับผิด และเปิดช่องทางให้ประชาชนได้ระบายอารมณ์ด่าทอได้เต็มที่

ณ ราชวิทยาลัยหลวง

เดิมทีเสียงของการอ่านหนังสือจะดังใสก้องกังวานทั่วราชวิทยาลัยหลวงซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของบัณฑิตในใต้หล้า แต่เวลานี้ทุกพื้นที่ล้วนเต็มไปด้วยเสียงตำหนิและด่าทอด้วยอารมณ์ที่ดุเดือด

เมื่อปัญญาชนด่าทอผู้คน เทียบกับคนสามัญธรรมดาทั่วไปก็มักจะมีรูปแบบลวดลายมากกว่าหลายเท่า

“อ๋องสยบแดนเหนือตายก็ไม่ได้น่าอาลัยอาวรณ์ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็…ก็ทรราชเช่นเดียวกัน นี่ทำให้ประเทศเสียเอกราชเช่นกัน จะยอมให้เขามาก่อความวุ่นวายเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านโหราจารย์…ขนาดท่านโหราจารย์ก็ยังไม่อาจรู้เรื่องนี้ได้ล่วงหน้าเลยหรือ?”

“บุรุษทั้งราชสำนักไม่มีลูกชายเลย ข้ารอศึกษาหนังสือปราชญ์อย่างทรมาน ต้องคลุกคลีกับกลุ่มปัญญาชนกลุ่มนี้ที่ไม่มีความอดทนรับความลำบากมาโดยตลอด?”

“ต้องรอให้สวี่อวิ๋นหลัวสังหารหัวขโมยทั้งสองและทำให้เรื่องวุ่นวายนี้ยิ่งเกิดความโกลาหลอลหม่านไปกันใหญ่หรือ พวกเขาจึงจะกล้าต่อต้านฝ่าบาท ถุย ถ้าเป็นข้า จะเอาหัวทุบพื้นให้คาที่เลย”

“แม้ว่าทหารจะฝ่าฝืนคำสั่งอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องไร้จิตสำนึกเช่นนี้ ก็มีเพียงแต่ทหารเท่านั้นที่มีกำลังสามารถเปลี่ยนทิศของคลื่นที่ซัดอย่างบ้างคลั่งนี้ได้”

“โธ่ สิ่งนี้จะถูกบันทึกลงบนหนังสือประวัติศาสตร์ต่อไปในวันข้างหน้า ปัญญาชนจะต้องเสียหน้าแน่ น่าเสียดายที่สวี่อวิ๋นหลัวไม่ใช่ปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อของข้า”

ในเวลานี้มีบัณฑิตคนหนึ่งวิ่งเข้ามาและพูดอย่างตื่นเต้น “เหล่าท่านทั้งหลาย ข้าเพิ่งจะได้ยินข่าวดีมาเรื่องหนึ่ง”

เหล่าบัณฑิตทุกคนในลานหันมามองพร้อมกับขมวดคิ้ว

แม้ว่าจักรพรรดิจะทรงออกพระราชกฤษฎีการับผิดและยอมรับผิดเรื่องนี้ ไม่ยอมให้ขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตกล้ำกลืนรับความไม่เป็นธรรม แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมสีดำ ไม่คู่ควรแก่ความตื่นเต้นดีใจ

บัณฑิตหนุ่มคนนั้นเผชิญหน้ากับทุกคน พลางพูดอย่างตื่นเต้น “ข้าได้ยินมาว่า วันนี้เจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่ ปรากฏตัวที่ท้องพระโรง กล่าวต่อหน้าบุรุษข้าราชการชั้นสูงและฝ่าบาทว่า สวี่อวิ๋นหลัวเป็นศิษย์แนวหน้าของเขา”

‘อะไรนะ?!’

ทันใดนั้น บรรยากาศในลานก็ระเบิดขึ้นพร้อมกับเหล่าบัณฑิตที่ต่างแสดงท่าทีตื่นเต้นดีใจ พลางก้าวขึ้นมาต้อนรับอย่างยินดี

“สวี่อวิ๋นหลัวเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่?”

“ศิษย์แนวหน้าของเจ้าสำนักจ้าว นี่…ประโยคนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?”

บัณฑิตหลายคนต่างใบหน้าแดงก่ำ ดึงแขนเสื้อของคนคนนั้นแน่นพลางถามเสียงดัง

‘เวลานี้ ถ้าหากข้าบอกว่าที่พูดไปนั้นเพียงแค่หยอกเล่น คงจะโดนรุมแน่ๆ’ ชายคนนั้นพึมพำในใจ พร้อมกับพยักหน้าและพูด “มีข่าวลือเรื่องนี้ในแวดวงของทางราชการ ไม่ใช่คำพูดที่ข้าพูดขึ้นอย่างไร้มูลเหตุ”

“ฮ่าๆๆ วันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ติดต่อกันเลย เมื่อเปิดเผยชัดเจนขนาดนี้แล้ว ไปดื่มสุรากันเถอะ”

“วันนี้ข้าจะไม่อ่านหนังสือแล้ว จะออกไปปล่อยตัวดื่มด่ำสักครั้ง”

ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน อาจารย์กวีแห่งต้าฟ่งก็ถือกำเนิดขึ้นจากทหาร นี่เป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงอยู่ในใจของเหล่าปัญญาชนทุกคน ทุกครั้งที่พูดถึง ก็ทั้งหดหู่ทั้งเลื่อมใส พร้อมทั้งกุมมือไว้พลางทอดถอนใจอย่างตื่นเต้น

เชื่อว่าถ้าหากคนรุ่นหลังได้เห็นประวัติศาสตร์ตอนนี้อีกครั้ง พวกเขาจะต้องหัวเราะเยาะปัญญาชนในรุ่นนี้อย่างแน่นอน ‘ปัญญาชนก็ไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงหลังจากนี้ไปแล้วหรอกนะ’

ตอนนี้ เมื่อรู้ว่าสวี่ชีอันเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าดีใจมากแค่ไหน แม้ว่าสำนักอวิ๋นลู่และราชวิทยาลัยหลวงจะมีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับหลักปฏิบัติ แต่ในหนังสือประวัติศาสตร์คงจะไม่สนใจเรื่องนี้

ทั้งหมดล้วนเป็นปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อเหมือนกันหมด

บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงตะโกนเรียกเพื่อนพ้องออกไปดื่มสุรา

ขุนนางผู้ช่วยได้นำเรื่องนี้ไปรายงานต่อหัวหน้าผู้อาวุโส และดุอย่างโกรธเคือง “เกือบครึ่งของบัณฑิตในราชวิทยาลัยหลวงได้ออกไปมั่วสุมแล้ว และวันนี้ไม่ใช่วันหยุด”

หัวหน้าผู้อาวุโสผมขาวนั้นเอนตัวอยู่บนที่นอนอ่อนนุ่ม พลางกล่าวอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“เหตุการณ์ในท้องพระโรงวันนี้บอกพวกเราว่าคนที่มีคุณธรรมย่อมจะได้รับความสนับสนุนช่วยเหลือจากรอบด้าน นักปราชญ์ไม่ได้หลอกลวงข้า”

ความหมายของหัวหน้าผู้อาวุโส คือไม่ใช่ให้เป็นศัตรูกับเหล่าฝูงชน แต่เมื่อเวลาต้องเผชิญหน้า ก็ต้องยอมละทิ้งกฎระเบียบอย่างเหมาะสมและยอมอ่อนข้อให้ ขุนนางผู้ช่วยได้พบกับการถูกบอกปัด พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด

ณ พระตำหนักฮว๋ายชิ่ง

ฮว๋ายชิ่งแต่งตัวในชุดพระราชวังสีขาวเรียบๆ ผมดำขลับสลวยดั่งสายน้ำตก นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ สายตามองไปทางหลินอันที่อยู่ในชุดกระโปรงแดง พลางพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวังมาก่อนไม่ใช่หรือ”

นางทบทวนพลางถอนหายใจอีกครั้ง “หลังจากนี้ ชื่อเสียงของเสด็จพ่อและชื่อเสียงของราชวงศ์คงจะตกต่ำลงถึงที่สุด”

ยายตัวร้ายกรอบหน้าเรียวรูปไข่และนัยน์ตาดอกท้อ ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้มหวานๆ พูดอย่างตรงไปตรงมา “ทำเรื่องที่ผิดก็ต้องยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแหละนะ แม้ว่าข้าจะไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่พระอาจารย์หลวงก็สอนพวกข้า ว่าการรับรู้ข้อผิดพลาดและสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีได้นั้น ไม่มีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง