บทที่ 397 ใบหน้า
สวี่ชีอันหันไปมองหลี่เมี่ยวเจินทันที ก่อนจะพบว่านางดูไม่ประหลาดใจสักนิด
“ก็แค่พวกชาวยุทธ์พเนจร ใช้กำลังความสามารถของพรรคฟ้าดิน ก็คงจัดการได้ไม่ยากกระมัง” เขาขมวดคิ้วแน่น
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนอธิบายอย่างไม่มีทางเลือก “ชาวยุทธ์พเนจรเหล่านี้น่ารำคาญที่สุด พวกเราก็ไม่อยากจะก่อกรรมทำบาป แต่หากเพิกเฉย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกข่มเหง พวกเขามีจำนวนมาก วิธีการก็เลือดเย็น เป็นภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่สำหรับลูกศิษย์ธรรมดา แต่การเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพวกเรา…”
“แม้ว่าชีวิตจะถูกคุกคาม ก็ทำไม่ได้รึ?” สวี่ชีอันถามกลับด้วยความประหลาดใจ
ไป๋เหลียนส่ายศีรษะ และกล่าวเสียงแผ่วว่า “รากฐานของนิกายปฐพีคือบุญกุศล ไม่ใช่จิตที่มั่นคงในอุดมการณ์ของตน”
สิ่งที่นางหมายถึง คือ การไร้ซึ่งจิตสำนึกกับการกระทำของตนเองใช้กับนิกายปฐพีไม่ได้ ตราบใดที่ฆ่าคน ก็จะเป็นการทำลายคุณธรรม…หากอธิบายจากมุมมองนี้ อันที่จริงการฆ่าคนชั่วก็ไม่เป็นอะไร เพราะการขจัดความชั่วก็คือการส่งเสริมความดี แต่เป็นไปไม่ได้ที่ชาวยุทธ์พเนจรเหล่านั้นจะเป็นคนชั่วทั้งหมด…
สวี่ชีอันเข้าใจสถานการณ์นี้ดี
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็จะไปช่วยด้วย”
เหิงหย่วนพนมมือ “อมิตตาพุทธ อาตมาก็จะไปเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนาให้แก่พวกเขาด้วย”
แท้จริงแล้ว เหิงหย่วนเป็นภิกษุที่ไม่มีรอยจี้ธูป[1]บนศีรษะ หากว่ากันตามทฤษฎี เขาคือคนที่ยังไม่ได้ให้คำสัตย์สาบาน ดังนั้นเขาจึงสามารถกินเนื้อดื่มสุราได้ สามารถฆ่าคนได้และเป็นจอมยุทธ์ภิกษุได้
เพียงแต่ว่าเหิงหย่วนนั้นแตกต่าง เขาใช้กฎ ‘ทำสมาธิปลูกฝังจิต’ เรียกร้องตนเองมาโดยตลอด
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวว่า “ข้าไม่ได้จะให้พวกเจ้าต่อสู้เพื่อขับไล่ชาวยุทธ์ธรรมดาเหล่านั้น เพียงแต่ทำให้พวกเขารับรู้ถึงความลำบากและถอยกลับไป ไม่อยู่สร้างปัญหาตอนที่เมล็ดบัวสุกงอมเท่านั้นเอง”
นักพรตหญิงไป๋เหลียนกล่าวต่อไปว่า “อันที่จริง เฮยเหลียนตั้งใจกระจายข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจชาวยุทธ์พเนจรเหล่านี้ และใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขาจึงรับบทเป็นผู้เปิดทางและเป็นตัวรับกระสุนอย่างขยันขันแข็ง อย่างไรก็ตาม ในบรรดาชาวยุทธภพเหล่านี้ย่อมมียอดฝีมืออยู่ ซึ่งไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง หากไม่สามารถแก้ไขภัยพิบัตินี้ไว้ล่วงหน้า กองกำลังนี้ก็จะทำให้พวกเราวุ่นวายมากในศึกชี้ขาดวันพรุ่งนี้”
ในขณะที่พูด นักพรตหญิงไป๋เหลียนก็มองหลี่เมี่ยวเจินและสวี่ชีอันตาไม่กะพริบ เวลานี้ นางเข้าใจความคิดของนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ข้าพอมีชื่อเสียงในยุทธภพ สหายก็มากอยู่ คนที่ข้าไม่รู้จัก ก็น่าจะพอไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ให้ข้าจัดการเถอะ”
สวี่ชีอันกำลังจะตามหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ไป แต่จู่ๆ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ขัดขวางเขาไว้ “ช้าก่อน คุณชายสวี่ อาตมามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
เมื่อรู้เหตุผล สวี่ชีอันก็คล้อยตามและหยุดฝีเท้าลง ในขณะที่สายตายังคงมองสหายพรรคฟ้าดินทั้งสี่เดินจากไป
หลังจากแผ่นหลังของพวกเขาลับสายตาไปแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนก็กวักมือเล็กน้อย ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีลอยออกมาจากกระเป๋าของสวี่ชีอันโดยอัตโนมัติ ก่อนจะตกลงที่ฝ่ามือของนักพรตชรา
เขาถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พลางยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋เหลียนจึงกล่าวอย่างมีมารยาทว่า “ข้าจะไปดูการสู้รบข้างนอก”
ที่ริมสระน้ำ เหลือเพียงนักบวชเต๋าจินเหลียนและสวี่ชีอันสองคน นักพรตชรากัดปลายนิ้ว ก่อนจะใช้เลือดสดๆ วาดคาถาลงบนกระจกของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
สวี่ชีอันพยายามเขย่งเท้าแอบดู แต่ถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนขัดขวางไว้ก่อน “ชิ้นส่วนหนังสือปฐพี คือสมบัติอันล้ำค่าแห่งนิกายปฐพีของข้า ในเมื่อเจ้าไม่ยอมเข้ามาในนิกายปฐพี งั้นอาตมาก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามกฎ ‘เต๋าไม่สอนให้คนที่ไม่เหมาะสม’ “
นักบวชเต๋า ท่านไม่มีจิตวิญญาณเชื่อมถึงกันสักนิดเลยรึ จิตวิญญาณที่รู้ใจกันคืออะไร? คือการกินฟรีไงเล่า! ไม่สิ การแบ่งปันน่ะ…สวี่ชีอันกล่าวพึมพำในใจ
นักบวชเต๋าจินเหลียนงอนิ้ว ก่อนจะดีดนิ้วลงบนผิวกระจก ทันใดนั้น คาถาที่ถูกเขียนด้วยเลือดก็เรืองแสงขึ้น จากนั้นก็ล่องหนเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
เสียงดัง ‘เปรี้ยง’ ก้องอยู่ในศีรษะของสวี่ชีอัน ราวกับมีสายฟ้าฟาดเข้ามาในสมองของเขา ตามด้วยความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่มาจากจิตวิญญาณข้างใน
เขากุมศีรษะแน่น ใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง กินเวลานานกว่าสิบวินาที ก่อนที่ความเจ็บปวดทั้งหมดจะสลายไป
“ของวิเศษที่เชื่อฟังเจ้าของก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของ บังคับให้ตัดออกก็ไม่ต่างอะไรกับการตัดแขน…” นักบวชเต๋าจินเหลียนเก็บหนังสือปฐพีหมายเลขสามไว้อย่างดี ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากเจ้ายังพกมันต่อไป เฮยเหลียนก็จะยังสัมผัสถึงมันได้ ดังนั้น เวลาเช่นนี้ให้ข้าเก็บรักษามันไว้ก่อน รอจนกว่าเรื่องราวจะจบ ค่อยคืนให้เจ้า”
สวี่ชีอันมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีที่ถูกเก็บเข้าไปในอ้อมอกของนักบวชเต๋าจินเหลียนตาปริบๆ ราวกับผักกาดขาวที่เลี้ยงอย่างประคบประหงมมาสิบแปดปีถูกหมูใช้จมูกดุนจนเสียหาย เขาจึงกล่าวด้วยความกังวลใจว่า “นักบวชเต๋า ท่านต้องรักษามันให้ดีล่ะ เสร็จเรื่องแล้วต้องคืนให้ข้านะ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะรู้สึกอุ่นใจกับพรรคฟ้าดินมากนะ”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ใช่สักหน่อย เป็นเพราะในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีนั่น มีภรรยาที่รักของข้าต่างหาก”
เป็นภรรยาที่ข้ารักคูณสิบ
…
บริเวณรอบนอกคฤหาสน์เยวี่ยจือในบริเวณที่ที่ถูกทิ้งระเบิดปืนใหญ่จนเป็นซากปรักหักพัง ชายชาตรียุทธภพสิบกว่าคนกำลังเผชิญหน้ากับลูกศิษย์พรรคฟ้าดิน
เมื่อสักครู่ ที่นี่เพิ่งเกิดการยิงต่อสู้ช่วงสั้นๆ ทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่รุนแรงจนถึงชีวิต
“เหล่านักพรตน้อย รีบหลีกทางเถอะ สิ่งที่พวกพี่ใหญ่ต้องการคือสมบัติ ไม่ได้จะมาเอาชีวิตใคร”
“ถ้ากล้าขวางทางพวกพี่ใหญ่อีกล่ะก็ อย่าหาว่าพวกเราหยาบคายก็แล้วกัน”
ชาวยุทธภพนับสิบกระจายตัวไปทั่วทุกสารทิศ กวัดแกว่งอาวุธ พลางคุกคามด้วยการพูดไปข่มขู่ไป
เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินที่เผชิญหน้ากับพวกเขา ต่างก็ถืออาวุธเวทมนตร์อย่างกระบี่บิน ไม้บรรทัดหยก กรวยทองแดง โดยไม่ยอมถอยหลังแม้แต่ครึ่งก้าว
สาวน้อยท่านหนึ่งยกกระบี่ในมือขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง พลางกล่าวด้วยความโกรธว่า “เฮ้ย ไอ้พวกไร้ยางอาย เอาแต่จ้องสมบัติพรรคฟ้าดินของข้าตาเป็นมัน หากคิดจะใช้กำลังช่วงชิงไป ก็ฝันไปเถอะ”
“หึ!”
เสียงพ่นลมหายใจอันเยือกเย็นนั้น เป็นของชายแข็งแกร่งรูปร่างอ้วนท้วน เขาเดินออกมาพร้อมกับถือค้อนเหล็กสีดำสองอันอยู่ในมือ
สาวน้อยผู้มีใบหน้างดงามและสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าไม่มีท่าทีเกรงกลัวสักนิด นางโยนกระบี่บินออกไปเบาๆ เสียงเหล็กแหลมทะลุผ่านอากาศดังขึ้นอย่างชัดเจน
‘ชิ้ง!’
ประกายไฟซัดสาดไปทั่ว ชายอ้วนท้วนที่หลบหลีกกระบี่บินได้หัวเราะเยาะเบาๆ ก่อนจะทุบค้อนทั้งสองไปที่สาวน้อยอย่างรุนแรง
แต่เขาไม่สามารถทุบได้ มีมือเล็กคู่หนึ่งสกัดกั้นค้อนเหล็กเอาไว้ ซึ่งเป็นฝ่ามืออันเรียวเล็กและได้สัดส่วนของผู้หญิง แต่ที่น่าแปลกคือ มือคู่นี้สกัดกั้นค้อนเหล็กโดยไม่มีความผันผวนของพลังปราณเลยสักนิด และไม่มีเสียงที่เกิดขึ้นจากการกระทบกันของวัตถุแต่อย่างใด
มีเพียงเนื้อหนังเปล่าๆ เท่านั้น ที่ต้านทานการโจมตีอันทรงพลังเช่นนี้?
เมื่อเห็นฉากนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดิน หรือว่าชาวยุทธภพมือดี ต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ
เป็นฝีมือของสาวน้อยงดงามคนหนึ่ง ดวงตาสีครามเข้ม ผิวสีเมล็ดข้าวสาลี
นางมีลักษณะเฉพาะของคนซินเจียงตอนใต้ชัดเจนมาก
สีหน้าของชายอ้วนท้วนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์การต่อสู้ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้เขาตัดสินได้โดยไม่ต้องไตร่ตรอง เขาละทิ้งค้อนเหล็กสีดำและล่าถอยกลับไปทันที
“ชายชาตรีแห่งที่ราบกลางอย่างพวกเจ้าล้วนเป็นกุ้งนิ่มหรอกรึ เล่นของเล่นอะไรอ่อนหัดเช่นนี้”
ลี่น่าถือค้อนเหล็กสองอันอยู่ในมือ ราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังเล่นตุ๊กตาและโยนไปโยนมา
ชาวยุทธ์พเนจรทุกคนมองฉากตรงหน้าด้วยความทึ่ง โดยไม่สามารถปกปิดความตกตะลึงบนใบหน้าได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องพูดถึงพลังการต่อสู้ของนาง เพียงแค่อาศัยความแข็งแกร่งนี้ก็สามารถบดขยี้พวกเขาทุกคนได้อย่างง่ายดาย
“เผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้ เขตลี่กู่รึ?”
มีคนขมวดคิ้ว และกล่าวพึมพำด้วยความไม่มั่นใจนัก
ม่านตาสีครามเข้มของลี่น่ากวาดมองทุกคน ทันทีที่นางฉีกยิ้ม ก็เผยให้เห็นฟันเขี้ยวน้อยๆ ลี่น่าหัวเราะเหอะๆ และกล่าวว่า “ที่ราบกลางของพวกเจ้ามีคำกล่าวว่า มิตรภาพจะยืนยงอยู่ไม่ได้ หากมีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
นอกจากยอดฝีมือไม่กี่คน เหล่าชาวยุทธภพจำนวนมาก ต่างก็แอบจับอาวุธอย่างเงียบๆ
‘แกร๊ก…’
เมื่อลี่น่าเหยียบพื้นกระเบื้องที่แตกร้าว ทันใดนั้น ก็ราวกับมีธนูหน้าไม้ยิงใส่ฝูงชนอย่างต่อเนื่อง
คนเหล่านั้นล่าถอยอย่างทันทีทันใด และร้องคำรามไม่หยุด นางล้มชายชาตรีคนหนึ่งได้ด้วยหมัดเดียว ความแข็งแกร่งอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งทักษะทางกายภาพของนางยังปราดเปรียวและทรงพลังมาก
หลังจากล้มลงหลายสิบรอบ ก็ไม่มีใครสามารถออกโรงได้อีก
แข็งแกร่งมาก…
ดวงตาของเหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้ ความสนใจของพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่หลี่เมี่ยวเจิน สวี่ชีอัน และฉู่หยวนเจิ่น โดยละเลยสาวน้อยต่างเผ่าท่านนี้ไป เพราะคิดว่านางเป็นแค่กำลังเสริมพิเศษ คิดไม่ถึงว่านางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
จนกระทั่งมีชายชาตรีท่านหนึ่งแก้ปัญหาด้วยการใช้กระบองทองแดง ถึงจะยับยั้งการโจมตีของลี่น่าได้
ชายชาตรีนับสิบถือกระบองทองแดงนำอยู่เบื้องหน้า และก่อตัวล้อมนางไว้ นอกจากนี้ยังมีมือดีหลายคนที่ใช้อาวุธลับแฝงตัวอยู่ในฝูงชน บางครั้งก็โยนอาวุธลับเจ้าเล่ห์ออกมาจากมุมใดมุมหนึ่ง
ด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ในที่สุดชาวยุทธภพก็สามารถพลิกฟื้นความได้เปรียบ
เหล่าชาวยุทธภพใช้ประโยชน์จากจำนวนคนที่มากกว่าครอบงำสาวน้อยต่างเผ่าคนนี้ ชายที่ถือกระบองทองแดงตะโกนคำราม หมุนตัวและเหวี่ยงกระบองทองแดงออกไป เสียงทะลุทะลวงในชั้นบรรยากาศหนักแน่นและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง