ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 398

บทที่ 398 ถอยไป

หยางซุยเสวี่ยหรี่ตาพร้อมหันไปตามเสียง ผู้ที่มาคือชายหนุ่มอายุน้อยผู้หนึ่งสวมชุดจิ้นจวงสีดำ มัดหางม้าขึ้นสูงและห้อยดาบเล่มยาวเอาไว้ที่ด้านหลังเอว

ดูเหมือนว่าจะคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้างเล็กน้อย…ทันทีที่ความคิดผุดขึ้น เขาก็ได้ยินคนเฝ้าประตูที่อยู่ข้างหลังตะโกนขึ้น

“สวี่ชีอัน เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? “

คนที่พูดคือคุณชายหลิ่ว เขาและสวี่ชีอันเคยได้พบกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่เมืองหลวง

เมื่อพบสวี่ชีอันอีกครั้ง คุณชายหลิ่วก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกหากไม่ปะทะกันก่อนก็คงไม่ได้รู้จักกัน แม้ว่าความประทับใจแรกของฆ้องเงินสวี่ต่อคนอื่นๆ จะไม่ค่อยดีนัก (พบหน้ากันก็ตัดดาบอันเป็นที่รักของเขาหักเป็นสองท่อนเสียแล้ว)

แต่ความจริงก็ปรากฏ บุคลิกประจำตัวของฆ้องเงินสวี่นั้นควรค่าแก่การคบหา เขาลักพาตัวแม่นางหรงหรงไปโดยไม่ได้ฉวยโอกาสใช้กำลังครอบครองนาง และหลังจากที่รู้ว่าตนเองเข้าใจผิด เขาไม่เพียงแต่ขอโทษเท่านั้น แต่ยังชดเชยด้วยอาวุธเวทมนตร์หนึ่งกองที่เขาผลิตให้กับสำนักโหราจารย์

คุณชายหลิ่วหวนนึกถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา ทันใดนั้นก็มองเห็นใบหน้าของเจ้าสำนักของตนอิงอยู่บนไหล่ของเขาด้วยความตื่นเต้น พลางจ้องมองด้วยสายตาแวววาว พร้อมกับเอ่ยถามหาหลักฐานพิสูจน์

“เขา เขาคือสวี่ชีอัน?”

คุณชายหลิ่วพยักหน้าอย่างงุนงง “ข้าเคยเจอกันที่เมืองหลวง และท่านอาจารย์ก็รู้จักเช่นกัน”

หยางซุยเสวี่ยมองไปที่ศิษย์น้องของเขาทันทีและท่านอาจารย์ของคุณชายหลิ่วก็พยักหน้า “คือฆ้องเงินสวี่จริงๆ แน่นอน”

เมื่อหยางซุยเสวี่ยมองไปที่สวี่ชีอันอีกครั้ง ก็เหมือนกับภาพคนที่อยู่ในความทรงจำ เขาคือสวี่ชีอันจริงๆ ไม่ผิดแน่

ดวงตากลมโตของหลิวหู่เบิกโพลงขึ้นในทันที ร่างของชายหนุ่มสะท้อนภาพออกมาจากดวงตาคู่นั้น นึกถึงหัวข้อสนทนาที่ยังคงติดอยู่บนริมฝีปากของเขาเมื่อสองสามวันก่อน

เจี้ยนโจวและเมืองหลวงอยู่ห่างกันสองพันลี้ ไม่รวมเหล่าเครือข่ายหน่วยข่าวกรองขององค์กรขนาดใหญ่ คนของยุทธภพที่กระจัดกระจายอยู่และอีกทั้งประชาชนทั่วไปที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการสังหารหมู่เมืองที่แท้จริงตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ได้เห็นพระราชกฤษฎีการับผิดของจักรพรรดิ อันที่จริงก็เพิ่งจะผ่านไปห้าวันเท่านั้น

หลังจากข่าวแพร่มาถึงฉู่โจว ก็สร้างความฮือฮาอยู่ครู่หนึ่ง จากทั้งยุทธภพไปจนถึงขุนนาง ทุกคนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ และทุกคนต่างปรบมือแสดงความยินดีให้กับความชอบธรรมของฆ้องเงินสวี่

หลังจากพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ สวี่ชีอันก็มีชื่อเสียงกระจายไปทั่วใต้หล้าอีกครั้ง กลายเป็นวีรบุรุษและข้าราชการที่ซื่อสัตย์ในสายตาของเหล่าประชาชน

ผู้คนจากทั่วยุทธภพที่อิจฉาริษยาอย่างเช่นคู่อริ ต่างก็เคารพนับถือเขามากยิ่งขึ้น

คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้เห็นบุคคลในตำนานด้วยตาของตนเอง

‘บุคลิกลักษณะดูองอาจภูมิฐานอย่างที่คิดไว้ และมีพรสวรรค์โดดเด่นสะดุดตา’ หลิวหู่ชื่นชมอยู่ในใจ

อารมณ์ของเหล่าคนอื่นๆ ในยุทธภพก็เหมือนๆ กันกับเขา ในความประหลาดใจงงงวยนั้นก็ปะปนไปด้วยความดีใจ

พวกเราได้พบกับฆ้องเงินสวี่แล้วที่ฉู่โจว…นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การนำเอาไปพูดโม้เป็นหัวข้อสนทนากัน

สีหน้าของหยางซุยเสวี่ยดูเคร่งขรึม เขาจัดเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย จากนั้นจึงได้ขึ้นไปต้อนรับ พลางโค้งตัวคำนับและพูด “ข้าหยางซุยเสวี่ยแห่งสำนักโม่ ได้พบกับฆ้องเงินสวี่แล้ว”

ยอดฝีมืออาวุโสขั้นสี่ท่านหนึ่ง ที่เป็นหัวหน้าสำนักสำนักหนึ่ง ทักทายผู้น้อยด้วยการทำความเคารพ เดิมทีก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียหน้าอย่างยิ่ง แต่เหล่าบุคคลในยุทธภพที่อยู่ที่ลาน ตลอดจนเหล่ามือกระบี่ข้าราชการผู้น้อยเสื้อสีครามขั้นเก้าแห่งสำนักโม่ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของหยางซุยเสวี่ยนั้นมีอะไรที่ผิดปกติ

วีรกรรมของฆ้องเงินสวี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของคดีสังหารหมู่ในฉู่โจว สมควรได้รับความเคารพจากพวกเขา

“เจ้าสำนักหยางถ่อมตัวเกินไปแล้ว ข้าน้อยสวี่ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองเช่นนี้” สวี่ชีอันยื่นมือออกมาเพื่อประคองไว้

“ตัวข้าหยางนั้นเลื่อมใสศรัทธาฆ้องเงินสวี่มาเป็นเวลานานแล้ว วันนี้ได้พบเจอตัวจริง รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว” หยางซุยเสวี่ยยิ้มอย่างอบอุ่นและศรัทธา โดยไม่มีมาดหรือท่าทางของเจ้าสำนักเลยแม้แต่น้อย

เลื่อมใสศรัทธากันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ทุกที

สวี่ชีอันยิ้มพลางพูด “ข้าน้อยก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้าสำนักมานานแล้ว”

อันที่จริงก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่พูดเพื่อการค้าก็สามารถทำได้

เหล่าลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดินมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เดิมทีเจ้าสำนักท่านนี้มีท่าทางหยิ่งยโส พูดจาเสียดสีทั้งหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่น แต่ในตอนนี้กลับไม่มีท่าทีเสแสร้งแม้แต่น้อย เขายิ้มอย่างอบอุ่นให้ฆ้องเงินสวี่ วาจานอบน้อมจริงใจ

เหล่าคนในยุทธภพที่กระจายกันอยู่ไกลๆ มือกระบี่เสื้อฟ้ามองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศตึงเครียดก็หายไปโดยสมบูรณ์

ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าลูกศิษย์หญิงต่างพากันมองสวี่ชีอันด้วยสายตาที่หลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ ชายผู้นี้มีบุคลิกที่มีเสน่ห์และดึงดูดใจคนได้มากเลยทีเดียว

การไล่ตามดวงดาวที่เปล่งประกายสว่างที่สุดคือสัญชาตญาณธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน

ที่นี่และเวลานี้ สวี่ชีอันก็คือดวงดาวที่เปล่งประกายสว่างที่สุดในสายตาของพวกนางโดยไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย

เขามีชื่อเสียงและความนิยมอย่างมากเกินความคาดหมาย…นัยน์ตาที่สวยงามของนักพรตหญิงไป๋เหลียนยากที่จะปกปิดความแปลกใจเอาไว้ได้ นางมีนิสัยที่ไม่แยแส จิตใจบริสุทธิ์ ไม่ละโมบ ทั้งยังเฉยชาต่อชื่อเสียงและลาภยศ ตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของตน นั่นทำให้นางประเมินชื่อเสียงและความนิยมของสวี่ชีอันผิดไป

“เจ้าสำนักหยาง ศักดิ์ศรีหรือเกียรติยศอะไรนั่น เมื่อครู่นี้ก็เป็นเพียงแค่คำพูดล้อเล่นขำๆ เท่านั้น”

หลังจากทักทายไม่กี่คำ สวี่ชีอันก็เข้าเรื่องหลัก โค้งคำนับอย่างเคร่งขรึมพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจนอบน้อม “ข้าและเทพธิดานิกายสวรรค์ตลอดจนพี่ฉู่ มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นต่อกัน ครั้งนี้ได้รับคำเชิญชวนจากพวกเขาทั้งสองให้มาที่คฤหาสน์เยวี่ยจือเพื่อช่วยปกป้องเมล็ดบัว ขอให้เจ้าสำนักได้โปรดเข้าใจ และให้การสนับสนุน”

หยางซุยเสวี่ยครุ่นคิดสักครู่ แล้วส่ายหัวอย่างไม่มีทางเลี่ยง “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ในเมื่อรู้ว่าฆ้องเงินสวี่ปกป้องเมล็ดบัวอยู่ คนแก่อย่างข้าก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิฉะนั้นเทศกาลยามค่ำนี้ก็จะไม่ปลอดภัย”

น้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง

“ขอบคุณมาก!”

สวี่ชีอันหันไปมองคนอื่นๆและพูดเสียงดัง “ทุกท่าน คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ได้มาพบกันโดยบังเอิญก็ถือว่าเป็นโชคชะตา หวังว่าจะได้โปรดเข้าใจและให้การสนับสนุน ทุกคนล้วนคบหาเป็นสหายกัน หากในอนาคตมีเรื่องทุกข์ยาก ก็ให้รีบบอกได้โดยไม่ต้องเกรงใจ สวี่ชีอันจะพยายามสุดกำลังอย่างแน่นอน”

ฟังในคำพูดนี้ ทุกคนก็รู้สึกสุขในเป็นอย่างยิ่ง

การหล่อหลอมยุทธภพเข้าด้วยกัน อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด?

คือการให้ความรักและให้เกียรติ

ถ้าไม่ให้ความรักและให้เกียรติคน ยังจะหล่อหลอมยุทธภพไปทำไม

ยิ่งไปกว่านั้นคือคนอย่างฆ้องเงินสวี่ ถ้าเขาพูดคำที่ดีเพียงคำเดียว มันจะมีผลมากกว่าหมื่นคำที่พูดโดยคนทั่วไป

หลิวหู่แสยะยิ้มมุมปากและพูดเสียงดัง “แม่ของข้าชอบฟังคำพูดคุยเล่นของคนอื่น ก่อนหน้านี้พักหนึ่งก็ได้ยินเรื่องราวคุณงามความดีของท่านมาบ้างแล้ว หลังจากกลับถึงบ้าน นางก็ยังคงพูดชมเชยฆ้องเงินสวี่อยู่ บอกว่าท่านเป็นข้าราชการระดับสูง เพื่อให้เขารู้ว่าข้ากับท่านนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน”

“ข้าก็ถอนตัวออกไปเช่นกัน ให้ตายเถอะ ตัวข้าเองก็ไม่ต้องการให้ชาวบ้านละแวกเดียวกันมาลอบกัดลับหลังเช่นกัน” มีคนพูดส่งเสียงดังคล้อยตามมา

“ฆ้องเงินสวี่ ชายผู้ที่วาจามีค่าดั่งทองคำพันชั่ง คำที่รับปากนั้นเชื่อถือได้มาก รับปากแล้วทำได้เสมอ บอกว่าจะเข้าร่วมก็เข้าร่วม พวกข้าเขียนคำเช่นนี้ออกมาไม่ได้ ทว่ารู้ซึ้งซึ่งคุณธรรมในข้อนี้” มีอีกคนพูดขึ้นมาอีก

นี่คือบุคคลที่มีเกียรติอย่างแท้จริงสินะ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและความนิยมอย่างแท้จริง จึงไม่มีใครเต็มใจที่จะต่อต้านเขา

หลี่เมี่ยวเจินทำแก้มป่อง รู้สึกริษยาเล็กน้อยอยู่ในใจ

สวี่ชีอันได้สะสมอำนาจและชื่อเสียงได้หยั่งรากลึกเช่นนี้ไปเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว

จำได้ว่าในตอนแรก มีครั้งหนึ่งเขาเคยส่งจดหมายผ่านหนังสือปฐพีโดยขอให้นางช่วยติดตามและจับกุมโจวชื่อสวงหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่ใช้อวิ๋นโจวเป็นทางหลบหนี ในเวลานั้นเขาทั้งอ่อนแอ โดนเหยียดหยาม และขาดเส้นสาย

ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนหรือชื่อเสียงและความนิยม เขาก็ไล่ตามนางจนทันแล้ว

ส่วนของชื่อเสียงและความนิยมนี้ แม้แต่เหล่าข้าราชการชั้นสูงของราชสำนัก ก็ยังต้องโมโหและอิจฉาจนไม่พอใจกันแน่ๆ แหละ

ฉู่หยวนเจิ่นที่อยู่ข้างๆ มองดูอยู่เงียบๆ เขาอยู่ในยุทธภพมาหลายปี ช่วงขาขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นสวี่ชีอันนี้ ไม่เพียงแค่เป็นบุคคลที่หายากเพียงเท่านั้น แต่ยังกล่าวได้ว่าเขานั้นเป็นบุคคลที่มีหนึ่งเดียว และไม่เหมือนใคร

หยางซุยเสวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้น “สำนักโม่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แต่มีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในยุทธภพมากมาย ล้วนเป็นเหล่ายอดฝีมือ เช่นเดียวกับนักพรตดั้งเดิมของนิกายปฐพี ฆ้องเงินสวี่จงเป็นนกน้อยที่ทำรังแต่พอตัว อย่าได้โอ้อวดฝีมือ

“พรุ่งนี้ข้าจะมาเฝ้าสังเกตการณ์และคอยให้กำลังใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ”

เขาไม่ได้พูดอย่างชัดแจ้ง

เจ้าสำนักแห่งสำนักโม่เป็นบุรุษที่ใจกว้างและกล้าหาญไม่ใช่หรือ มิน่าล่ะ เจียงลวี่จงมักจะบอกว่า ยุทธภพน่าสนใจมาก น่าสนใจกว่าวงการของชนชั้นข้าราชการเป็นหมื่นเท่า หากมีเวลาว่างข้าก็จะท่องเที่ยวไปรอบๆ ยุทธภพสักครั้ง

สวี่ชีอันพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธความตั้งใจดีของอีกฝ่าย พร้อมตอบกลับ “ขอบคุณเจ้าสำนัก”

หยางซุยเสวี่ยโบกมือ พร้อมกับโค้งคำนับอีกครั้ง และจากไปพร้อมกับศิษย์ของสำนักโม่

หลิวหู่และคนอื่นๆ ก็ตามหลังออกไป

เฮ้อ…เหล่าศิษย์ของพรรคฟ้าดินต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ดูเบิกบานใจขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณชายสวี่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง