บทที่ 400 แก้แค้นไม่ใช่แค่ชั่วข้ามคืน
หัวใจของสวี่ชีอันจมดิ่งลงในทันใด เขาเอื้อมมือคว้าดาบที่พิงอยู่ขอบหิน จ้ำอ้าวไปหาหญิงสาวที่ดวงตาบวมแดง “เขาอยู่ที่ไหน?”
“ส่งกลับมาในเมืองแล้วเจ้าค่ะ”
ชิวฉานอีเดินนำสวี่ชีอันออกไป อีกฝ่ายสะอึกสะอื้นพลางกล่าว “ร่างของหลิงอวิ๋นที่ถูกส่งกลับมา ขาของเขาถูกตัดขาดออกไป เราเรียกคืนวิญญาณของเขาไม่ได้ ทั้งนี้ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนบอกว่าเพราะเขามีปณิธานที่ยังไม่บรรลุ”
มุมปากของสวี่ชีอันเม้มเป็นเส้นโค้งขรึม
หลังเดินผ่านสวนดอกไม้ไปตามทางเรียบที่ปูด้วยหินอ่อน ทั้งสองก็มาถึงด้านนอกลานบ้าน เมื่อเข้าใกล้จุดหมายก็ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญ
ภายในลานบ้านเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ประตูหลักถูกเปิดออกปรากฏให้เห็นจินเหลียนและไป๋เหลียน ฉู่หยวนเจินและหลี่เมี่ยวเจินพร้อมด้วยคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่กลางบ้าน ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ยืนอยู่ภายในลานนอกบ้าน
นอกจากนี้สวี่ชีอันยังเห็นคนที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
คุณชายหลิ่วแห่งสำนักโม่
สวี่ชีอันข้ามธรณีประตู สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะล้มลงบนเตียง ซึ่งที่นั่นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าซีดไร้เลือดฝาด บ่งบอกว่าอีกฝ่ายตายไปนานแล้ว
ขาทั้งสองข้างของเขาถูกตัดขาดจากหัวเข่า รอยบากแดงก่ำ ดูเหมือนคนลงมือไม่เพียงแต่ทรงพลังเท่านั้นแต่อาวุธยังคมกริบมากอีกด้วย
สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำเสียงให้เรียบนิ่ง “ใครเป็นคนทำ?”
คุณชายหลิ่วประสานมือ กล่าวเสียงเข้ม “เป็นชายหนุ่มลึกลับสวมชุดคลุมสีขาว ข้างกายมีคนร่างยักษ์สวมหมวกไม้ไผ่สาน ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ปะทะกับนักบวชหลานเหลียนแห่งนิกายปฐพีที่ซานเซียนฟาง คนร่างยักษ์ที่อยู่ข้างๆ ตบนักบวชหลานเหลียนจนได้รับบาดเจ็บ…”
ภายในภัตตาคารเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างปิด ทั้งระยะห่างระหว่างสองฝ่ายก็ไม่ไกลกันนัก ชาวยุทธจักรจึงมีข้อได้เปรียบเหนือสำนักอื่นๆ อย่างท่วมท้น แต่ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามที่อย่างน้อยก็ระดับอาวุโสสี่แล้ว นักพรตเหลียนฮวาเรียกได้ว่าคงอยู่ในระดับกลางค่อนมาล่างในหมู่นักพรต
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์
คุณชายหลิ่วกล่าวต่อ “ต่อมาชายผู้นั้นก็ตั้งรางวัลต่อหน้าสาธารณชน เขาใช้ลมปราณนำอาวุธเวทมนตร์สี่ชิ้นออกมา ก่อนจะประกาศกร้าวว่าผู้ใดสามารถตัดแขนข้างหนึ่งของคุณชายสวี่ได้ ผู้นั้นก็จะได้รับรางวัลเป็นอาวุธเวทมนตร์หนึ่งชิ้น แขนขารวมกันนับสี่ จำนวนรางวัลก็นับเป็นสี่เช่นเดียวกัน หรือหากสามารถตัดศีรษะของคุณชายสวี่ได้ อาวุธเวทมนตร์ทั้งหมดในกล่องดาบก็จะมอบให้กับผู้สร้างคุณูปการ”
หลี่เมี่ยวเจินกล่าวปรามาส “จองหองนัก”
ดูเหมือนนางจะโกรธมากกว่าสวี่ชีอันเสียอีก
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างใคร่ครวญ “ดูเหมือนว่าคุณชายชุดขาวผู้นั้นจะมุ่งมาทางเจ้าสินะหนิงเยี่ยน?”
เหิงหย่วนประสานมือ ส่ายหัวและพูดว่า “อมิตตาพุทธ อาตมาคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ ใต้เท้าสวี่เคยอยู่ที่เมืองหลวงมาก่อนก็จริง แต่เขาเพิ่งมาถึงเจี้ยนโจวในวันนี้ ข่าวไม่น่าจะแพร่กระจายไปได้รวดเร็วขนาดนั้น หรือกระทั่งดึงดูดศัตรูของเขา เว้นแต่ว่าคุณชายชุดขาวจะอยู่ในเจี้ยนโจวอยู่ก่อนแล้ว แต่คุณชายหลิ่วกล่าวว่าตัวตนของคนผู้นั้นลึกลับและไม่ได้เป็นชาวเจี้ยนโจว ดังนั้นเขาอาจจะมาเพื่อเมล็ดบัวก็เป็นได้”
ระดับสติปัญญาของไต้ซือเหิงหย่วนนั้นสูงกว่าคนทั่วไป กล่าวได้ว่าอาจเทียบเท่ากับหลี่เมี่ยวเจิน
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปที่สวี่ชีอันพลางพูดเสียงขรึม “เจ้ามีเบื้องหลังกับคนผู้นี้หรือเปล่า?”
“ข้าไม่รู้จักเขา” สวี่ชีอันส่ายหัว หยุดนิ่งชั่วขณะแล้วยิ้มหยันเอ่ย “แต่ข้ารู้ว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน”
หากมองภาพรวมทั่วทั้งจิ่วโจว จากกองกำลังต่างๆและสำนักใหญ่ๆ ใครกันเล่าที่สามารถคิดค้นอาวุธเวทมนตร์ได้มากมายและปฏิบัติกับมันเฉกเช่นสิ่งของไร้ค่า?
สำนักโหราจารย์อย่างไรล่ะ!
แต่ไม่ใช่สำนักโหราจารย์เสียทีเดียว หากจะพูดให้ถูกคือโหรเท่านั้นที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ และต้องเป็นโหรลำดับสูงไปจนถึงปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่ ถึงจะมีความสามารถในการปรับแต่งอาวุธเวทมนตร์
คุณชายชุดขาวผู้นั้นต้องมีโหรลำดับสูงคอยหนุนหลังอยู่แน่
โหรลำดับสูงที่ไม่ได้มาจากสำนักโหราจารย์สวี่ชีอันย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
สมาคมโหรลึกลับอยู่ในโชคชะตาความดูแลของข้า เดิมทีพวกเขาพยายามใช้คดีภาษีเล่นงานข้าอยู่แล้ว คุณชายชุดขาวผู้นั้นคงจะรู้เรื่องโชคชะตา ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แสดงความเกลียดชังรุนแรงต่อข้าเช่นนี้หรอก
สมาคมโหรลึกลับเพ่งเล็งข้าอย่างนั้นหรือ?
จังหวะหายใจของสวี่ชีอันค่อยๆ ถี่กระชั้น
แม้เขาอยากจะปฏิเสธการคาดเดานี้ แต่สิ่งที่ไต้ซือเหิงหย่วนกล่าวมานั้นก็ถูก นี่เป็นการพบกันโดยบังเอิญ คุณชายชุดขาวผู้นั้นเพียงมาได้เวลาเหมาะเจาะ และคงรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่เจี้ยนโจว
กิริยาสง่าผ่าเผยเช่นนี้ดูต่างออกไปจากลักษณะของโหรลึกลับผู้นั้น อาจไม่ใช่เขาที่บงการอยู่เบื้องหลัง คงเป็นโคจรปราณที่ทำให้ข้าได้พบกับคุณชายชุดขาวผู้นั้นเสียมากกว่า…
เมื่อเป็นเช่นนี้สำหรับข้านี่อาจเป็นโอกาส
ฆ่าเขา เรียกคืนวิญญาณ ไขข้อสงสัยทั้งหมด
เมื่อทุกคนเห็นว่าเขานิ่งเงียบไปและไม่มีท่าทีอยากจะอธิบายใดๆ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไรอีก
คุณชายหลิ่วเอ่ย “จากนั้นคุณชายชุดขาวก็คว้าตัวหลิงอวิ๋น ตัดขาของเขาหวังให้คลานกลับไป ในตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อได้รับข่าวก็รีบแจ้นไปทันที”
เมื่อเอ่ยถึงสิ่งนี้คุณชายหลิ่วก็แสดงท่าทีโกรธเคือง
“ข้าเห็นหลิงอวิ๋นกำลังคลานอยู่บนถนน เลือดรินไหลทอดยาวขนาบเป็นสองสาย ในขณะนั้นเขาหมดสติแต่กลับยังคงพยายามออกแรงคลาน…คุณชายชุดขาวผู้นั้นเดินตามหลิงอวิ๋น ในมือถือเหล้าบ๊วยดูรื่นเริงยิ้มร่า ไม่ยอมให้ใครเข้าช่วยหลิงอวิ๋น”
“หลิงอวิ๋นคลานออกไปได้เพียงนอกเมืองก่อนที่เขาจะตาย หลังคุณชายชุดขาวผู้นั้นจากไป ข้า ข้าถึงกล้าที่จะออกจากที่ซ่อนและพาเขากลับมา…โปรดอภัยให้ด้วยขอรับ”
หลี่เมี่ยวเจินกัดฟันกรอดๆ
ใบหน้าสะสวยของนักพรตหญิงไป๋เหลียนนิ่งค้างราวกับน้ำค้างแข็ง นางเคยได้ยินมาหนหนึ่งแล้วแต่ยังคงไม่อาจระงับความโกรธของตัวเองได้อยู่ดี
“ศิษย์พี่จินเหลียน พรรคฟ้าดินของข้าตกต่ำถึงจุดนี้เชียวหรือ? ที่ใครต่างก็เหยียบย่ำได้” นักพรตหญิงไป๋เหลียนกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “หลิงอวิ๋นเป็นเด็กที่พวกเราคอยเฝ้ามองการเติบโตแท้ๆ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปที่สวี่ชีอันพลางเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่อาจเรียกคืนวิญญาณของเขาได้ ทั้งดวงตาก็ปิดไม่สนิท เจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับเขาหรือเปล่า?”
สวี่ชีอันเดินไปที่ข้างเตียง เพียงมองหลิงอวิ๋นเงียบๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พูดขึ้นแผ่วเบา “เจ้าทำภารกิจสำเร็จแล้วนะ”
เขาเหยียดมือออกไป ลูบไล้ใบหน้าของหลิงอวิ๋น จากนั้นดวงตาของอีกฝ่ายก็พลันปิดลง
สวี่ชีอันราวกลับถูกสายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางใจ
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวปลอบโยน “สำหรับลูกศิษย์ลัทธิเต๋าแล้ว ความตายไม่ใช่จุดจบ พวกเราจะคอยเฝ้าดูแลวิญญาณของเขา เขาเพียงอยู่กับเราในรูปแบบที่ต่างออกไปเท่านั้น”
สวี่ชีอันไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ พร้อมมองไปที่ฝูงชน
“สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายมาก ทั้งการปรากฏตัวของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นิกายปฐพี และสายลับของไหวอ๋อง แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะยังไม่แน่ชัด แต่ผู้ติดตามข้างกายทั้งสองอย่างน้อยที่สุดคงอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสี่ นอกจากนี้เป็นไปได้ว่าพวกอาวุธเวทมนตร์อาจจะมีอีกมาก พรุ่งนี้แม้ว่าเราจะได้รับการปลุกเสกค่ายกล แต่พวกเราเพียงไม่กี่คนจะสามารถต่อต้านยอดฝีมือจำนวนมากได้จริงๆ หรือ?”
คำถามนี้ ทุกคนในที่นี้ต่างก็คิดเรื่องนี้เช่นกันและบทสรุปก็น่าผิดหวัง
ก่อนหน้านี้ทุกคนจมอยู่ในพิษแรงโกรธที่ได้พบหลิงอวิ๋น จึงไม่มีใครเอ่ยถึงมัน
นัยน์ตาของนักบวชเต๋าจินเหลียนฉายแววเป็นกังวล
“ให้ลูกศิษย์ทุกคนออกไปจากลานบ้าน ข้ามีความคิดหนึ่ง…” สวี่ชีอันกระซิบ
ทุกคนหันไปมองทันที
นักพรตหญิงไป๋เหลียนออกไปที่ประตู ก่อนไล่เหล่าลูกศิษย์ในลานบ้านให้ออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง