ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 389

บทที่ 389 อัญเชิญ (2)

กล่าวตามตรง พฤติกรรมของจางเซิ่นและคนอื่นๆ ทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักอวิ๋นลู่ต้องอับอาย

สวี่ชีอันพยักหน้า

ความเป็นจริงตัวเขาเองไม่สนใจอยู่แล้ว ถึงอย่างไรบทกวีก็เลียนแบบมาจากชาติที่แล้ว เขาไม่ใช่ผู้เขียน ในฐานะผู้ข้ามเวลาที่ไม่มีรากฐานคนหนึ่ง สามารถใช้บทกวีเพื่อขยายเส้นสาย และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้ เป็นธรรมดาที่ไม่ควรพลาด

จางเซิ่นและทั้งสามไม่สนใจคำเยาะเย้ยของเจ้าสำนักศึกษา มองไปทางสวี่ชีอันอย่างกระตือรือร้น กล่าวถาม

“เจ้าก็ไม่ได้แต่งบทกวีมานานแล้ว ช่วงนี้ยังเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้อีก มีความรู้สึกเดือดพล่าน และสนใจในบทกวีหรือไม่ อาจารย์ทั้งหลายสามารถช่วยเจ้าขัดเกลาได้”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านมองสวี่ชีอันอย่างกระตือรือร้น

เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วไม่ได้กล่าวอันใด แต่ค่อนข้างสนใจ และมองมาอย่างใจจดใจจ่อ

สำนักอวิ๋นลู่ไม่เพียงช่วยปกป้องครอบครัวของข้า เจ้าสำนักศึกษายิ่งเป็นคนถือมีดแกะสลักไว้ในมือ และข่มขู่จักรพรรดิหยวนจิ่งถึงท้องพระโรง แม้สิ่งนี้จะสอดคล้องกับแนวคิดของลัทธิขงจื๊อ แต่ไม่ได้ขายน้ำใจของข้าเท่านั้น ความเมตตาในส่วนนี้ข้าต้องจดจำไว้…

อืม ลองคัดลอกบทกวีให้พวกเขาดูแล้วกัน ไม่ดีนักที่จะอยู่ค้างคืนกับพวกเขาฟรีๆ…เมื่อคิดถึงจุดนี้ สวี่ชีอันก็กล่าวอย่างไตร่ตรอง

“ความจริงคิดบทกวีออกแล้วหนึ่งบท”

ถูกต้อง คิดบทกวีได้หนึ่งบท ข้าเป็นเพียงพนักงานขนย้ายบทกวีเท่านั้น เขาเสริมในใจ

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามต่างพากันดีใจอย่างบ้าคลั่ง

ในเวลานี้ตัวเขาควรกล่าวออกมา และใช้พู่กันกับหมึกอย่างมั่นใจ

เพียงแค่การเขียนอักษรด้วยพู่กันก็แย่แล้ว แถมเงินขัดสนจนไม่มีดินสอถ่านอีก ก็ไม่ได้ทำอะไรที่โง่เขลา ทำท่าทางเดินไปมาในห้องอย่างเคร่งขรึม ช่วงที่เห็นใบไผ่ที่เขียวเป็นมันตรงด้านนอกหน้าต่าง ก็แสร้งทำเป็นดวงตาเปล่งประกาย พลางกล่าว

“มีแล้ว”

ดวงตาของจ้าวโส่วเปล่งประกายเช่นกัน กล่าวถาม “มันเกี่ยวข้องกับไผ่หรือไม่”

เจ้าสำนักศึกษาดูเหมือนชื่นชอบอักษรคำว่าไผ่อย่างมาก…สวี่ชีอันพยักหน้า “ใช่”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวโส่วก็ยืดหลังตรงทันที จากที่สนใจเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มความรู้สึกคาดหวังมากขึ้นเป็นเท่าตัว

ความทรงจำที่เลือนรางของสวี่ชีอันนึกถึงท่อนเต็มของกวีบทนี้ได้แล้ว แต่ในสายตาของจ้าวโส่วและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม เขากำลังใช้เวลาอยู่

“รากไผ่ใช่เพียงเกาะกุมขุนเขา”

จ้าวโส่วทราบแล้วว่าเป็นบทกวีเกี่ยวกับไผ่ ได้ลิ้มรสขึ้นมาอย่างละเอียด ในประโยคนี้ คำว่า ‘กุม’ หมายถึงความวิจิตร แค่คำเดียวก็ปรากฏความแข็งแรงและทรงพลังของไผ่ออกมาได้อย่างชัดเจน

“แต่ยังแตกรากชอนไชไปในซอกหินแตก”

จ้าวโส่วพยักหน้าเบาๆ นี่คือเติมเต็มประโยคข้างบน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นของไผ่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากออกมา

“ผ่านผันนับร้อยเป็นพันปียังคงแข็งแกร่ง ทานทนต่อลมที่พัดโหมจากสารทิศ”

การหายใจของเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วค่อนข้างติดขัด สองประโยคหลังบรรยายถึงทรรศนะและความกดดันของไผ่ต่อภายนอก แม้จะผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนก็ยังคงไม่ยอมแพ้

ในบรรดาดอกเหมย กล้วยไม้ ไผ่ เบญจมาศ เขาชอบเพียงแค่ไผ่เท่านั้น มิฉะนั้นคงไม่สร้างที่อยู่ไว้ในป่าไผ่

จ้าวโส่วเคยเขียนบทกวีเกี่ยวกับไผ่มาก่อน แต่เปรียบกับบทกวีบทนี้ของสวี่ชีอัน เขายอมรับว่าตนเองด้อยกว่าเล็กน้อย

หนึ่งบทกวีสองประโยค จากภายในไปภายนอก แทบจะบรรยายถึงลักษณะที่เด็ดเดี่ยวของไผ่นั้นได้อย่างเฉียบขาดและชัดเจน

‘สมกับเป็นนักกวีแห่งต้าฟ่ง’…นักพรตลัทธิขงจื๊อระดับสี่ท่านนี้ถอนหายใจในใจ

“แม้กวีบทนี้แวดล้อมและถ้อยคำสำนวนค่อนข้างจะขาดไปบ้าง กลับเป็นบทกวีไผ่ที่หายากยิ่ง” หลี่มู่ไป๋กล่าวชมเชย

“โง่เขลา บทกวีบทนี้แสดงถึงความมั่นคง หนักแน่น และความเข้มแข็งที่เรียบง่ายของไผ่ ความงดงามกลับด้อยลงไปอยู่บ้าง” จางเซิ่นวิจารณ์

“เมื่อมองแวบแรกดูเหมือนบทสวดไผ่ ความจริงแล้วมันเหมือนนำไผ่เปรียบกับมนุษย์ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม” เฉินไท่ลูบเครายาวพลางยิ้ม

ความคิดเห็นของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามเสร็จสิ้น และรีบมองไปทางสวี่ชีอันทันที “บทกวีนี้มีชื่อหรือไม่”

สวี่ชีอันทราบทันทีว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มพลางส่ายหน้า “ยังไม่เคยตั้งชื่อ จำเป็นต้องให้อาจารย์ทั้งหลายขัดเกลาเสียแล้ว”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก้าวถอยหลังหลายก้าวอย่างเข้าใจโดยปริยาย มองกันและกันอย่างระวัง ใช้เวลาอยู่นานว่าจะต่อสู้วิธีการตั้งชื่ออย่างไร

ในขณะนี้ ได้ยินเสียงเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วหัวเราะเพียงสามครั้งเท่านั้น กล่าว “ก็ให้ข้าตั้งชื่อบทกวีนี้เสีย”

“…?”

จางเซิ่นและคนอื่นๆ ขยับคออย่างแข็งทื่อมองเขา มิใช่บอกว่าบทกวีของสวี่หนิงเยี่ยนไม่ไพเราะหรอกหรือ

จ้าวโส่วขมวดคิ้ว และกล่าวอย่างไม่พอใจ

“รอดูก่อนว่าข้าจะทำอะไร บทกวีนี่ไม่ใช่สวี่หนิงเยี่ยนหยิบยืมบทสวดไผ่เพื่อบรรยายถึงข้าหรอกหรือ คนแก่อย่างข้ายืนหยัดกับสำนักอวิ๋นลู่มาหลายสิบปี เช่นเดียวกับไผ่นี้ก็มิปาน รากไผ่ใช่เพียงเกาะกุมขุนเขา ทานทนต่อลมที่พัดโหมจากสารทิศ”

กล่าวจบ ก็ไม่รอให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมีโอกาสคัดค้าน กล่าว “ถอยห่างออกไปสามร้อยลี้ อย่ามารบกวนข้าเขียนบทกวี”

ถ้อยคำเหล่านั้นกล่าวออกไป ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

จ้าวโส่วกางกระดาษออก ยกพู่กันขึ้นด้วยความตื่นเต้น กล่าวอย่างปลงตกไปด้วยเขียนไปด้วย “บทกวีชั้นดี บทกวีชั้นดีเหลือเกิน ชีวิตคนแก่อย่างข้าสมบูรณ์แบบแล้ว อืม หนิงเยี่ยน บทกวีนี้เจ้าเป็นผู้เขียน แต่ข้าเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนที่ชี้แนะและขัดเกลาอยู่ข้างกาย ถูกหรือไม่”

ในเวลานี้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็ปรากฏกายออกมา กล่าวอย่างโกรธเคือง “ท่านเจ้าสำนัก หยุดเถิด!”

จ้าวโส่วสะบัดแขนเสื้อ “ถอยห่างออกไปห้าร้อยลี้”

เหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หายตัวไปแล้ว วินาทีถัดมา พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง กล่าวอย่างคำราม “โจรเฒ่าไร้ยางอาย ข้าและคนอื่นๆ ไม่ขออยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับเจ้า”

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อมานานแล้ว ช่างเถอะ ช่างเถอะ ช่างเถอะ คนแก่คนนี้จะช่วยพวกเจ้าสักครา”

“พวกข้าไม่กลัว ระดับสามแล้วอย่างไรเล่า ข้าและคนอื่นๆ ร่วมมือกันก็ไม่กลัวเจ้า”

“เหอะ ใช่ว่าคนแก่อย่างข้านึกดูถูกพวกเจ้า จะมีอีกสิบคน ข้าก็ปราบได้อย่างง่ายดาย”

สวี่ชีอันพาจงหลีหนีไปแล้ว

บนยอดของภูเขาชิงอวิ๋น อากาศแจ่มใส เมฆถูกลมแผ่วพัดเป็นชั้นๆ ร่างสี่ร่างกำลังแลกเปลี่ยนกันต่อสู้ และตอบโต้ทุกการเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศ

การเคลื่อนไหวนั้นดังมาก จนรบกวนบัณฑิตและอาจารย์ในสำนักศึกษาทันที

“เหตุใดเจ้าสำนักศึกษาและปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงต่อสู้กันเล่า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง