บทที่ 399 หนึ่งแขน หนึ่งอาวุธเวทมนตร์
วันนี้ซานเซียนฟางที่เดิมทีควรจะแออัด กลับถูกกันให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของคนกลุ่มหนึ่ง
หลิงอวิ๋นยืนอยู่ริมถนน สวมเสื้อยืดสีเข้มพร้อมด้วยดาบเหล็กเล่มหนึ่ง แต่งกายตามแบบฉบับชาวยุทธภพทั่วไป
โดยปกติแล้วทุกวันคฤหาสน์เยวี่ยจือจะส่งลูกศิษย์ลอบเข้าไปในเมืองเพื่อสืบเสาะข่าวคราวและสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของชาวยุทธภพที่มารวมตัวกันที่นี่
ภารกิจในวันนี้ควรจะเป็นหน้าที่ของลูกศิษย์คนอื่นๆ ทว่าหลิงอวิ๋นกลับแย่งชิงมาเสียก่อน ภารกิจ ‘เครือข่ายจักรพรรดิ’ ของฆ้องเงินสวี่ หากใครกล้าแย่งชิงกับเขาคงเป็นอันต้องเดือดร้อน
คนที่ในใจหลิงอวิ๋นชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดคือฆ้องเงินสวี่
เมื่อก่อนเคยบำเพ็ญพรตในนิกายเซน ใจเคารพยำเกรงต่อผู้นำเต๋าและเหล่าผู้อาวุโส แต่สิ่งนี้ต่างจากการชื่นชม
เขาเดินไปรอบๆ เมืองเพื่อสืบหาข้อมูลสำคัญเรื่องหนึ่ง ส่วนเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีและกลุ่มคนลึกลับของราชสำนักได้เชิญกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาเพื่อพูดคุยที่ซานเซียนฟาง
พวกเขาใช้อำนาจเผด็จการในการเคลียร์พื้นที่ แต่ดูเหมือนไม่ได้สนใจว่าการสนทนาของตนนั้นจะถูกแอบฟังหรือเปล่า ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกสอดแนมยืนอยู่ทางด้านล่างอาคารร่วมวงฟังด้วย
พวกเขาต้องแอบคุยกันว่าจะจัดการอย่างไรกับเยวี่ยจือแน่ๆ…
หลิงอวิ๋นกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ ใช้หูจับเสียงสนทนาบนชั้นสอง
บนชั้นสองของหอสังเกตการณ์ ผู้มาเยือนสามกลุ่มนั่งแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน โต๊ะหนึ่งเป็นนักพรตในอาภรณ์ผ้าขนนกสีขาว ทรงผมถูกหวีสางอย่างประณีต ดวงตาฉายแววร้ายลึก
ขณะมองซ้ายแลขวาพลันทำให้ผู้คนต่างตัวสั่นงันงก
อีกโต๊ะหนึ่งเป็นบุคคลลึกลับที่สวมชุดคลุมและหน้ากากเหล็กสีดำ ส่วนผู้นำนั้นสวมหน้ากากสีทอง ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นคนที่ลากปืนใหญ่และทิ้งระเบิดที่คฤหาสน์เยวี่ยจือเมื่อเช้าวันนี้
ส่วนโต๊ะสุดท้ายเต็มไปด้วยหญิงสาวหน้าตาสะสวย หนึ่งในนั้นมีผู้ที่โดดเด่นกว่าใครเป็นพิเศษ ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าบางๆ ดวงตาใสสะกดผู้คนราวกับสระน้ำในฤดูสารท
ด้วยสัดส่วนร่างกายที่สมบูรณ์แบบทำให้รูปร่างของนางดูดีกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่มีผู้ชายแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ส่งกลุ่มสาวๆ มาเจรจาน่ะ” นักพรตวัยกลางคนผู้มีดอกหลานเหลียน[1]ปักไว้บนหน้าอกเอ่ยเยาะเย้ย
ดวงตานักบวชหลานเหลียนมองไล้ไปตามเรือนร่างอันเย้ายวนและเจ้าเนื้อของหญิงสาวอย่างเปิดเผยด้วยอารมณ์ละโมบและจิตอกุศล
ความทรามของเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีแสดงออกประจักษ์แจ่มแจ้ง
เซียวเยว่หนูผู้ดูแลหอหมื่นบุปผา
นางถือพัดกระดูกเงินอันหนึ่งไว้ในมือ หรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “มีอะไรก็ว่ามา หากเจ้ายังมองซี้ซั้วอีก ข้าจะขุดลูกตาของเจ้านำมาทำเหล้าบ๊วยเสีย”
นักบวชหลานเหลียนปล่อยเสียงร้องโฮ ไม่เพียงแต่ไม่กลัวแต่กลับกลายเป็นคนไร้ยางอายมากขึ้นไปอีกโดยไม่สนใจต่อการยั่วยุ
“โอ้ การข่มขู่ของคนบ้าพวกนี้ มีแต่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง” ชายชุดดำสวมหน้ากากทองหัวเราะโพล่งขึ้นมา
เขากอบกุมถ้วยกระเบื้องซึ่งบรรจุเหล้าบ๊วยไว้ในมือ ไล้วนถ้วยไปมาก่อนเอ่ยว่า “เนื่องจากพวกเราตกลงที่จะจัดตั้งพันธมิตร เหตุใดสำนักโม่จึงลาออกถึงครึ่งหนึ่ง พวกเราต้องการคำอธิบายจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์”
เซียวเยว่หนูกล่าวเสียงเบา “ทุกนิกายภายใต้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ล้วนเป็นอิสระ การตัดสินใจของสำนักโม่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์”
นักบวชหลานเหลียนเยาะเย้ย “นี่เป็นคำแก้ตัวของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์หรือเปล่า?”
หรงหรงหัตถ์รื่นรมย์กรุ่นโกรธพลางเอ่ยตอบอย่างหัวเสีย “กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีข้อบังคับอันเป็นปัจเจก ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านจะมาขัดได้”
ดวงตามาดร้ายของนักบวชหลานเหลียนปะทะสายตาของนางอย่างฟาดฟัน
‘พรี่บ!’
พัดกระดูกเงินถูกกางออกบดบังใบหน้าของหรงหรง
เซียวเยว่หนูลงมือฉับพลันราวกับคาดคะเนอีกฝ่ายผิดคาด จึงสกัดกั้นอากาศไว้ เหล่าผู้อาวุโสหญิงแห่งหอหมื่นบุปผาตระหนักได้ถึงพลังที่มองไม่เห็นซึ่งถูกผู้ดูแลหอสกัดกั้นไว้ในทันที
ดวงตาคู่สวยของเซียวเยว่หนูเบิกกว้าง ประชดประชัน “หากนิกายปฐพีของท่านต้องการแตกหักกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของข้า เซียวเยว่หนูก็พร้อมดำเนินตามจนถึงที่สุด”
นักบวชหลานเหลียนพ่นลมและมองย้อนกลับไป
หรงหรงที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเดินอยู่รอบๆ ปากประตูนรก นั่งนิ่งด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที นางก็รู้สึกตัวว่าแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ
“ไม่เพียงแต่สำนักโม่ หากข้าจำไม่ผิด ในวันพรุ่งนี้จะมีหลายนิกายที่จะถอนตัวจากการแข่งขัน” เซียวเยว่หนูเอ่ยเสียงราบเรียบ
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพอฆ้องเงินสวี่เข้าร่วมกับคฤหาสน์เยวี่ยจือ เขาที่มีสถานะสูงส่งในหัวใจของประชาชนชาวยุทธภพ สำนักโม่จึงไม่คิดเป็นศัตรูกับเขา”
หลานเหลียนกล่าวเสียงเข้ม “เกรงว่าไม่ใช่แค่ไม่อยากเป็นศัตรูกับเขา ข้าได้ยินมาว่า คนบางส่วนในกลุ่มจอมยุทธ์มีแผนที่จะปกป้องสวี่ชีอันด้วย”
นี่เป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมนิกายปฐพีและกลุ่มคนชุดดำจึงขอให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาในครั้งนี้
ชายชุดดำสวมหน้ากากทองพึมพำ “หวังว่าผู้ดูแลหอเซียวจะกลับไปแจ้งเฉาเหมิงจู่ให้ลงมือหยุดยั้งเขาให้ดี อย่าเป็นม้าเพียงไม่กี่ตัวที่ทำลายฝูง จนทำให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทั้งหมดเสื่อมเสียไปด้วยเลย”
เซียวเยว่หนูเยาะเย้ย “นี่ท่านกำลังข่มขู่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อยู่งั้นหรือ?”
นางตระหนักได้ว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่าง คนของนิกายปฐพีน่ะหรือหวาดกลัวคฤหาสน์เยวี่ยจือ หากกล่าวตามเหตุผล แม้คฤหาสน์เยวี่ยจือจะได้รับการสนับสนุนจากหลี่เมี่ยวเจิน สวี่ชีอันและคนอื่นๆ แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน โอกาสในการชนะของฝ่ายตรงข้ามนั้นมีน้อยเกินไป
หากตัดเรื่องความเหนือชั้นของผู้แข็งแกร่งขั้นสี่ออกไป เพียงอาศัยผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีก็สามารถกวาดล้างคฤหาสน์เยวี่ยจือได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างอวตารก็ตาม
‘ดูเหมือนว่านิกายปฐพีไม่ต้องการให้ใครถอนตัว เนื่องด้วยความปรารถนาที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง นี่หมายความว่ามียอดฝีมือระดับสูงซุกซ่อนอยู่ในคฤหาสน์เยวี่ยจือจึงทำให้นิกายปฐพีหวาดกลัวและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรวมกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เข้าด้วยกัน’…เซียวเยว่หนูคิดในใจ
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็ได้ยินใครบางคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “แค่สวี่ชีอันคนเดียว คุ้มค่าแล้วหรือที่สละเวลามาเพื่อเสวนากันที่นี่?”
เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันได ตรงบริเวณทางขึ้นบันไดปรากฏร่างคุณชายรูปงามคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวคาดเข็มขัดหยกเดินขึ้นมา ตามมาด้วยคนสวมหมวกและเสื้อคลุมสีดำ รูปร่างสูงใหญ่คล้ายหอคอยสองคน
นักบวชหลานเหลียนมองย้อนกลับไปพลางพูดอย่างก้าวร้าว “ปลาเน่าที่ไหนกันนะกล้ามารบกวนการสนทนาของข้า”
คุณชายชุดขาวหรี่ตา เอ่ยเสียงเรียบ “มือซ้าย ตบปากเขาซะ!”
ครั้นสิ้นเสียง ชายร่างยักษ์ที่อยู่ทางซ้ายก็หายวับไป ตามด้วยเสียงตบดังสนั่นภายในห้องโถงชั้นสอง
‘โครม…’
แผ่นไม้ที่ปูบนพื้นบุบหัก โดยมีใบหน้าครึ่งซีกของนักบวชหลานเหลียนฝังอยู่ในนั้น เลือดไหลออกทวารทั้งเจ็ดมี
รูม่านตาของลูกศิษย์เซียวเยว่หนูและชายสวมหน้ากากทองหดเล็กลง หญิงสาวกำพัดกระดูกสีเงินแน่น ส่วนชายหนุ่มกดด้ามมีดนิ่งค้าง
เหล่าสาวกนิกายปฐพีต่างลุกขึ้นฮือฮา จ้องมองไปที่เหล่าคุณชายชุดขาวทั้งสามด้วยสายตามุ่งร้าย
“ไม่ตาย ไม่ตาย ไม่ตาย…”
คุณชายชุดขาวโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เพียงลงโทษเขานิดหน่อย ผู้รับใช้ของข้าลงมืออย่างสมควร ทุกท่านวางใจได้”
เขายิ้มตลอดการพูด แสนเย่อหยิ่งและจองหอง
คนแบบนี้ไม่ใช่พวกเจ้าสำอางสมองกลวง แต่เป็นคนมีความมั่นใจพอดู
ดวงตาของชายชุดขาวจ้องไปยังเรือนร่างของเซียวเยว่หนูพลันเปล่งประกายขึ้นมาในทันใด ขณะถูแหวนปานจื่อก็สาวเท้าเข้าไปใกล้
ระหว่างที่เขาเดินผ่านชายชุดดำสวมหน้ากากทอง ชายชุดดำเคาะนิ้วอยู่หลายครั้งราวกับลังเลที่จะชักดาบออกมาจู่โจมอีกคน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะล้มเลิกไป
ชายชุดขาวยกยิ้มมุมปากคล้ายเยาะเย้ย เดินผ่านโต๊ะนี้เพื่อไปพบกับโต๊ะเหล่าสาวงามกลุ่มนั้น
“เมื่อมาที่เจี้ยนโจว ข้าได้ส่งคนไปสอบถามเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและวิถีของเจี้ยนโจวมาแล้ว เดิมทียุทธภพเจี้ยนโจวแห่งนี้ไร้ชีวิตชีวาราวกับแอ่งน้ำนิ่ง กลับกันก็น่าสนใจมากทีเดียวหากแต่เพราะมีหอหมื่นบุปผา ว่ากันว่าเซียวเยว่หนูผู้ดูแลหอหมื่นบุปผางามล่มเมือง เป็นหญิงงามที่นับว่าหาได้ยากนัก จุ๊ๆ สมคำร่ำลือ สมคำร่ำลือจริงๆ”
คำพูดต่อมาของคุณชายชุดขาวทำให้ทุกคนในหอหมื่นบุปผาขมวดคิ้วกริ้ว เดือดดาลด้วยความโกรธ
“เมื่อสิ้นสุดการทัศนาจรยุทธภพครั้งนี้แล้ว ข้าจะพาผู้ดูแลหอเซียวกลับไปด้วย คงจะดีหากในห้องหอจะมีนางสนมผู้จงรักภักดีสักหนึ่งคน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง