ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 401

สรุปบท บทที่ 401 ศึกเดือด: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 401 ศึกเดือด จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 401 ศึกเดือด คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 401 ศึกเดือด

‘ตูม!’

‘โครม!….’

ชั่วพริบตาที่คนในห้องหายไป เงาร่างของคนหลายคนก็พุ่งเข้ามา พวกเขาพังทำลายทั้งหน้าต่างและกำแพง

พวกเขาคือคนสวมชุดดำใส่หน้ากากสีทองสองคน และนักพรตวัยกลางคนสามคนในชุดเต๋าที่ปักลายดอกบัวสีทอง สีเขียว และสีครามบนหน้าอก

สายลับผู้สวมหน้ากากสีทองที่มีสมญานามสวรรค์ว่า ‘เทียนจี’ กวาดตามองทั่วห้องแล้วเอ่ยเสียงขรึม “คงเป็นวิชาหายตัว เมื่อกี้กลับไม่ได้พบร่างที่ปลอมตัวมาของเขา”

พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้ๆ และคอยจ้องมองทุกคนที่เดินเข้าออกโรงเตี๊ยมอยู่ตลอด ด้วยสายตาของคนระดับพวกเขา ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ก็สามารถมองทะลุหน้ากากหนังมนุษย์และเห็นตัวตนที่แท้จริงได้อยู่แล้ว

คนชุดดำสวมหน้ากากทองอีกคนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเยือกเย็นเฉียบขาด “หยางเชียนฮ่วนก็มาด้วยหรือ”

“อืม” เทียนจีพยักหน้า “สวี่ชีอันและโหรของสำนักโหราจารย์มีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาตลอด เรื่องนี้ไม่แปลก”

สายลับหญิงแค่นเสียงเย็น “เขาอยากจะเชือดเราแล้วทำลายไปทีละคนๆ อย่างนั้นหรือ”

นักบวชเต๋าชิงเหลียนแห่งนิกายปฐพีเอ่ยหยันเสียงเย็นชา “โง่เง่า”

สายลับหญิงสมญานาม ‘เทียนซู’ เหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ระยะทางจำกัดในวิชาหายตัวของโหรขั้นสี่อยู่ที่ประมาณสามสิบลี้ ไม่ถือว่าไกลนัก เรื่องเดียวที่ไม่แน่นอนก็คือเขาพากันหายตัวไปทิศใด”

เทียนจีครุ่นคิดแล้วเอ่ย “จะรอต่อไปไม่ได้แล้ว แยกย้ายกันตามหาเถอะ อืม วิชาหายตัวของโหรสามารถถูกขัดจังหวะได้ เมื่อครู่น่าจะเป็นเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่ด้วยพลังของยอดฝีมือสองคนนั้นแล้ว เขาไม่มีทางทำได้อีกครั้งแน่ พวกเจ้าอย่าไล่ตามไปไกลนัก หากไม่มีความผันผวนของพลังปราณ นั่นแปลว่าทิศทางผิดพลาด ให้รีบเปลี่ยนทิศทันที”

ตอนนี้ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยม กลุ่มคนจำนวนหนึ่งพากันยกพลเข้ามา มีทั้งศิษย์ของนิกายปฐพีที่สวมชุดคลุมเต๋าประดับขนนก มีทั้งคนจากยุทธภพที่ก่อตั้งเป็นพันธมิตรอย่างลับๆ มีทั้งสายลับของไหวอ๋อง และกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีอิทธิพลสั่นสะเทือนยุทธภพ

ผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่นอกโรงเตี๊ยม บนถนนและตรอกซอกซอยล้วนมีแต่ผู้คน

นี่เป็นการซุ่มโจมตีที่ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากสร้างพันธมิตรที่ซานเซียนฟางตอนกลางวัน คุณชายชุดขาวก็เปิดเผยแผนการของตนออกมา

สายลับและนักพรตนิกายปฐพีคิดว่าพวกตนสามารถลองทำดูได้ และสุดท้ายก็อยู่รออีกฝ่ายกันจริงๆ

แต่กลับไม่คิดว่าในคฤหาสน์เยวี่ยจือจะซุกซ่อนโหรขั้นสี่เอาไว้หนึ่งคนด้วย

ขั้นสี่ทั้งห้าคนพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม เทียนจีมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปทางตะวันตก ส่วนทิศที่เหลือ…”

จู่ๆ เขาก็พลันเงียบลงแล้วหันหน้ามองไปยังถนนด้านหน้า เสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังมาจากทางนั่น ทุกย่างก้าวล้วนทำให้แผ่นดินสะเทือนเล็กน้อย

ในสายตาของผู้คนจากทุกฝ่าย พวกเขาเห็นสาวน้อยนางหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามา และสิ่งที่นางชูขึ้นสูงนั่นคือ…ปืนใหญ่?

‘ย้ากก…’

นางอาศัยแรงเฉื่อยจากการห้อตะบึงแล้วใช้แรงขว้างปืนใหญ่ออกมา

‘ฟิ้ว…’ ยักษ์เหล็กหมุนติ้วมาหาทุกคน พร้อมกับเสียงลมพัดหวิวแผ่วๆ

ทุกคนกระจายตัวไปคนละทิศละทางโดยไม่รู้ตัว พลางกอดศีรษะหลบกันจ้าละหวั่น

เทียนจีก้าวเข้าไปรับพลางสะบัดเสื้อคลุมออก มือของเขาโบกขึ้น พลังปราณราวกับคลื่นยักษ์ซัดสาดออกมา มันเข้าไปปะทะกับปืนใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสลายแรงพุ่งของมัน

เทียนจียื่นมือรับปืนใหญ่ จากนั้นก็โยนทิ้งข้างทางจนเกิดเสียง ‘ตู้ม’ ดังลั่น

“พวกเจ้าไปกันก่อน ข้าจะจัดการนังเด็กเผ่าลี่กู่ผู้นี้เอง” เทียนจีแค่นเสียงเย็น

“เด็กนี่น่ากำราบนัก อย่าเพิ่งฆ่าล่ะ เก็บไว้ให้ข้าเล่นด้วย” นักบวชเต๋าหลานเหลียนยิ้มประหลาด

เทียนจีขมวดคิ้ว รู้สึกเกลียดชังความน่ารังเกียจที่แสดงออกมาทุกที่ทุกเวลาของนักบวชเต๋าในนิกายปฐพี เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่ออมมือต่อศัตรู”

นักบวชเต๋าหลานเหลียนแค่นเสียงเยาะแล้วพาศิษย์ในสำนักพุ่งไปยังถนนอีกทาง

“อามิตตาพุทธ!”

ภิกษุร่างกายบึกบึนเข้ามาขวางทางเอาไว้

แทบจะในขณะเดียวกัน ประกายกระบี่สองสายก็พุ่งมา หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นเหยียบอยู่บนกระบี่บินแล้วสกัดกั้นขั้นสี่ทั้งสามคนที่เหลือเอาไว้

“มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าจริงด้วย ข้าประเมินพวกเจ้าต่ำไปแล้ว” เทียนจีเอ่ยเสียงขรึม

“อย่าพูดไร้สาระนักเลย ครั้งก่อนที่ฉู่โจวพวกเจ้าหนีกันเร็วไปต่างหาก” หลี่เมี่ยวเจินระเบิดอารมณ์ออกมา

สายลับหญิงเทียนซูหรี่ตาลงแล้วกล่างเสียงเยือกเย็น “หลี่เมี่ยวเจิน ข้ากำลังอยากจะไปคิดบัญชีกับเจ้าอยู่เชียว”

นางแย้มยิ้มออกมาทันที “เจ้าคิดว่าพวกเรามีแผนแค่นี้หรือ”

ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มแผ่วเบา “ข้าจะมอบคืนให้เจ้าพร้อมกันเลย”

มียอดฝีมืออยู่ทั่วทุกแห่งในเมือง โดยเฉพาะแถวโรงเตี๊ยม ซึ่งในช่วงหลายวันนี้ได้ถูกคนจากยุทธภพยึดครองไปเรียบร้อยแล้ว

ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น คนจากกลุ่มยุทธภพในโรงเตี๊ยมก็พากันหนีไปหมด แต่คนจากยุทธภพที่อาศัยอยู่ห่างไกลและสำนักอื่นๆ ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กลับวิ่งโร่เข้ามา

“เกิดอะไรขึ้น?” แม่นางหรงหรงเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่ามีพวกผู้เฒ่าอาวุโสมารวมตัวกันอยู่ในลาน

ส่วนผู้ดูแลหอนั้นยืนอยู่บนหลังคาพลางมองไปยังทิศทางของโรงเตี๊ยม

“ที่โรงเตี๊ยมมีการต่อสู้เกิดขึ้น ดูจากความผันผวนของพลังปราณแล้ว คงเป็นขั้นสี่’

เซียวเยว่หนูออกจากภวังค์แล้วมองไปยังคนเฝ้าประตูในลานบ้านพลางเอ่ยเสียงขรึม “รีบอพยพผู้คนในเมืองทันที และหากมีคนที่ไม่เต็มใจให้ความร่วมมือก็ใช้กำลังได้เลย”

“ขอรับ!”

ศิษย์หอหมื่นบุปผาและเหล่าผู้อาวุโสกล่าวพร้อมกัน

“ท่านผู้ดูแลหอ คนที่ก่อความขัดแย้งคือผู้ใดหรือเจ้าคะ” หรงหรงเอ่ยเสียงดังฟังชัด

จากนั้นนางก็เห็นสีหน้าของผู้ดูแลหอเซียวเยว่หนูดูซับซ้อนขึ้นทันใด จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “สวี่ชีอันเริ่มสังหารไล่ล่าแล้ว”

“อะไรนะ!”

ทุกคนอุทานลั่น

‘นี่สมกับเป็นเขาจริงๆ…’ หรงหรงหันหน้าไปมองยังทิศทางของโรงเตี๊ยมทันที

ด้านนอกเมือง เงาร่างของคนสามคนเหยียบอยู่บนกระบี่บินให้แล่นอยู่ในความสูงระดับต่ำ

พวกเขาสวมชุดคลุมเต๋าสีเดียวกัน คนหนึ่งปักลายดอกบัวแดงที่อก คนหนึ่งมีลายดอกบัวสีส้ม ส่วนอีกคนเป็นลายดอกบัวสีเหลือง

ในหมู่พวกเขา ผู้อาวุโสชื่อเหลียนดอกบัวแดงและเฉิงเหลียนดอกบัวส้มนั้นมีผมสีดอกเลา อายุอานามไม่น้อยแล้ว ส่วนหวงเหลียนดอกบัวเหลืองอยู่ในวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าอายุน้อยกว่าสองคนนี้

“ทางใต้ มีพลังปราณผันผวนที่ทางใต้…”

หวงเหลียนสัมผัสรับรู้อยู่พักหนึ่งแล้วขับเคลื่อนกระบี่บินพุ่งไปข้างหน้า

นอกจากผู้นำเต๋าที่ต้องไปเฝ้าระวังในฉู่โจวตลอดเวลาเนื่องจากยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นเคยปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกนักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในเมืองทั้งสิ้น

พวกหลี่เมี่ยวเจินสามารถขวางขั้นสี่สองสามคนที่โรงเตี๊ยมได้ แต่ไม่มีทางขวางพวกเขาได้

นักพรตเต๋าสีแดง สีส้ม และสีเหลืองเดิมทีก็อยู่ใน ‘รูปกระบวน’ สำหรับป้องกันเรื่องไม่คาดคิด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องลงมือกันแล้ว

แม้ว่านักพรตเหลียนฮวาจะตกสู่ทางมาร ทำให้บางครั้งก็ยากจะควบคุมจิตชั่วร้ายของตน แต่สมองของเขากลับไม่ได้พังทลายไปด้วย

“เฮอะ ช่างเป็นบุคคลที่คิดอะไรง่ายๆ เสียจริง ฆ่าเขาไปหนึ่งคนแล้วก็โมโห ถึงได้พุ่งเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในตาข่าย” นักพรตเต๋าเฉิงเหลียนยิ้มเยาะ บนใบหน้าของจางหยางพลันปรากฏแววชั่วร้ายหยามหยัน

“จอมยุทธ์ก็คือจอมยุทธ์นั่นแหละ หยาบช้าเสียจนน่าเวทนา”

“การที่จินเหลียนไปเชิญพวกจอมยุทธ์มาช่วยนั้นเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของเขาเลย ในแต่ละสายการฝึกตนนั้นมีเพียงเต๋ามารของลัทธิเต๋านิกายปฐพีอย่างเราเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์” ชื่อเหลียนเอ่ยเสียงแผ่ว

ขอแค่สังหารยอดฝีมือรุ่นเยาว์พวกนั้นได้ ต่อให้บาดเจ็บสาหัส แต่วันรุ่งขึ้นจินเหลียนก็คุ้มกันเม็ดบัวไม่ได้แล้ว

หากจินเหลียนจนตรอกจนต้องทำลายเม็ดบัวนั่นก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ทว่าผู้ที่สูญเสียมากที่สุดก็ยังเป็นจินเหลียนเองนั่นแหละ

ไม่นานนัก นักพรตเต๋าทั้งสามก็มองเห็นสองฝ่ายที่กำลังสู้กันอยู่

นั่นคือนักดาบวัยกลางคนที่มีเครางดงาม ส่วนอีกคนเป็นชายฉกรรจ์สวมสนับมือเหล็กและเปลือยแผ่นอก

เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของนักพรตเหลียนฮวาทั้งสาม คนทั้งคู่ก็หยุดประมืออย่างรู้กัน แล้วเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา “เรารอพวกเจ้ามานานแล้ว”

สีหน้าของนักพรตเต๋าแดงส้มเหลืองแข็งทื่อ

ทันใดนั้น ทูตฝ่ายขวาที่เมื่อครู่ยังถูกแรงยิงบีบคั้นจนจนปัญญาก็หายวับไปอย่างน่าประหลาด ต่อจากนั้นชายฉกรรจ์ร่างสูงบึกบึนก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหยางเชียนฮ่วน โดยอยู่ห่างจากเขาเพียงสามฉื่อเท่านั้น

สำหรับจอมยุทธ์ขั้นสี่ระดับสูงคนหนึ่ง ระยะเท่านี้สามารถทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงขั้นสังหารยอดฝีมือในระบบฝึกตนอื่นๆ ที่อยู่ระดับเดียวกันได้แล้ว

ทั้งยังทำได้อย่างง่ายดายเสียด้วย

แต่ทูตฝ่ายขวาก็ยังคงโจมตีโดนแค่เงาติดตาเท่านั้น

‘อันตรายมาก เกือบเรือล่มในหนองอยู่แล้วเชียว…’ หยางเชียนฮ่วนปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปหลายสิบจั้ง แผ่นหลังมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา แต่โดยเผินๆ แล้วเขายังดูสงบมาก

“เจ้าใช้อาวุธเวทมนตร์หายตัวและใช้วิธีการของโหรมาต่อกรกับข้าเช่นนี้ ควรจะบอกว่าเจ้าฉลาดหรือโง่เง่าดีล่ะ ข้าคิดว่าเจ้าฉลาดมากนะ เพราะเจ้าทำให้ข้ามีความสุขจากการบดขยี้สติปัญญาได้สำเร็จ’

ในฐานะโหรคนหนึ่ง ศิษย์พี่หยางยังคงมีความเป็นมืออาชีพอยู่มาก เมื่อกี้ข้ายังหลั่งเหงื่อเย็นแทนเขาอยู่เลย ที่แท้ข้าก็กังวลไปเอง เขามีความสามารถเหลือเฟืออยู่แล้ว…สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ หินก้อนใหญ่ในใจร่วงหล่น

เขาแปดเปื้อนน้ำเสียงและท่าทีนิ่งๆ เหมือนกับสุนัขแก่ๆ ของหยางเชียนฮ่วนไปแล้ว

สวี่ชีอันชักดาบออกมาโดยไม่สนใจการต่อสู้ทางฝั่งของหยางเชียนฮ่วนอีก จากนั้นก็เดินไปทางโฉวเชียนและทูตฝ่ายซ้าย “ถึงเวลาของพวกเจ้าแล้ว”

โฉวเชียนยกยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมเอ่ยว่า “ทูตฝ่ายซ้าย เจ้าคุมค่ายกลให้ข้า ข้าจะไปจัดการเจ้ากระจอกนี่เอง”

ทูตฝ่ายซ้ายขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยเตือนตามความเคยชิน “นายน้อย ร่างกายของท่านประดุจทองพันชั่ง จะเอาไปเสี่ยงได้อย่างไรขอรับ ให้ข้าร่วมมือสังหารเขากับท่านดีกว่า เช่นนี้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด การต่อสู้ชิงความอยู่รอด ไม่จำเป็นต้องใช้อารมณ์นักหรอก’

สวี่ชีอันพยักหน้า “มาพร้อมกันทั้งคู่นั่นแหละ แค่มดปลวกอย่างเจ้า ข้าก็จัดการได้เป็นสิบแล้ว”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบ สีหน้าก็สงบนิ่ง ราวกับกำลังพูดเรื่องไร้สาระอยู่

โฉวเชียนยิ้มแสยะ “ข้าฝึกสายยุทธ์มาอย่างยากลำบากตั้งแต่เด็กโดยไม่สนวันสนคืน ถือว่าไม่แพ้ใครในรุ่นเดียวกันอยู่แล้ว คนในต้าฟ่งแต่ละคนล้วนชื่นชมว่าสวี่ชีอันมีพรสวรรค์พิเศษ เป็นอัจฉริยะไม่แพ้อ๋องสยบแดนเหนือ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าก็แค่อาศัยสิ่งนั้นและได้รับของดีหลายอย่างติดต่อกันเพราะโชค ถึงได้มีตำแหน่งเช่นทุกวันนี้ แต่จริงๆ แล้วเจ้ามันกลวงทั้งไส้”

เขาสาวเท้าเข้าหาสวี่ชีอันแล้วยื่นฝ่ามือขวาออกไป ทูตฝ่ายซ้ายรีบเปิดกล่องไม้สีดำสนิททันที ดาบเล็กหนึ่งด้ามบินออกมาจากในกล่องแล้วขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นดาบยาวราวกับน้ำค้างยามฤดูใบไม้ผลิ

ดาบเล่มนี้โปร่งใสเหมือนน้ำในยามวสันต์ ราวกับจะสามารถดูดซับแสงจันทร์บนท้องฟ้าได้ ใบมีดและสันดาบมีประกายแสงราวกับมีสายน้ำปกคลุมบางๆ หนึ่งชั้น

เขารู้ถึงโชคชะตาที่ข้าแบกรับได้จริงๆ แถมยังอิจฉาเสียด้วย…สวี่ชีอันหัวร้อนขึ้นมาทันใด เขารู้สึกอยากฆ่าคนจนแทบจะทนไม่ไหว

ร่างทั้งสองหายวับไปพร้อมกัน แต่ที่แตกต่างคือบนตำแหน่งเดิมของสวี่ชีอันมีรอยเท้าลึกๆ สองร้อยที่ยุบไป แต่ของโฉวเชียนไม่มี

‘ชิ้ง!’

ชั่วขณะต่อมา กลางอากาศก็ปรากฏประกายไฟระยับตาขึ้น จากนั้นก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏขึ้นมาพร้อมมีดดาบที่พุ่งเข้าหากัน

“ดาบพกของเจ้าเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่สร้างโดยท่านโหราจารย์ แต่กระบี่เงาจันทร์ของข้าก็ไม่แพ้กัน’

จู่ๆ โฉวเชียนก็ระเบิดพลังออกมาแล้วผลักสวี่ชีอันกระเด็น ประกายดาบสิบกว่าสายไล่ตามมาจนแทบจะระเบิดออกมาพร้อมกัน มันพุ่งเข้าไปฟาดฟันทรวงอก แขนขา และลำคอของสวี่ชีอัน…และทำให้เกิดประกายไฟบาดตาเป็นชุดๆ

“ขั้นห้า?’

สวี่ชีอันที่ตอนนี้อยู่ในระดับพลังเทพวชิระขมวดคิ้วมุ่น เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยจากบริเวณที่ถูกประกายดาบเหล่านั้นฟันลงมา

เชื่อว่ากระบี่ของอีกฝ่ายคงเป็นอาวุธวิเศษที่ไม่แพ้ดาบยาวสีดำทองแน่นอน

“ข้าบอกแล้ว หากไม่มีโชคชะตาคุ้มกาย เจ้าก็เป็นแค่เศษสวะเท่านั้น วันนี้ข้าจะขยี้เจ้าแล้วตัดแขนขาของเจ้าให้กลายเป็นท่อนไม้มนุษย์เสีย ไม่เพียงเท่านั้น ข้าจะชิงของของเจ้าไปด้วยเช่นกัน”

เมื่อพูดจบประโยคสุดท้าย เงาร่างของโฉวเชียนก็หายไป ร่างจริงของเขามาปรากฏกายอยู่ข้างๆ สวี่ชีอันแล้วออกกระบวนท่าฟาดฟันที่สมบูรณ์แบบที่สุด

สัญชาตญาณต่ออันตรายของจอมยุทธ์เอ่ยเตือนสวี่ชีอัน ทำให้เขามองเห็นภาพล่วงหน้า จากนั้นจึงยกดาบยาวดำทองมากันไว้ได้ทัน

‘ชิ้ง!’

ประกายแสงพราวระยับระเบิดออกมาอีกครั้ง สีหน้าของโฉวเชียนแข็งทื่อ ม่านตาของเขาเลื่อนลอยในช่วงสั้นๆ

กระบี่ใจ!

การโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบ คนผู้นี้ไม่ใช่ขั้นสี่ และไม่ได้สำรวจไปถึง ‘จิต’ เช่นนั้นกระบี่ใจของเขาก็สามารถทำให้จิตเดิมของฝ่ายตรงข้ามสั่นสะเทือนได้

สวี่ชีอันโจมตีสำเร็จ ตามมาด้วยเสียงคำรามของสิงโตที่หนวกหูจนสะเทือนจิตเดิมของอีกฝ่ายอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เคลื่อนพลังปราณเพื่อฟาดฟันไปที่ศีรษะของฝ่ายตรงข้าม

เขาไม่มีเวลาใช้ดาบเดียวตัดฟ้าดิน และเขาต้องรีบสังหารเจ้าคนหยิ่งยโสผู้นี้ทิ้งเสียก่อนที่ชายฉกรรจ์ที่คุมค่ายกลคนนั้นจะตอบสนอง

…………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง