บทที่ 401 ศึกเดือด
‘ตูม!’
‘โครม!….’
ชั่วพริบตาที่คนในห้องหายไป เงาร่างของคนหลายคนก็พุ่งเข้ามา พวกเขาพังทำลายทั้งหน้าต่างและกำแพง
พวกเขาคือคนสวมชุดดำใส่หน้ากากสีทองสองคน และนักพรตวัยกลางคนสามคนในชุดเต๋าที่ปักลายดอกบัวสีทอง สีเขียว และสีครามบนหน้าอก
สายลับผู้สวมหน้ากากสีทองที่มีสมญานามสวรรค์ว่า ‘เทียนจี’ กวาดตามองทั่วห้องแล้วเอ่ยเสียงขรึม “คงเป็นวิชาหายตัว เมื่อกี้กลับไม่ได้พบร่างที่ปลอมตัวมาของเขา”
พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้ๆ และคอยจ้องมองทุกคนที่เดินเข้าออกโรงเตี๊ยมอยู่ตลอด ด้วยสายตาของคนระดับพวกเขา ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ก็สามารถมองทะลุหน้ากากหนังมนุษย์และเห็นตัวตนที่แท้จริงได้อยู่แล้ว
คนชุดดำสวมหน้ากากทองอีกคนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเยือกเย็นเฉียบขาด “หยางเชียนฮ่วนก็มาด้วยหรือ”
“อืม” เทียนจีพยักหน้า “สวี่ชีอันและโหรของสำนักโหราจารย์มีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาตลอด เรื่องนี้ไม่แปลก”
สายลับหญิงแค่นเสียงเย็น “เขาอยากจะเชือดเราแล้วทำลายไปทีละคนๆ อย่างนั้นหรือ”
นักบวชเต๋าชิงเหลียนแห่งนิกายปฐพีเอ่ยหยันเสียงเย็นชา “โง่เง่า”
สายลับหญิงสมญานาม ‘เทียนซู’ เหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ระยะทางจำกัดในวิชาหายตัวของโหรขั้นสี่อยู่ที่ประมาณสามสิบลี้ ไม่ถือว่าไกลนัก เรื่องเดียวที่ไม่แน่นอนก็คือเขาพากันหายตัวไปทิศใด”
เทียนจีครุ่นคิดแล้วเอ่ย “จะรอต่อไปไม่ได้แล้ว แยกย้ายกันตามหาเถอะ อืม วิชาหายตัวของโหรสามารถถูกขัดจังหวะได้ เมื่อครู่น่าจะเป็นเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่ด้วยพลังของยอดฝีมือสองคนนั้นแล้ว เขาไม่มีทางทำได้อีกครั้งแน่ พวกเจ้าอย่าไล่ตามไปไกลนัก หากไม่มีความผันผวนของพลังปราณ นั่นแปลว่าทิศทางผิดพลาด ให้รีบเปลี่ยนทิศทันที”
ตอนนี้ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยม กลุ่มคนจำนวนหนึ่งพากันยกพลเข้ามา มีทั้งศิษย์ของนิกายปฐพีที่สวมชุดคลุมเต๋าประดับขนนก มีทั้งคนจากยุทธภพที่ก่อตั้งเป็นพันธมิตรอย่างลับๆ มีทั้งสายลับของไหวอ๋อง และกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีอิทธิพลสั่นสะเทือนยุทธภพ
ผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่นอกโรงเตี๊ยม บนถนนและตรอกซอกซอยล้วนมีแต่ผู้คน
นี่เป็นการซุ่มโจมตีที่ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากสร้างพันธมิตรที่ซานเซียนฟางตอนกลางวัน คุณชายชุดขาวก็เปิดเผยแผนการของตนออกมา
สายลับและนักพรตนิกายปฐพีคิดว่าพวกตนสามารถลองทำดูได้ และสุดท้ายก็อยู่รออีกฝ่ายกันจริงๆ
แต่กลับไม่คิดว่าในคฤหาสน์เยวี่ยจือจะซุกซ่อนโหรขั้นสี่เอาไว้หนึ่งคนด้วย
ขั้นสี่ทั้งห้าคนพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม เทียนจีมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปทางตะวันตก ส่วนทิศที่เหลือ…”
จู่ๆ เขาก็พลันเงียบลงแล้วหันหน้ามองไปยังถนนด้านหน้า เสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังมาจากทางนั่น ทุกย่างก้าวล้วนทำให้แผ่นดินสะเทือนเล็กน้อย
ในสายตาของผู้คนจากทุกฝ่าย พวกเขาเห็นสาวน้อยนางหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามา และสิ่งที่นางชูขึ้นสูงนั่นคือ…ปืนใหญ่?
‘ย้ากก…’
นางอาศัยแรงเฉื่อยจากการห้อตะบึงแล้วใช้แรงขว้างปืนใหญ่ออกมา
‘ฟิ้ว…’ ยักษ์เหล็กหมุนติ้วมาหาทุกคน พร้อมกับเสียงลมพัดหวิวแผ่วๆ
ทุกคนกระจายตัวไปคนละทิศละทางโดยไม่รู้ตัว พลางกอดศีรษะหลบกันจ้าละหวั่น
เทียนจีก้าวเข้าไปรับพลางสะบัดเสื้อคลุมออก มือของเขาโบกขึ้น พลังปราณราวกับคลื่นยักษ์ซัดสาดออกมา มันเข้าไปปะทะกับปืนใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสลายแรงพุ่งของมัน
เทียนจียื่นมือรับปืนใหญ่ จากนั้นก็โยนทิ้งข้างทางจนเกิดเสียง ‘ตู้ม’ ดังลั่น
“พวกเจ้าไปกันก่อน ข้าจะจัดการนังเด็กเผ่าลี่กู่ผู้นี้เอง” เทียนจีแค่นเสียงเย็น
“เด็กนี่น่ากำราบนัก อย่าเพิ่งฆ่าล่ะ เก็บไว้ให้ข้าเล่นด้วย” นักบวชเต๋าหลานเหลียนยิ้มประหลาด
เทียนจีขมวดคิ้ว รู้สึกเกลียดชังความน่ารังเกียจที่แสดงออกมาทุกที่ทุกเวลาของนักบวชเต๋าในนิกายปฐพี เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่ออมมือต่อศัตรู”
นักบวชเต๋าหลานเหลียนแค่นเสียงเยาะแล้วพาศิษย์ในสำนักพุ่งไปยังถนนอีกทาง
“อามิตตาพุทธ!”
ภิกษุร่างกายบึกบึนเข้ามาขวางทางเอาไว้
แทบจะในขณะเดียวกัน ประกายกระบี่สองสายก็พุ่งมา หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นเหยียบอยู่บนกระบี่บินแล้วสกัดกั้นขั้นสี่ทั้งสามคนที่เหลือเอาไว้
“มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าจริงด้วย ข้าประเมินพวกเจ้าต่ำไปแล้ว” เทียนจีเอ่ยเสียงขรึม
“อย่าพูดไร้สาระนักเลย ครั้งก่อนที่ฉู่โจวพวกเจ้าหนีกันเร็วไปต่างหาก” หลี่เมี่ยวเจินระเบิดอารมณ์ออกมา
สายลับหญิงเทียนซูหรี่ตาลงแล้วกล่างเสียงเยือกเย็น “หลี่เมี่ยวเจิน ข้ากำลังอยากจะไปคิดบัญชีกับเจ้าอยู่เชียว”
นางแย้มยิ้มออกมาทันที “เจ้าคิดว่าพวกเรามีแผนแค่นี้หรือ”
ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มแผ่วเบา “ข้าจะมอบคืนให้เจ้าพร้อมกันเลย”
…
มียอดฝีมืออยู่ทั่วทุกแห่งในเมือง โดยเฉพาะแถวโรงเตี๊ยม ซึ่งในช่วงหลายวันนี้ได้ถูกคนจากยุทธภพยึดครองไปเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น คนจากกลุ่มยุทธภพในโรงเตี๊ยมก็พากันหนีไปหมด แต่คนจากยุทธภพที่อาศัยอยู่ห่างไกลและสำนักอื่นๆ ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กลับวิ่งโร่เข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น?” แม่นางหรงหรงเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่ามีพวกผู้เฒ่าอาวุโสมารวมตัวกันอยู่ในลาน
ส่วนผู้ดูแลหอนั้นยืนอยู่บนหลังคาพลางมองไปยังทิศทางของโรงเตี๊ยม
“ที่โรงเตี๊ยมมีการต่อสู้เกิดขึ้น ดูจากความผันผวนของพลังปราณแล้ว คงเป็นขั้นสี่’
เซียวเยว่หนูออกจากภวังค์แล้วมองไปยังคนเฝ้าประตูในลานบ้านพลางเอ่ยเสียงขรึม “รีบอพยพผู้คนในเมืองทันที และหากมีคนที่ไม่เต็มใจให้ความร่วมมือก็ใช้กำลังได้เลย”
“ขอรับ!”
ศิษย์หอหมื่นบุปผาและเหล่าผู้อาวุโสกล่าวพร้อมกัน
“ท่านผู้ดูแลหอ คนที่ก่อความขัดแย้งคือผู้ใดหรือเจ้าคะ” หรงหรงเอ่ยเสียงดังฟังชัด
จากนั้นนางก็เห็นสีหน้าของผู้ดูแลหอเซียวเยว่หนูดูซับซ้อนขึ้นทันใด จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “สวี่ชีอันเริ่มสังหารไล่ล่าแล้ว”
“อะไรนะ!”
ทุกคนอุทานลั่น
‘นี่สมกับเป็นเขาจริงๆ…’ หรงหรงหันหน้าไปมองยังทิศทางของโรงเตี๊ยมทันที
…
ด้านนอกเมือง เงาร่างของคนสามคนเหยียบอยู่บนกระบี่บินให้แล่นอยู่ในความสูงระดับต่ำ
พวกเขาสวมชุดคลุมเต๋าสีเดียวกัน คนหนึ่งปักลายดอกบัวแดงที่อก คนหนึ่งมีลายดอกบัวสีส้ม ส่วนอีกคนเป็นลายดอกบัวสีเหลือง
ในหมู่พวกเขา ผู้อาวุโสชื่อเหลียนดอกบัวแดงและเฉิงเหลียนดอกบัวส้มนั้นมีผมสีดอกเลา อายุอานามไม่น้อยแล้ว ส่วนหวงเหลียนดอกบัวเหลืองอยู่ในวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าอายุน้อยกว่าสองคนนี้
“ทางใต้ มีพลังปราณผันผวนที่ทางใต้…”
หวงเหลียนสัมผัสรับรู้อยู่พักหนึ่งแล้วขับเคลื่อนกระบี่บินพุ่งไปข้างหน้า
นอกจากผู้นำเต๋าที่ต้องไปเฝ้าระวังในฉู่โจวตลอดเวลาเนื่องจากยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นเคยปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกนักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในเมืองทั้งสิ้น
พวกหลี่เมี่ยวเจินสามารถขวางขั้นสี่สองสามคนที่โรงเตี๊ยมได้ แต่ไม่มีทางขวางพวกเขาได้
นักพรตเต๋าสีแดง สีส้ม และสีเหลืองเดิมทีก็อยู่ใน ‘รูปกระบวน’ สำหรับป้องกันเรื่องไม่คาดคิด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องลงมือกันแล้ว
แม้ว่านักพรตเหลียนฮวาจะตกสู่ทางมาร ทำให้บางครั้งก็ยากจะควบคุมจิตชั่วร้ายของตน แต่สมองของเขากลับไม่ได้พังทลายไปด้วย
“เฮอะ ช่างเป็นบุคคลที่คิดอะไรง่ายๆ เสียจริง ฆ่าเขาไปหนึ่งคนแล้วก็โมโห ถึงได้พุ่งเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในตาข่าย” นักพรตเต๋าเฉิงเหลียนยิ้มเยาะ บนใบหน้าของจางหยางพลันปรากฏแววชั่วร้ายหยามหยัน
“จอมยุทธ์ก็คือจอมยุทธ์นั่นแหละ หยาบช้าเสียจนน่าเวทนา”
“การที่จินเหลียนไปเชิญพวกจอมยุทธ์มาช่วยนั้นเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของเขาเลย ในแต่ละสายการฝึกตนนั้นมีเพียงเต๋ามารของลัทธิเต๋านิกายปฐพีอย่างเราเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์” ชื่อเหลียนเอ่ยเสียงแผ่ว
ขอแค่สังหารยอดฝีมือรุ่นเยาว์พวกนั้นได้ ต่อให้บาดเจ็บสาหัส แต่วันรุ่งขึ้นจินเหลียนก็คุ้มกันเม็ดบัวไม่ได้แล้ว
หากจินเหลียนจนตรอกจนต้องทำลายเม็ดบัวนั่นก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ทว่าผู้ที่สูญเสียมากที่สุดก็ยังเป็นจินเหลียนเองนั่นแหละ
ไม่นานนัก นักพรตเต๋าทั้งสามก็มองเห็นสองฝ่ายที่กำลังสู้กันอยู่
นั่นคือนักดาบวัยกลางคนที่มีเครางดงาม ส่วนอีกคนเป็นชายฉกรรจ์สวมสนับมือเหล็กและเปลือยแผ่นอก
เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของนักพรตเหลียนฮวาทั้งสาม คนทั้งคู่ก็หยุดประมืออย่างรู้กัน แล้วเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา “เรารอพวกเจ้ามานานแล้ว”
สีหน้าของนักพรตเต๋าแดงส้มเหลืองแข็งทื่อ
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง