บทที่ 389 อัญเชิญ (1)
สวี่ชีอันเป็นคนใจกว้าง ไม่กังวลเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเมื่อน้องสาวในเรือนสอนแล้วไม่เชื่อฟังเช่นนี้แล้ว เขายิ่งไม่เชื่อฟังเข้าไปใหญ่
ส่งไปสำนักบัญฑิตและโดนไม้กระดานสักคราไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องสิ้นเปลืองน้ำลายด้วย
แต่หลี่เมี่ยวเจินห้ามสวี่ชีอันที่ใช้ความรุนแรงต่อเด็กในครอบครัว เทพธิดานิกายสวรรค์ขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่พอใจ “มีอะไรพูดกันดีๆ เหตุใดต้องใช้กำลังทุบตีเด็กด้วยเล่า”
แม่เทพธิดาเอ๋ย ท่านไม่มีทางทราบหรอกว่าการเป็นผู้ปกครองของเด็กนรกมันน่ารำคาญแค่ไหน…สวี่ชีอันให้เกียรตินาง และหันกลับไปที่ลานบ้าน
ในลานมีเพียงแม่ลูกคู่หนึ่งที่หน้าเด็กเหมือนกันเท่านั้น สวี่หลิงเยวี่ยที่มีลักษณะเหมือนลูกครึ่ง ใบหน้ารูปไข่แหลมคม และโดดเด่น นั่งอยู่บนไม้สานปักลาย
ไม้สานเล็กไม่สามารถรองรับก้นที่อวบอ้วนของนางได้อีกต่อไป สะโพกที่ยืดหยุ่นเต็มที่ล้นนูนออกมาจากใต้กระโปรงอย่างเห็นได้ชัด
อาสะใภ้ที่ไม่ทำอะไรอยู่ด้านข้างนำกระโปรงสีเขียวใบบัวผูกเป็นปมไว้ที่บริเวณน่อง จากนั้นนั่งยองๆ ข้างแปลงดอกไม้ ถือพลั่วไม้และกรรไกรขนาดเล็ก จัดการกับดอกไม้ใบหญ้าอยู่
ยามปกติอาสะใภ้นอกจากตบตีสวี่หลิงเยวี่ยแล้ว ก็มีอันนี้ที่เป็นงานอดิเรก
ลวี่เอ๋อสาวใช้คนสนิทของนางคอยช่วยอยู่ข้างกาย
“พี่ใหญ่!”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันกลับมา น้องสาวหลิงเยวี่ยดีใจเสียยกใหญ่ วางเข็มและด้ายลง เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่งดงามราวกับดอกไม้
สายตาของนางเลื่อนผ่านหลี่เมี่ยวเจิน ซูซู และจงหลีอย่างไร้ร่องรอย
การแสดงออกเล็กน้อยที่มาพร้อมกับสายตานั้นเห็นได้ชัดว่าระหว่างหญิงงามมีความเป็นศัตรูที่ปลูกฝังโดยธรรมชาติ
“ไม่มีอะไรแล้ว วันนี้ก็กลับบ้านได้”
สวี่ชีอันบีบจมูกที่กลมของนาง สายตามองไปทางห้องนอน กล่าว “เอ้อร์หลางและอารองเล่า?”
“ท่านพ่อไม่ทราบว่าไปฝึกวิทยายุทธที่ใดแล้ว พี่รองไปเรียนตำราที่บ้านอาจารย์จาง” เสียงของสวี่หลิงเยวี่ยช่างน่าฟัง และมาพร้อมกับความนุ่มนวลของเด็กผู้หญิงเสียจริง
สวี่ชีอันพยักหน้า กำลังจะกล่าว ก็ได้ยินสวี่หลิงเยวี่ยกล่าวอย่างอ่อนโยน ระคนสงสัย “พี่ใหญ่ พี่สาวท่านนั้นคือใครหรือ”
นางหมายถึงจงหลี
แม้จงหลีจะติดตามสวี่ชีอันมานาน แต่นางไม่เคยโผล่หน้ามาอย่างเป็นทางการเลย นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่หลิงเยวี่ยพบเจอนาง
“ศิษย์พี่ของไฉ่เวย” สวี่ชีอันกล่าว
‘อ้อ คือศิษย์พี่ของแม่นางคนที่ไม่เอาไหนคนนั้นหรือ’…สวี่หลิงเยวี่ยตกตะลึง
คนไม่เอาไหนเป็นฉายาที่นางตั้งให้กับฉู่ไฉ่เวย ฉู่ไฉ่เวยเป็นคนไม่เอาไหนหมายเลขหนึ่ง ลี่น่าเป็นคนไม่เอาไหนหมายเลขสอง สวี่หลินอันเป็นคนไม่เอาไหนหมายเลขสาม
ความจริงแล้ว คนที่รู้จักคนไม่เอาไหนทั้งสามนี้ต่างมีฉายาอยู่ในใจที่เหมือนกับพวกเขาไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่นในลานนี้ ฮูหยินยังสวยที่ไล่สาวน้อยให้ออกไป และตกใจที่นางสกปรกทั้งตัว โมโหจนจับก้านไม้ไผ่ยกขึ้น
ฉายาที่อาสะใภ้แต่งให้ลี่น่าและสวี่หลิงอิน ส่วนใหญ่จะเป็น หญิงสาวและเด็กน้อยจอมโง่เขลา หญิงสาวและเด็กน้อยจอมตะกละ หญิงสาวและเด็กน้อยที่ทั้งโง่เขลาทั้งกินเก่ง
อะไรทำนองนี้
“แล้วที่ข้าซักเสื้อผ้าให้พวกเจ้าทุกวันไม่เหนื่อยเชียวหรือ เจ้าเด็กสารเลวนี่ ไม่รู้จักสงสารแม่เจ้าบ้าง” เสียงตะโกนในลำคอของอาสะใภ้ดังลอดเข้ามา
“เช่นนั้นตอนที่ข้าตีเจ้าก็ไม่ต้องปฏิบัติเหมือนเจ้าเป็นบุตรสาว”
เสียงโต้เถียงของสวี่หลินอันดังขึ้นมา “หากข้าไม่ใช่บุตรสาวของท่าน แล้วท่านมาตีข้าทำไมเล่า”
อาสะใภ้สำลักครั้งหนึ่ง พลางโมโหสุดขีด “…ยังกล้าเถียงอีก!”
…
สวี่ชีอันพาจงหลีออกมาจากลานเล็ก ระหว่างที่เดินระหว่างลานบ้านและห้อง ตามพื้นหินเขียว ช่วงที่ก้าวบันได หลังหนึ่งก้านธูป ก็มาถึงหุบเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้ไผ่แล้ว
ต้นไผ่อยู่ทางตอนใต้เป็นส่วนใหญ่ ต้าฟ่งโอ้อวดในความดั้งเดิมของจิ่วโจว วางตัวเป็นใหญ่ในศูนย์กลาง แต่หลักที่ตั้งของเมืองหลวงคือตอนกลางทางเหนือของจิ่วโจว
สภาพภูมิอากาศไม่เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นไผ่
ป่าไผ่ในเขาชิงอวิ๋นแห่งนี้หายากยิ่งนัก
เข้าสู่ฤดูร้อนไม่นาน ป่าไผ่ในฤดูนี้จะเขียวชอุ่ม เมื่อลมพัดมาจะเกิดเสียงดังกรอบแกรบ ช่างดูมีศิลปะยิ่งนัก
สิ่งที่สวี่ชีอันคิดก็คือ สุราไม้ไผ่ทำกันอย่างไรหรือ
ห้องใต้ดินห้องหนึ่งซ่อนอยู่ในป่าไผ่ ราวกับหอที่ฤๅษีอาศัยอยู่ ทางเดินขนาดเล็กปูด้วยหินกรวดสู่ห้องใต้หลังคา ปกคลุมไปด้วยใบไผ่
“ท่านเจ้าสำนัก สวี่ชีอันมาเยี่ยมขอรับ!” เขาโค้งคำนับไปทางห้องใต้หลังคา
แสงส่องประกายต่อหน้าต่อตาครั้งหนึ่ง เคลื่อนผ่านตั้งแต่ด้านนอกไปจนถึงภายในห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักศึกษาจ้าว โส่วนั่งอยู่ที่โต๊ะ จิบชา มองเขาและได้แต่ยิ้มไม่พูดอันใด
ชุดขงจื๊อเก่าๆ ที่ซักจนเป็นสีขาว ผมขาวที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ดูถูกโผล่อยู่ทั่วร่าง
จ้าวโส่วเป็นผู้มีอำนาจระดับสูงที่ไม่มีสไตล์ที่สุดเท่าที่สวี่ชีอันเคยเจอ ขณะเดียวกันยังเป็นตาแก่อีกด้วย แต่โหราจารย์กลับขาวยิ่งกว่าหิมะ งดงามเป็นอมตะ ไต้ซือตู้เอ้อร์ก็สวมชุดกาสาวพัสตร์ที่งดงามซึ่งปักด้วยด้ายสีทองคำ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม และมีรูปลักษณ์เหมือนพระภิกษุผู้ศักดิ์สูงด้วยเช่นกัน
แต่เจ้าสำนักจ้าวโส่วทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นขงอี่จี๋ หรือไม่ก็ฟ่านจิ่น…
อืม เกือบลืมนักบวชเต๋าแมวไปเสียแล้ว นักบวชเต๋าก็มีรูปลักษณ์เหมือนนักพรตแห่งการเดินทาง ช่างตกอับยิ่งนัก…สวี่ชีอันเสริมคำพูดอยู่ในใจ
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักอย่างยิ่งที่ให้การช่วยเหลือ” สวี่ชีอันแสดงความขอบคุณ
“ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสอนข้า และเจ้าก็ยังไม่ลืมมัน” จ้าวโส่วกล่าวอย่างยิ้มๆ
ความหมายของเจ้าสำนักคือ ตราบใดที่ข้าไม่ลืมความตั้งใจเดิม ทุกคนก็จะยังเป็นสหายที่ดีต่อกัน…สวี่ชีอันยิ้มพลางโค้งคำนับ จากนั้นจึงหันไปทางสหายเพื่อยื่นคำขอ
“บัณฑิตมายังสถานศึกษา เพราะต้องการยืมตำราเล่มหนึ่งจากเจ้าสำนัก”
จ้าวโส่วมองเขา และพยักหน้าเล็กน้อย
“เก็บตกราชวงศ์โจว” สวี่ชีอันจำได้ว่าท่านเว่ยเคยบอกว่า หากต้องการทราบความลับของพระมเหสี ต้องไปยืมตำราเล่มนี้ที่สำนักอวิ๋นลู่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง