บทที่ 394 รอคอยบุรุษผู้หนึ่ง
จักรพรรดิหยวนจิ่งเก็บกระดาษและตรัสกำชับ “แจ้งเว่ยเยวียนให้เขาเข้ามาพบข้าในวัง…ไม่ ไม่ต้องแล้ว”
จักรพรรดิชราผู้ที่เพิ่งผ่านชีวิต ‘ขาขึ้นขาลง’ ลังเลอยู่นานก่อนจะตรัส “แจ้งสายสืบของไหวอ๋อง มุ่งหน้าไปที่เจี้ยนโจวทันที ไปช่วงชิงดอกบัวเก้าสี ร่วมมือกับนักพรตนิกายปฐพีได้”
เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม “พกอาวุธเวทมนตร์ส่วนหนึ่งไปให้ได้มากที่สุด”
ขันทีอาวุโสโค้งคำนับและถอยหลังไป
…
เจี้ยนโจวตั้งอยู่ที่เขตตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฟ่ง ตะวันตกอยู่ติดกับเหลยโจว ทางเหนือเชื่อมกับเจียงโจว ขณะเดียวกันเพราะมีทางลำเลียงทางน้ำในเจี้ยนโจวจึงบานสะพรั่งด้วยมวลบุปผาประดุจผ้าดิ้นมากสีสัน
ทว่าสิ่งที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในเจี้ยนโจวและเป็น วัฒนธรรมท้องที่อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาก็คือ ‘กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์’
แนวคิดต่อกลุ่มยุทธภพของราชวงศ์แต่ละยุคสมัยล้วนเป็นการประกาศนิรโทษกรรมหรือกดขี่เสียส่วนใหญ่ ผู้ที่เชื่อฟังก็นิรโทษกรรม ผู้ที่ไม่เชื่อฟังก็กดขี่ไม่ก็กวาดล้าง ด้วยเหตุนี้จึงรักษาการปกครองของราชวงศ์และรักษาความสงบสุขของสังคมต่อไปได้
ทว่าทุกเรื่องมักมีข้อยกเว้นเสมอ
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวเป็นกลุ่มในยุทธภพที่ทำบางอย่างได้ระดับหนึ่งโดยไม่หวาดกลัวราชสำนัก
นับแต่โบราณกาล เจี้ยนโจวมีวัฒนธรรมศิลปะการต่อสู้อันลึกซึ้ง มีกลุ่มที่ยังคงยืนปักหลักอยู่ ในนั้นมี ‘ร้านเจ้าเก่าอายุร้อยปี’ ตั้งตระหง่านไม่สั่นคลอนอยู่มากมาย กลุ่มเหล่านี้อยู่ใต้การควบคุมของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
ทว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่พอจะประคองสถานะปัจจุบันของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ หากจะสืบเรื่องราวถึงต้นตอ ต้องไปหาจากในหนังสือประวัติศาสตร์
ช่วงสุดท้ายของต้าโจว บ้านเมืองลุกเป็นไฟ กลุ่มวีรชนในใต้หล้าจับอาวุธขึ้นสู้พยายามโค่นล้มเผด็จการ ก่อนที่จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งจะรุ่งเรืองก็เป็นเพียงหนึ่งในกบฏนับไม่ถ้วน
สร้างสัมพันธ์กับทหารม้านับร้อย บุกยึดอำเภอเล็กๆ เป็นหลัก จากนั้นก็รวบรวมกำลังสรรพาวุธ
ในเวลานั้นมีกบฏหลายพวกเป็นไฟคุกรุ่นได้ที่อยู่ก่อนแล้ว มีกำลังทหารแกร่งกล้าที่ยึดครองแผ่นดินอยู่ฝ่ายหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็มาจากเจี้ยนโจว
ผู้นำของกลุ่มกบฏเจี้ยนโจวคือทหารขั้นสามที่เกิดขึ้นในสมัยศึกสงคราม รบทัพจับศึกทั่วสารทิศโดยไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง
ต่อมาจักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งถือกำเนิดขึ้นกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่โค่นล้มเผด็จการ เมื่อต้าโจวล่มสลาย กองกำลังทหารแต่ละฝ่ายรบเพื่อช่วงชิงอำนาจ ราชวงศ์เดิมก็ถูกโค่นล้มไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือดอีก ทหารขั้นสามของเจี้ยนโจวผู้นั้นจึงท้ารบกับจักรพรรดิเกาจู่ของต้าฟ่ง
ต่างใช้กองทัพเป็นเบี้ยเพื่อทำสงครามอารมณ์ระหว่างทหาร
ผลสรุปไม่ต้องพูดให้มากมาย ทหารขั้นสามจากเจี้ยนโจวผู้นั้นพ่ายแพ้ เขาส่งมอบกองทัพให้จักรพรรดิเกาจู่ของต้าฟ่ง แล้วพากลับไปเจี้ยนโจวเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาหลักและสถาปนากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ขึ้น
ทหารขั้นสามผู้นั้นสาบสูญไปนับร้อยปี ทว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ป่าวประกาศว่าเขายังมีชีวิตอยู่มาโดยตลอด นี่เป็นความเชื่อมั่นของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างแท้จริง
“ที่แท้ตัวตนเดิมของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็คือกองกำลังหารเชิดชูคุณธรรมนี่เอง…”
โต๊ะภายใต้แสงเทียน สวี่ชีอันปิดสำนวนคดีที่นำมาจากคลังเอกสารของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาคิดว่าในนี้มีช่องโหว่ที่มองข้ามไปไม่ได้
“ตามบันทึกของสำนวนคดี ผู้ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ยอดฝีมือขั้นสามผู้นั้นพ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิเกาจู่ของต้าฟ่งในคราแรก ทว่าจักรพรรดิเกาจู่ไปสู่ภพภูมิที่ดีตั้งนานแล้ว เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
ยอดฝีมือที่มีพลังแกร่งกว่าตายไปแล้ว แต่ผู้ที่พลังต่ำกว่ายังมีชีวิตอยู่ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทุกคนเป็นทหารล้วนหยาบโลนเหมือนกันหมด จะเอาอะไรไปอยู่ถึงร้อยปีได้
ด้วยความคิดนี้จู่ๆ เขาก็ค้นพบรายละเอียดที่เคยมองข้ามไป ปีนั้นจักรพรรดิอู่จงกำจัดขุนนางชั่วข้างกายเนื่องจากชิงราชบัลลังก์ เป็นจอมฉวยโอกาสวิทยายุทธ์ขั้นสูงสุด
ทว่า ร้อยปีหลังจากนั้นก็จากไปด้วยโรคชรา…
“ดูจากสถานการณ์ของจักรพรรดิเกาจู่และจักรพรรดิอู่จงสองจักรพรรดิ เหมือนกับทหารจะอายุไม่ยืนงั้นหรือ ทว่าหากเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นจากเจี้ยนโจวจะมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีได้อย่างไร กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังวางมาดใหญ่โตหลอกลวงผู้คนในใต้หล้างั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ หากเป็นคำลวง อย่างมากก็แค่หลอกคนธรรมดาได้ แต่มิอาจตบตาราชสำนักได้ ทว่าการที่ราชสำนักยอมรับการมีอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นั่นก็หมายถึงมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ผู้นำกองกำลังทหารในอดีตผู้นั้นน่าจะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ…เช่นนั้นปัญหาก็อยู่ที่ราชวงศ์ต้าฟ่งงั้นหรือ มีเหตุผลอะไรจึงทำให้ชาวยุทธจักรของราชวงศ์ต้าฟ่งมิอาจมีอายุยืนได้”
สวี่ชีอันคิดไม่ออกจึงหันหน้าไปถามจงหลีที่นั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่ม “ศิษย์พี่จงจู่ๆ ข้าก็มีคำถาม”
หัวที่กระเซอะกระเซิงของจงหลีหันกลับมา ดวงตาที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เส้นผมยุ่งเหยิงจ้องมองเขา
“จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งตายอย่างไร”
“จากไปด้วยโรคชรา”
“…” สวี่ชีอันสะอึกไปพักหนึ่งก่อนจะรีบกล่าวเสริม “แต่อายุขัยของทหารขั้นสูงสุดจะเหมือนคนธรรมดาได้อย่างไร”
“ข้า ข้าไม่ใช่ทหารจึงไม่รู้หรอก…” จงหลีเอ่ยเสียงเบา นางรู้สึกผิดที่ตนมิอาจคลายข้อสงสัยแทนสวี่ชีอันได้
งั้นก็ช่างเถอะ ก็ไม่ใช่เรื่องด่วนที่ต้องได้คำตอบเสียด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันเป่าเทียน ถอดรองเท้าและปีนขึ้นเตียง ยิ้มพลางเอ่ยหยอกล้อ
“มานอนด้วยกันไหม”
ศิษย์พี่จงยังคงเป็นหญิงสาวพรหมจารี จึงไม่โต้ตอบเขา
…
เจี้ยนโจว
บันทึกทางภูมิศาสตร์ของจิ่วโจว เจี้ยนโจวมีภูเขา ในภูเขามีสัตว์ หัวเป็นคนตัวเป็นสัตว์ มีหกหาง กลืนดวงจันทร์ได้ มีนามว่า ‘เฉวี่ยนหรง’
ภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นกองบัญชาการของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
หัตถ์รื่นรมย์หรงหรง ตามด้วยท่านอาจารย์ ยังมีผู้ดูแลหอนั่งรถม้ามายังภูเขาเฉวี่ยนหรง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในใจของชาวกลุ่มยุทธภพในเจี้ยนโจว
ผู้ดูแลหอหมื่นบุปผาพายอดฝีมือหลายสิบคนที่ถูกเชื้อเชิญมา
หอหมื่นบุปผามีแต่หญิงสาวเสียส่วนใหญ่ แต่ละนางงามดุจบุปฝานวลจันทร์ อ่อนช้อยงดงาม ผู้ที่มีสติปัญญาดีจะอยู่เพื่อถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ผู้ที่มีสติปัญญาด้อยจะออกเรือนไป
ร้อยปีมานี้พรรคที่ถูกจัดเป็นอันดับต้นๆ ในเจี้ยนโจวส่วนใหญ่ล้วนมีความเกี่ยวดองกับหอหมื่นบุปผาไม่มากก็น้อย
“ครั้งนี้ท่านอาจารย์พาเจ้าออกมาเจอโลกกว้าง จำไว้ว่าอย่าโอ้อวด เป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น” หญิงงามกำชับศิษย์
แม้จะอยู่ท่ามกลางหมู่สาวงาม หรงหรงก็โดดเด่นเหนือใครอื่น พยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ข้าขั้นหกแล้วนะ”
กระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหกนับว่าเป็นเสาเอกในยุทธภพ เดินไปไหนก็ได้รับความเคารพจากผู้คน มีแค่แดนศักดิ์สิทธิ์ของวิทยายุทธเช่นเจี้ยนโจวถึงดูธรรมดาและไม่โดดเด่น
สาวงามส่ายหน้า “ขั้นหกยังไม่พอ ต่อจากนี้เกรงว่าจะมีเพียงขั้นห้าเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้ ต่ำกว่าขั้นห้าเกรงว่าคงเป็นบริวารรถม้าที่ส่งไปตายทั้งสิ้น”
หัตถ์รื่นรมย์หรงหรงในใจเย็นเฉียบแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ระหว่างสนทนารถม้าก็หยุดลงที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง เหล่าสตรีของหอหมื่นบุปผากระโดดลงจากรถ เงยหน้าทอดมองไปไกล
ภูเขาเฉวี่ยนหรงรายล้อมไปด้วยเมฆหมอก ภูเขาสูงชันเสียดฟ้า หินผาซ้อนแปลกตา ผืนป่าเขียวชอุ่ม ต้นไม้นับร้อยปีสูงต่ำคละเคล้า พรางตาแต่ละตึกและลานอาศัย
ทะลุผ่านแผ่นหินที่ทำจากหินหยกขาวตรงตีนเขา หรงหรงยกกระโปรงขึ้น ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ก็ได้ยินท่านอาจารย์เอ่ยอย่างแผ่วเบา “เจ้ารู้จักนิกายปฐพีสินะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง