บทที่ 396 ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…สวีชีอัน (1)
เจี้ยนโจว คฤหาสน์เยวี่ยจือ
นักบวชเต๋าไป๋เหลียน อายุประมาณสี่สิบปี ผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบรูปไข่ รูปร่างมีน้ำมีนวล สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสีดำ ผมสีดำเงาราวกับเส้นไหมถูกรวบขึ้นและเสียบด้วยปิ่นปักผมไม้มะเกลือ บุคลิกภาพแบบสบายๆ เผยให้เห็นความนุ่มนวลละมุนละไมของสตรีได้เป็นอย่างดี
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนที่มักจะอ่อนโยน เป็นกันเอง และใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ ตอนนี้กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางเดินวนไปวนมาอยู่บริเวณพื้นที่นอกคฤหาสน์อย่างเงียบๆ
ลูกศิษย์สิบกว่าคนเดินตามนางอยู่ด้านหลัง บ้างก็กำลังเก็บกวาดสิ่งกีดขวาง บ้างก็พยายามวางค่ายกลใหม่
เมื่อสักครู่ที่นี่เพิ่งถูกทิ้งระเบิดปืนใหญ่ กระสุนปืนใหญ่รุนแรงราวกับมีอุกกาบาต พุ่งชนจนกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่หลายหลุม และกระแทกพื้นหินอ่อนจนแตกร้าว ซ้ำยังทำลายสิ่งก่อสร้าง และต้นไม้ที่อยู่รอบๆ
โชคร้ายที่ลูกศิษย์พรรคฟ้าดินท่านหนึ่งถูกแรงกระแทกของระเบิดปืนใหญ่ จนไม่เหลือแม้กระทั่งเศษซากกระดูก และยังมีลูกศิษย์พรรคฟ้าดินอีกสองท่านที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังจากหนีออกจากนิกายปฐพี คนเหล่านี้นคือกลุ่มลูกศิษย์นิกายปฐพีที่ยังคงมีสติสัมปชัญญะ และไม่ได้ตกสู่ทางมาร จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็น ‘พรรคฟ้าดิน’
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ บัดนี้ค่ายกลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนจัดเรียงไว้ในคฤหาสน์ ได้ถูกทำลายจนฉีกขาดออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ ไม่สามารถหยุดยั้งศัตรูที่โหมซัดสาดเข้ามาได้อีกต่อไป ซึ่งศัตรูเหล่านั้นรวมทั้งพวกที่ไม่แข็งแกร่ง และเหล่าจอมยุทธ์จำนวนมาก
เหล่าจอมยุทธ์พเนเจร คือกลุ่มที่สร้างความวุ่นวายใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกเขามีจำนวนมาก และวิธีการของพวกเขายังแปลกประหลาดและน่ารังเกียจ พวกเขาสามารถพลีชีพหลั่งเลือด เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากร
“ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน…”
ลูกศิษย์ที่สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสีฟ้าอ่อนวิ่งเข้ามา กล่าวสะอึกสะอื้นพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า “ศิษย์น้องหลิงเจิน เขา…เขา…”
พูดยังไม่ทันจบ นางก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอย่างหนัก
หลิงเจินเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการของเขารุนแรงจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ และเขาก็ไม่ได้ฝีกฝนจิตวิญญาณหยิน จึงต้องตายไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป
ลูกศิษย์สิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังไป๋เหลียนต่างก็ดวงตาแดงก่ำ
หลังจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีตกสู่ทางมาร ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็ล้วนตกสู่ทางมารและกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย ตอนนี้ลูกศิษย์ที่ยังมีสติเหลือเพียงสามสิบหกคนเท่านั้น การเสียคนใดคนหนึ่งไป จึงถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
ตอนนี้ ลูกศิษย์ดั้งเดิมของนิกายปฐพีเหลือเพียงสามสิบสี่ท่านแล้ว
“เขาต้องใช้วิธีการอื่นๆ มาไล่ล่าพวกเราอีกแน่” สตรีผู้สง่างามกล่าวด้วยความทอดถอนใจ
“ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน ท่านบอกว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเชิญเหล่าผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมาช่วยพวกเราไม่ใช่รึ พวกเขาล่ะ ทำไมพวกเขายังไม่มาอีก”
ลูกศิษย์สาวคนหนึ่งถามด้วยน้ำตา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าลูกศิษย์ที่เหลือก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาประกายแสงแห่งความหวัง เพราะท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนเน้นย้ำกับทุกคนมาโดยตลอด ว่าผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคือบุตรอันเป็นที่รักของสวรรค์ที่มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
เขาต้องสามารถช่วยปกป้องเมล็ดบัว และทำให้พวกเขารอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
“เขาต้องมาแน่ เขาต้องมาแน่…”
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนปลอบขวัญเหล่าลูกศิษย์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เปิดเผยความกังวลในใจของตนเองให้ใครรับรู้ อันที่จริงระเบิดปืนใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เกินความคาดหมายของนางไปมากจริงๆ
ตามแผนของนักบวชเต๋าจินเหลียน คฤหาสน์เยวี่ยจือทคือค่ายกลหลังหนึ่ง ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทุกท่านรับหน้าที่คนละตำแหน่ง เมื่ออาศัยอานุภาพของค่ายกล ก็จะสามารถป้องกันศัตรูภายนอก จนกระทั่งเมล็ดบัวสุกงอม
เมื่อเมล็ดบัวสุกงอม นักบวชเต๋าจินเหลียนก็จะสามารถฟื้นฟูพลังการต่อสู้บางส่วนได้ นอกจากนี้ พวกเขาก็สามารถต่อสู้และล่าถอยในเวลาเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องคฤหาสน์หลังนี้ สุดท้ายก็จะถอนทัพออกไปได้สำเร็จ
“สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ คือซ่อมแซมค่ายกลและอุดช่องโหว่นี้” ไป๋เหลียนกล่าวออกคำสั่ง
เหล่าลูกศิษย์ไม่พูดอะไรอีกต่างคนต่างยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเอง บ้างก็ทำเก็บกวาดซากปรักหักพัง บ้างก็ซ่อมแซมค่ายกล
เมื่อมองไปยังฉากหลังความวุ่นวายของพวกเขา สตรีผู้ทรงเสน่ห์กำลังขมวดคิ้ว พลางถอนหายใจอย่างเงียบๆ อันที่จริง ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคือใคร จะช่วยพวกเขาให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่ แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่รู้
‘เหมียว…’
เวลานี้เอง แมวสีส้มจำนวนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ และมองเหล่าลูกศิษย์ที่กำลังง่วนอยู่กับงานอย่างเงียบๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนนำแมวเหล่านี้กลับมาที่นี่ และเลี้ยงมันไว้ในคฤหาสน์มาระยะหนึ่งแล้ว ปกติพวกมันก็มักจะเดินเตร่ไปรอบๆ คฤหาสน์ แต่กลับไม่หนีไปไหน ราวกับที่นี่เป็นบ้านของพวกมัน
ไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนออกเดินทางไกล แล้วไปชื่นชอบการเลี้ยงแมวได้อย่างไร แต่เหล่าลูกศิษย์สาวต่างก็ชอบแมวเหล่านี้มาก นอกเวลาบำเพ็ญเพียร พวกนางก็มักจะอุ้มมันขึ้นมาเล่น
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนมองแมวเหล่านั้น พลางยิ้มออกมาเบาๆ
“ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน ซ่อมค่ายกลแล้วจะมีประโยชน์อันใดหรือ แม้ว่าเราจะซ่อมเสร็จสมบูรณ์ แต่หากระเบิดปืนใหญ่มาอีกรอบ มันก็ทำลายผลงานของพวกเราได้อย่างง่ายดาย…”
ศิษย์ชายหนุ่มท่านหนึ่งทุบวัสดุที่อยู่ในมือราวกับกำลังระบายความโศกเศร้า ดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “พวกเราไม่ใช่โหรในสำนักโหราจารย์ พวกเราสร้างค่ายกลที่สามารถต้านทานกระสุนปืนใหญ่ไม่ได้หรอก พวกเรา…พวกเราปกป้องเมล็ดบัวไม่ได้ ศัตรูมีทั้งเต๋ามารที่ตกสู่ทางมาร กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ยังมีกองกำลังราชสำนักที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน…พวกเราจะเอาอะไรไปปกป้องเมล็ดบัว?!”
อารมณ์และความรู้สึกของเขาถูกส่งต่อไปยังลูกศิษย์คนอื่นๆ ทุกคนต่างก็ก้มมองงานในมือสลับกับนักบวชเต๋าไป๋เหลียนอย่างเงียบๆ
นักพรตหญิงวัยกลางคนผู้สง่างามรู้สึกสั่นสะท้านในใจ เมื่อรู้ว่าเหล่าลูกศิษย์กำลังอยู่ในจุดใกล้ล่มสลาย ช่วงเวลานี้ นิกายอิสระต่างๆ กำลังรวมตัวกันในเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
หนึ่งในนั้นรวมถึงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เต๋ามารนิกายปฐพี และกองกำลังราชสำนักที่สามารถปรุงแต่งอาวุธเวทมนตร์และยิงระเบิดได้
สำหรับที่มาของข้อมูลเหล่านี้ คฤหาสน์เยวี่ยจือได้ส่งลูกศิษย์ปลอมตัวเป็นคนในยุทธภพไปสอดแนม เพื่อเก็บข้อมูลอย่างลับๆ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้ว่าศัตรูแข็งแกร่งเพียงใด
ความกังวลและความกลัวสะสมอยู่ในใจมานานหลายวันแล้ว และมันก็ถูกจุดชนวนด้วยกระสุนระเบิดปืนใหญ่เมื่อสักครู่
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เรายังมีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พวกเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว…”
ไป๋เหลียนยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกลูกศิษย์สาวคนหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน นางหมอบลงที่พื้น และกล่าวคัดค้านเสียงดัง “ความจริงไม่มีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอะไรนั่นหรอก ใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์? ถ้ามีกำลังเสริมจริงๆ มีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจริงๆ ทำไมท่านถึงไม่รู้ล่ะ? ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านไม่ได้บอกพวกเรา นั่นก็เพราะท่านกำลังโกหกพวกเรา”
ไป๋เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย และกวาดสายตามองเหล่าลูกศิษย์ พวกเขาก็กำลังมองมาที่นางเช่นกัน ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและหดหู่
ที่แท้พวกเขาก็คิดเช่นนี้…
ลูกศิษย์คนสนิทของนักบวชเต๋าไป๋เหลียนจุดประกายความคิดได้อย่างกะทันหัน จึงตะโกนว่า “ถึงแม้จะไม่มีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจริงๆ พวกเจ้าก็สู้ไม่ได้รึ นิกายปฐพีบำเพ็ญเพียรกุศล มีจิตใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญ เหล่าลูกศิษย์เคยกลัวตายที่ไหนกัน”
เหล่าลูกศิษย์เงียบไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งลูกศิษย์หนุ่มท่านหนึ่งส่ายศีรษะ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มน่าสังเวช “ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน พวกเราไม่ได้กลัวตาย สิ่งที่พวกเรากลัว คือการเสียสละที่ไร้ประโยชน์ต่างหาก จนถึงวันนี้ ผู้สืบทอดนิกายปฐพีที่แท้จริงเหลือเพียงสามสิบสี่คนเท่านั้น เพื่อดอกบัวเก้าสีแล้ว ทั้งหมดต่างได้รับความเสียหาย ท่าน…และท่านอาจารย์อาจินเหลียนคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
ลูกศิษย์อีกคนกำหมัดแน่น น้ำตาคลอเบ้า “ถ้าเหล่าพี่น้องทั้งหมดตายในคฤหาสน์เยวี่ยจือแม้จะปกป้องดอกบัวเก้าสีไว้ได้ แล้วจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อผู้สืบทอดถูกตัดขาดหมดแล้ว”
ลูกศิษย์สาวที่คัดค้านเสียงดังก่อนหน้านี้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา “ท่านอาจารย์ พวกเราถอยเถอะ ท่านลองไปพูดกับท่านอาจารย์อาจินเหลียน ดีหรือไม่?”
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนไม่ได้โกรธ นางเพียงแค่รู้สึกเศร้าใจ ในตอนแรกนางคิดว่าลูกศิษย์เหล่านี้จะมีจิตใจที่ฮึกเหิม และเป็นเสาหลักของนิกายปฐพีในอนาคต ตั้งแต่ผู้นำเต๋าตกสู่ทางมาร พวกเขาก็หลบๆ ซ่อนๆ คอยเฝ้ามองศิษย์ร่วมสำนักและอาจารย์ที่ตกสู่ทางมาร เพื่อขว้างดาบสังหารไปที่พวกเขา
หลายปีที่ผ่านมา พวกเขากลายเป็นนกตื่นธนู
เจตจำนงของพวกเขาค่อยๆ เสื่อมลง ความกล้าหาญของพวกเขาก็ค่อยๆ หมดไปทีละน้อยเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาต้องการชัยชนะในการต่อสู้เป็นอย่างมากเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจและความเชื่อมั่นกลับมา
ทันใดนั้น ใบหูของไป๋เหลียนก็ขยับเล็กน้อย นางได้ยินการเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาในสายลม ทันทีที่นางเงยศีรษะขึ้นไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นกระบี่เรืองแสงเล่มหนึ่ง พุ่งผ่านกระแสลมที่กำลังพัดกรรโชกเข้ามาอย่างรวดเร็ว
กระบี่บิน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง