ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 396

บทที่ 396 ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…สวีชีอัน (2)

“นักบวชเต๋าจินเหลียน ไม่ได้เจอกันนาน งานอดิเรกของท่านไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”

ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอันโดดเด่นก็ดังขึ้นด้านหลังทุกคน เมื่อหันไปมองตามเสียง ก็พบว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมชุดจิ้นจวงสีดำ รวบผมหางม้าสูง และมีดาบเรียวยาวเหน็บอยู่ที่เอวด้านหลัง เขานั่งยองอยู่หน้าแมวสีส้มตัวหนึ่ง พลางโบกมือทักทายอย่างต่อเนื่อง

แมวสีส้มตกใจกลัว มันย่อตัวลงอย่างระวังตัวและแยกเขี้ยวใส่เขา

“นักบวชเต๋า ท่านแสดงละครได้เหมือนจริงมาก…” เขากล่าวแล้วก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น

“นั่น…นั่นไม่ใช่ท่านอาจารย์อาจินเหลียน มันเป็นแค่แมวป่าธรรมดาๆ” ลูกศิษย์สาวคนหนึ่งกล่าวเสียงเบา

ชายหนุ่มผู้มีผมหางม้าสูงหันศีรษะกลับมา พลางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จริงรึ”

เขามีรูปร่างลักษณะที่หล่อเหลา ริมฝีปากหนาปานกลาง สันจมูกโด่ง ดวงตาเป็นประกายและลึกล้ำ โครงหน้าคมเข้มตามแบบฉบับชายชาตรี

ลูกศิษย์พรรคฟ้าดินสิบกว่าคนณ ที่แห่งนี้ ต่างก็รู้สึกราวกับมีฟ้าผ่าดัง ‘เปรี้ยง’ ลงมาที่ศีรษะ สีหน้าของทุกคนตกอยู่ในความตกตะลึง เมื่อเห็นการปรากฏตัวของบุคคลที่ไม่คาดคิด

สวี่…สวี่ชีอัน?!

ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง!

ชายหนุ่มที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและโดดเด่นราวกับดาวหาง ทั้งยังสร้างตำนานไว้ไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง เขาจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเหล่าลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์เยวี่ยจือ

หลังสิ้นสุดพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ ราชสำนักก็เผยแพร่จดหมายข่าวทางการไปทั่วใต้หล้า สถาปนาสวี่ชีอันให้เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ของต้าฟ่ง เขาจึงกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ต้องจับตามองของเครือข่ายข่าวกรองของคฤหาสน์เยวี่ยจืออย่างแท้จริง

หลังจากนั้น ศิษย์ที่รับผิดชอบออกไปรวบรวมข่าวกรองก็ได้ส่งข้อมูลโดยละเอียดของบุคคลนี้กลับมา

ติดคุก คลี่คลายคดีเงินภาษีด้วยความสามารถของตนเอง กอบกู้ชีวิตของคนในตระกูล รับราชโองการสอบสวนคดีซังผอ ขุดคดีเก่าที่ท่านหญิงผิงหยางถูกทำร้ายเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา เหล่าผู้เรืองอำนาจในท้องพระโรงส่วนใหญ่หมดอำนาจก็เพราะเรื่องนี้ ต่อมา เขาก็ไปสืบคดีที่อวิ๋นโจว เมื่อคณะทูตตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เขาก็ออกหน้ารับมือกับกองทัพกบฏตัวคนเดียว…

หลังจากกลับมาเมืองหลวง เขาได้คลี่คลายคดีของพระสนมฝูในพระราชวัง หลังจากนั้นก็พยายามเอาชนะสำนักพุทธ จนได้รับชัยชนะในพิธีต้าวฮวด กลายเป็นชายในตำนาน

ลูกศิษย์ชายหลายคนจำได้ว่าช่วงเวลานั้น ศิษย์พี่และศิษย์น้องผู้หญิงในคฤหาสน์จำนวนมากมักจะพูดถึงความเก่งกาจของชายคนนี้ ยกให้เขาเป็นวีรบุรุษในตำนาน ไม่ว่าวีรบุรุษหลายพันคนในยุทธภพก็ล้วนไม่ได้เสี้ยวนิ้วเดียวของสวี่ชีอัน

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่แล้ว เมืองเจี้ยนโจวได้ติดประกาศการออกคำสั่งวิจารณ์ตนเองของจักรพรรดิ ส่งผลให้ชาวยุทธภพในเจี้ยนโจวต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก

ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรมามากว่าสามสิบเจ็ดปีท่านนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกคำสั่งวิจารณ์ตนเอง และเนื้อหาก็น่าสะเทือนใจอย่างยิ่ง

เมื่อคฤหาสน์เยวี่ยจือส่งลูกศิษย์ออกไปสืบเรื่องราว ถึงได้รู้ว่า เมืองหลวงได้เกิดคดีใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ ไหวอ๋องสังหารหมู่คนทั้งเมือง โดยมีจักรพรรดิช่วยปกปิดความผิด ด้วยอำนาจของจักรพรรดิ ทุกคนในราชสำนักต่างก็ถูกบังคับให้ต้องก้มหน้ายอมรับเพื่อรักษาตัวรอด ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาค้านคำพิพากษาเพื่อประชาชนทั้งสามแสนแปดหมื่นคน

แต่เป็นสวี่ชีอัน!

เขาบุกเข้าไปในพระราชวัง จับกั๋วกงไปที่ไช่ซื่อโข่วและลงดาบฟันคอพวกเขา เป็นการตัดขาดโลกอันสงบสุขและอนาคตของตนเอง

บรรดาลูกศิษย์สาวของคฤหาสน์เยวี่ยจือแต่ละคน ต่างก็ชื่นชมฆ้องเงินในตำนานท่านนี้เป็นอย่างมาก

พวกนางไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าบุคคลในตำนานที่พวกนางชื่นชมมาเป็นเวลานานท่านนี้ แท้จริงแล้วคือผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี คือสมาชิกของพรรคฟ้าดิน คือพวกเดียวกัน…

นี่คือแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดในโลก มากกว่าปณิธานอันยิ่งใหญ่ใดๆ ทั้งสิ้น

บรรดาลูกศิษย์สาวรู้สึกตื่นเต้นจนใบหูและใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับสามารถกรีดร้องออกมาได้ทุกเมื่อ

หลี่เมี่ยวเจินมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นและความหลงใหลชื่นชมในแววตาของเหล่านักพรตสาว นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่ชอบใจ

เหตุผลที่หลี่เมี่ยวเจินไม่ชอบใจ ก็เพราะนางไม่อยากเห็นเหล่าลูกศิษย์นิกายปฐพีตกลงไปในหลุมนรกอย่างสวี่ชีอัน บุคคลนี้มักมากในกามตัณหา และไม่ใช่คนดีสักนิด มิเช่นนั้นจะเป็นอะไรได้อีก?

“อะแฮ่ม!” นักบวชเต๋าจินเหลียนปรากฏตัวราวกับผี เขายืนอยู่ข้างแมวสีส้ม พลางลูบเคราและแสยะยิ้มราวกับไม่เต็มใจจะยิ้ม

“คุณชายสวี่อย่าล้อเล่น อาตมาจะเป็นแมวได้อย่างไร”

‘ฟ่อ’

อันที่จริงดวงตาของนักบวชเต๋าน่ากลัวเล็กน้อย…

สวี่ชีอันเปลี่ยนหัวข้อคุยอย่างรู้งาน “นักบวชเต๋า พวกเรามาแล้ว อีกนานเท่าใดเมล็ดบัวถึงจะสุกงอม?”

เขากล่าวแล้วก็หันไปมองรอบๆ และกล่าวอีกว่า “ท่านใช้หนังสือปฐพีแจ้งให้พวกเรามา ก็เพราะสถานการณ์นี้รึ”

นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้า พลางมองฉากที่ยุ่งเหยิงเบื้องหน้า และกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งของพวกเจ้าสนใจเมล็ดบัวเก้าสีมาก ไม่เพียงแต่ส่งกองกำลังยอดฝีมือปริศนามาเท่านั้น พวกเขายังขนอาวุธเวทมนตร์อย่างปืนใหญ่มาด้วย ระเบิดถูกทิ้งเมื่อเช้าตรู่ ค่ายกลที่ข้าจัดเรียงไว้ถูกทำลาย”

เขาถอนหายใจ “เดิมทีข้าคิดจะให้พวกเจ้าร่วมมือกันปกป้องค่ายกลของคฤหาสน์ เสริมสร้างความได้เปรียบ เช่นนี้ถึงจะเป็นการใช้ต้นทุนน้อย แต่ได้มาซึ่งผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้…”

สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ยังไม่ทันตอบ จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น สะท้อนอยู่บนซากปรักหักพัง “ของหยาบๆ เช่นนี้ เจ้าเรียกว่าค่ายกลรึ”

ในน้ำเสียงนั้น ปะปนไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างเปิดเผย

เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินต่างก็โกรธจัด และมองไปรอบๆ พลางตะโกนว่า “ผู้ใดพูด จงแสดงหางออกมาซะ”

“หึ!”

เสียงพ่นลมหายใจอันหนักแน่นดังมาจากทุกทิศทุกทางราวกับไม่มีตัวตน

“หากสวรรค์ไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”

เสียงนี้ราวกับดังมาจากสมัยโบราณอันไกลโพ้น ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันยิ่งใหญ่และหนักหน่วง ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน

“ข้า…ข้าขอบังอาจถาม ว่าท่านผู้อาวุโสมาจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ใดหรือ?”

‘หากสวรรค์ไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน’…นี่จะเย่อหยิ่งและโอหังไปถึงขั้นไหนกัน

นักบวชเต๋าไป๋เหลียนผู้สง่างามตกตะลึงจนร่างแข็งทื่อ นอกจากผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว ผู้นำเต๋าจินเหลียนยังเชิญยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งท่านใดมาอีก?

ตอนนี้เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างก็เก็บอาวุธเวทมนตร์ และมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังเพื่อหาร่างของ ‘ท่านผู้อาวุโส’ แม้แต่ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนก็ยังเรียกบุคคลนั้นว่าท่านผู้อาวุโส ดังนั้นพวกเขาจะล่วงละเมิดทางวาจาได้อย่างไร

“อยู่ที่นั่น…” ลูกศิษย์สาวคนหนึ่งพบเขา และกล่าวกระซิบ

ร่างที่สวมชุดสีขาวร่างหนึ่ง ยืนหันหลังให้กับทุกคนอยู่ในระยะไกล เขาไขว้มือไว้ด้านหลัง สายลมพัดชายเสื้อและเส้นผมของเขาปลิวไสว ราวกับเป็นผู้อมตะที่ถูกสวรรค์เนรเทศลงมายังโลกมนุษย์

“ท่านนี้คือโหรหยางเชียนฮ่วน หรือผู้อาวุโสหยาง ที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังในเมืองหลวง” สวี่ชีอันรีบแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จัก

นักพรตหญิงไป๋เหลียนก้าวขึ้นไปต้อนรับ และแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม “ขอบคุณผู้อาวุโสหยางที่มาช่วย ผู้อาวุโสรู้จักกับศิษย์พี่จินเหลียนที่เมืองหลวงใช่หรือไม่”

ขณะที่พูด นักพรตหญิงไป๋เหลียนก็หันไปมองนักบวชเต๋าจินเหลียนที่อยู่ไม่ไกล

จู่ๆ ผู้นำเต๋าก็สานสัมพันธ์กับสำนักโหราจารย์ได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ ต้องรู้ว่าโหรของสำนักโหราจารย์เกิดขึ้นภายหลังลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเดิมทีเป็นระบบที่ไม่แยแสใครที่สุด ต่อให้จะเป็นลัทธิเต๋า เหล่าโหรก็ไม่ให้ความสำคัญ

สมแล้วที่เป็นผู้นำเต๋า วางหมากไว้ถึงขั้นนี้ โดยที่คนอื่นๆ ยังไม่ทันรู้ตัว

สีหน้าของลูกศิษย์ทุกคนเต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี

หยางเชียนฮ่วนพ่นลมหายใจ “จินเหลียนคือใคร”

เอ่อ…นักพรตหญิงไป๋เหลียนตกตะลึง “ท่านไม่รู้จักศิษย์พี่จินเหลียนหรอกหรือ”

หยางเชียนฮ่วนยืนไขว้มือไว้ด้านหลัง พลางกล่าวด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “ทำไมข้าต้องรู้จักเขา”

ไป๋เหลียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “งั้นท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”

เหล่าลูกศิษย์สิบกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนาง ต่างก็มองไปที่แผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วน

หยางเชียนฮ่วนกล่าวอย่างไม่แยแส “หากไม่ใช่เพราะคำขอของสวี่ชีอัน ข้าคงไม่ลดตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกเช่นนี้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง