ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 402

สรุปบท บทที่ 402 สังหารศัตรู: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 402 สังหารศัตรู – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 402 สังหารศัตรู ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 402 สังหารศัตรู

‘ชิ้ง!’

กำแพงปราณใสก่อตัวขึ้น สกัดกั้นคมดาบที่ปะทะเข้าอย่างจัง ห่างจากลำคอของโฉวเชียนเพียงสามนิ้ว ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นระลอกคลื่นอย่างบ้าคลั่ง

ดาบเดียวของสวี่ชีอันไม่อาจจัดการได้ เขาจึงรีบถอยออกมาตั้งหลักโดยไม่ลังเล

“ศิษย์พี่หยาง ยิง” สวี่ชีอันตะโกน

‘ฟิ้ว…’

กระสุนปืนใหญ่พุ่งทะยานตัดผ่านอากาศส่งเสียงหวีดหวิว โจมตีใส่โฉวเชียนอย่างจัง เกิดแรงระเบิดรุนแรง เปลวเพลิงส่องสว่างทั่วบริเวณ กลุ่มควันลอยคละคลุ้ง

ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายเฝ้ามองสถานการณ์จากระยะไกล คล้ายจะรู้ตั้งแต่ต้นว่ากระบวนท่าดาบเดียวและการระเบิดนั้นไม่มีทางทำร้ายนายน้อยของเขาได้ จึงไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ส่งเสียงเตือนสติด้วยความเคยชิน

“นายน้อย อย่าได้รีรอเลยขอรับ บ่าวเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา จัดการยากนัก”

ในตอนนี้เอง โฉวเชียนก็สลัดอาการวิงเวียนศีรษะออกไปได้ หนังศีรษะของเขารู้สึกชาเล็กน้อย ความรู้สึกหวาดกลัวเอ่อล้นออกมา

เขากำจี้หยกสีม่วงที่ห้อยอยู่ตรงผ้าคาดเอวไว้ในมือ พลางถอนหายใจ “อันตราย ถ้าไม่ได้สมบัติคุ้มกายาชิ้นนี้ ป่านนี้ข้าคงตายไปแล้ว หึ เจ้ามีระดับเพชรไร้พ่ายคุ้มกาย ข้าก็มีอาวุธเวทมนตร์คุ้มกายเช่นกัน”

ผู้เล่นสายเติมเกม[1]ไปตายให้หมด…สวี่ชีอันเหลือบมองหยางเชียนฮ่วนที่ระดมยิงปืนใหญ่จากระยะไกล ก่อนจะหันกลับมาสนใจโฉวเชียนอีกครั้ง

โฉวเชียนหัวเราะเยาะ “เจ้าคงคิดว่าตัวเองเป็นบุตรที่สวรรค์โปรดปรานงั้นสิ เป็นบุตรสวรรค์ที่พิชิตอ๋องสยบแดนเหนือได้งั้นหรือ เป็นบุคคลที่เก่งกล้าสามารถเกินใครงั้นหรือ ข้าจะบอกความลับให้เจ้าอย่างหนึ่ง ที่จริงแล้วเจ้ามันก็เป็นแค่ไอ้สวะชั้นต่ำ ที่เจ้าคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสนัก นั่นก็เป็นแค่ ‘พลัง’ ที่ตระกูลของข้าเขี่ยทิ้งให้เจ้าก็เท่านั้น”

“ตระกูลของเจ้าหรือ”

สวี่ชีอันกวัดแกว่งดาบยาวอย่างสบายๆ เกิดเสียงปังๆ สองครั้ง และสลายปราณกระบี่ที่ส่งมาจากโฉวเชียน

โฉวเชียนไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกดาบขึ้นพุ่งตัวเข้าไปสังหาร

ยอดฝีมือหนุ่มทั้งสองปะทะกันอย่างรวดเร็ว คมดาบและกระบี่กระทบกระทั่งกันอย่างดุเดือด แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้นี้รุนแรงเพียงใด

โฉวเชียนอยู่ในขั้นห้าสลายแรง ด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าสวี่ชีอันควรจะบดขยี้สวี่ชีอันได้ง่ายดายทว่าสิ่งที่ทำให้เขาเดือดดาลคือวิชาดาบที่แสนแปลกประหลาดนี้ ทำให้เขาเกิดอาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงทุกครั้งที่คมดาบปะทะกัน

เขาถูกขัดจังหวะโจมตีเสียทุกครั้ง บางครั้งเขาโจมตีอย่างเต็มแรง กระบี่เงาจันทร์ตัดผ่านกลางลำตัวของอีกฝ่าย ก็ทำให้เกิดเพียงประกายไฟพร่างพราวขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถทำลายร่างทองไร้พ่ายของเขาได้

‘ไอ้เวรตะไลนี่ อยู่แค่ขั้นหกแต่กำจัดยากเย็นนักนะ’…โฉวเชียนใช้กระบี่ผลักสวี่ชีอันออก เขาไม่โจมตีซ้ำ เพียงแต่จ้องมองชายหนุ่มผู้มีร่างสีทองเรืองรอง พร้อมกล่าวเนิบๆ ว่า

“ตั้งแต่ข้าฝึกฝึกวรยุทธ์มา ข้าเคยฝึกวิชากระบี่เพียงประเภทเดียวเท่านั้น เรียกว่า ‘กระบี่เก้าวง’ วิชากระบี่นี้ ทำให้เกิดวงแหวนคล้องเกี่ยวกันเป็นทอดๆ กระบวนดาบซ้อนทับกันไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ฝึกวิชากระบี่นี้สำเร็จ ในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกันข้าก็ไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเลย”

โฉวเชียนรูดปลายนิ้วไปตามสันดาบ พร้อมจ้องมองเขาอย่างยั่วยุ “เทียบกันในในแง่ของพลังเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า กล้ารับกระบี่เก้าวงจากข้าหรือไม่”

หลังจากพูดจบ เขาก็ยกกระบี่ขึ้น และพุ่งตัวเข้าใส่อย่างดุเดือด

ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนฟ้ากว่าสิบจั้งเหนือร่างของเขา ราวกับนกพญาอินทรีบินโฉบ กระบี่เงาจันทร์ถูกเงื้อขึ้นสูง ดูดซับแสงจันทร์อย่างบ้าคลั่ง

ไหนบอกว่าเป็นวิชากระบี่ไง?…สวี่ชีอันบ่นอุบในใจและยกดาบยาวสีดำทองขึ้นตั้งรับ

‘ชิ้ง!’

คมดาบวางในแนวนอนขวางกระบี่ในแนวตั้ง เกิดประกายแสงสว่างวาบ ตามด้วยแรงระเบิดของพลังปราณเป็นระลอกคลื่น

กระบี่เงาจันทร์ฟาดฟันจนสุดแรง จุดประกายไฟบนคมดาบยาวสีดำทองขึ้นมา โฉวเชียนอาศัยจังหวะหมุนตัว และโจมตีด้วยกระบี่เป็นครั้งที่สองตามมาติดๆ

‘เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…’

ร่างของเขากลายเป็นลูกข่าง กวัดแกว่งกระบี่ซ้ำๆ ราวกับกระแสน้ำในมหาสมุทร พลังของกระบี่ที่ฟาดฟันแต่ละครั้ง สั่งสมส่งต่อไปยังครั้งถัดไป ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แข็งแกร่งมาก…สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นเซถอยหลัง ราวกับถูกแสงดาบที่เป็นดั่งคลื่นทะเลปะทะจนทรงตัวไม่อยู่

เมื่อถอยห่างออกไปช่วงหนึ่ง เขาก็เก็บดาบเข้าฝัก สะกดกลั้นอารมณ์และดับพลังปราณทั้งปวง

กระบี่เงาจันทร์ระเบิดแสงเจิดจ้า เช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่สว่างไสวกลางนภากาศ

“ลืมบอกไปว่ากระบี่เงาจันทร์มีวิญญาณ สามารถกลืนกินแสงจันทร์ได้เอง ยามราตรีคือช่วงเวลาที่มันทรงพลังที่สุด”

โฉวเชียนกล่าวพร้อมกับแสยะยิ้ม หมุนตัวกลับมา และฟาดกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย

กระบวนดาบดังกล่าวทำลายได้ตั้งแต่ขั้นสี่ลงไป ทำให้ดูเหมือนเป็นแสงแห่งดาบที่น่าทึ่งที่สุดในโลก

‘ชิ้ง!’ เสียงของดาบที่ถูกชักออกจากฝักดังขึ้นมาก่อน

ในยามรัตติกาล แสงแห่งดาบสีดำสนิทส่องประกายขึ้นอย่างเลือนราง รวดเร็วจนเกือบจะไวกว่าแสง

ดาบเดียวตัดฟ้าดิน!

หลังจากผ่านไปหลายเดือน ในที่สุดสวี่ชีอันก็ได้สำแดงท่าไม้ตายอันเป็นที่เลื่องลือของเขา และยังเป็นท่าไม้ตายเพียงหนึ่งเดียวของเขาอีกด้วย!

โฉวเชียนเห็นแสงดาบสีดำสนิทหายวับไปในชั่วพริบตา เพียงเสี้ยวขณะต่อมาแสงเรืองรองที่อัดแน่นบนกระบี่เงาจันทร์ก็ระเบิดตัว ทำให้ง่ามนิ้วของเขากางออก และกระบี่เล่มยาวกระเด็นหลุดออกจากมือไปไกล

แสงดาบที่ว่องไวจนเกือบเหนือความเร็วแสงพุ่งชนเข้ากับกำแพงปราณใส พลังของทั้งสองฝั่งนิ่งค้างไปไม่กี่วินาที ก่อนที่แสงดาบจะระเบิดตัวกลายเป็นพลังปราณแหลกละเอียดไม่ต่างจากห่าฝนตกกระหน่ำ ทิ้งเพียงหลุมตื้นๆ ไว้บนผืนดินรอบด้าน

โฉวเชียนเซถลาไปด้านหลัง ก้มศีรษะมองจี้หยกสีม่วงที่คาดเอวอย่างไม่เชื่อสายตา

อาวุธเวทมนตร์คุ้มกายที่สามารถป้องกันจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้เกิดรอยร้าวขึ้น

สีหน้าของโฉวเชียนชะงักค้าง เขาพึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้อย่างไร”

เขารู้ว่าสวี่ชีอันเชี่ยวชาญในวิชาดาบที่แข็งแกร่ง พลังปะทะรุนแรง ในตอนที่สวี่ชีอันอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณ เขาเคยใช้วิชาดาบนี้กรีดเนื้อเถือหนังผู้ที่อยู่ในขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงมาแล้ว

ทว่าหลังจากใช้วิชานี้โดยไม่มีใครคาดคิดเพียงครั้งเดียว เขาก็ไม่สำแดงวิชานี้อีกเลย

ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่ามันเป็นวิชาดาบที่ถูกใช้งานในระยะแรกเริ่ม ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก เมื่อระดับการฝึกตนสูงขึ้นแล้ว วิชานี้ก็จะค่อยๆ หมดพลัง และถูกเลิกใช้ในที่สุด

“ในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่มีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้องั้นหรือ…” สวี่ชีอันพลิกดาบไปมา พลางยิ้มยียวน “แค่นี้เองหรือ?”

ใบหน้าของโฉวเชียนซีดเผือด

ในตอนนั้นเอง ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายที่อยู่ห่างไกลออกไปก็สะบัดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นหน้าไม้ขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนปักษายักษ์สยายปีกเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครซุกซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุม เขาเล็งไปทางสวี่ชีอัน และเหนี่ยวไก

‘ปัง!’

เสียงหน้าไม้รุนแรงและทรงพลัง

หลังจากลูกศรถูกยิงออกไป มันก็ขยายตัวพร้อมเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นลำแสงที่พวยพุ่งไปข้างหน้า

สวี่ชีอันถอยหลังโดยสัญชาตญาณ เขาหลบลูกศรที่ทรงพลังมหาศาลนี้ได้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าลูกศรจะพุ่งเป้ามาทางเขา หลังจากเคลื่อนผ่านตัวเขาไปราวๆ สิบจั้ง มันก็วกกลับและพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

ซ้ำร้ายความเร็วและความแรงของมันก็เพิ่มขึ้นยิ่งกว่าตอนที่ยิงออกมาจากหน้าไม้ ผิดหลักกลสาสตร์อย่างมหันต์

“ลูกศรนี้มีชื่อว่า ‘ไร้ตรอมตรม’ เมื่อยิงออกไปแล้วจะไม่มีวันผิดหวังเป็นอันขาด มันเป็นหนึ่งในอาวุธเวทมนตร์ที่วิเศษที่สุด แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอาวุธเวทมนตร์ที่ข้านำมาด้วยในครั้งนี้” โฉวเชียนมองดูมหรสพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เขาสยบโทสะที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ลง สะกดกลั้นความรู้สึกริษยาและพ่ายแพ้ที่ล้นทะลักอยู่ในใจและไม่อาจยอมรับได้

หลังจากที่สวี่ชีอันหลบลูกศรได้สองครั้ง เขาก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าลูกศรนั้นแข็งแกร่งและเร็วขึ้นกว่าเดิม

ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่พุ่งทะยานไปในอากาศ จะเป็นการสะสมพลังไปในตัว

นี่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แหล่งพลังงานของมันอยู่ที่ใดกันแน่ ความสับสนบังเกิดขึ้นในใจของสวี่ชีอัน เขาพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้จากภพชาติก่อนของตนตามสัญชาตญาณ

ข้าไม่เชื่อว่าความเร็วของมันจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีขีดจำกัด

สวี่ชีอันคิดในใจ แต่ไม่กล้าเอาความเป็นความตายของตนมาเดิมพัน จึงก้าวไปข้างหน้า เปิดฉากทำลายมันก่อนในดาบเดียว

‘ตู้ม!’

ลำแสงที่เกิดจากการระเบิดของลูกศรกระจุยกระจาย เศษลูกศร และประกายแสงกระทบผิวกายทองคำของสวี่ชีอัน สาดประกายสีทอง ส่งเสียงคล้ายกระสุนปืนลูกซองนับร้อยนัดกระทบกับกำแพงเหล็กไม่หยุดหย่อน

หลังจากผ่านไปอย่างยากลำบาก ร่างทองของสวี่ชีอันก็สิ้นแสงลง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และพบว่าตัวเองยืนอยู่บนปากเหวแห่งความพ่ายแพ้

จากนั้นเขาก็รู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

แสงกระทบสีเงินสะกดเขาให้หยุดนิ่ง โฉวเชียนผู้ประสบความสำเร็จในการลอบโจมตีไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือลังเลให้เสียเวลา ถอดกระเป๋าหนังคาดเอวออกและสะบัดมือจนสุดแรง

แสงดาบดำทมิฬวาบผ่าน

‘ฉัวะ กร๊อบ…’

โฉวเชียนได้ยินเสียงแตกหักของจี้หยกที่ห้อยเอว และเสียงของกำแพงป้องกันปริแตก

ทันใดนั้นร่างของเขาก็ล้มลง ทรุดลงไปกองกับพื้น หัวเข่าของเขาถูกตัดออกจากร่างกาย เลือดสดๆ ไหลทะลัก

“อ๊กกก…”โฉวเชียนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“นายน้อย!”

ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายส่งเสียงร้องลั่น และพุ่งตัวไปข้างหน้า

“ช่วยข้า มาช่วยข้าเร็วเข้า…”

ดวงตาของโฉวเชียนฉายแววดิ้นรนอยากมีชีวิตรอดอย่างแรงกล้าออกมา ดูจากพลังของข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย การฆ่าสวี่ชีอันที่พลังเทพวชิระใกล้จะพังทลายนั้นง่ายดายราวกับกะดิกนิ้วมือ

หยางเชียนฮ่วนถูกข้ารับใช้ฝ่ายขวาไล่ล่า แม้ว่าตอนนี้เขาจะตอบโต้กลับได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงพาตัวสวี่ชีอันหนีไปด้วย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรักษาชีวิตตัวเองก่อน

ร่างของข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายหายวับ กลายเป็นภาพขาดช่วง พร้อมพุ่งทะยานเข้ามา ห่างออกไปเพียงสิบกว่าจั้ง ในเวลาไม่ถึงชั่วอึดใจ

ในตอนนี้เองก็มีเงาดำร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง คล้ายจะคาดการณ์วิถีโจมตีของข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายได้

‘ตู้ม…’

เงาดำนั้นใช้ศีรษะกระแทกข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายดั่งวัวคลั่ง จนอีกฝ่ายตัวปลิวราวกับกระสุนปืนใหญ่

ร่างนั้นคือคนงามหน้าตาสะสวย สวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และคล้องฆ้องทองคำไว้เหนือทรวงอก

ท่าทางของนางดูวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย ยืนซวนเซไปมา

จากนั้นนางก็หายตัวไปอีกครั้ง เกิดเสียงปะทุของพลังปราณจากที่ที่ไกลออกไป ตามมาด้วยเสียงคำรามของข้ารับใช้ฝ่ายซ้าย

แสงสว่างในดวงตาโฉวเชียนค่อยๆ มอดลง

“เอาอย่างนี้ดีว่า ข้าให้เวลาเจ้าสักหนึ่งเค่อ หากเจ้าคลานไปได้สักยี่สิบจั้ง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” สวี่ชีอันยืนกอดดาบ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอเตือนด้วยความหวังดี รีบๆ คลานซะ บางทีอาจจะรักษาทันก่อนที่เลือดจะไหลหมดตัวเสียก่อน”

โฉวเชียนกรีดร้องอย่างลนลาน รีบคลานไปข้างหน้าจนสุดแรงเกิด ทิ้งรอยเลือดสองสายไปตามทาง

ความหวาดกลัวปะทุในใจของชายหนุ่ม เขาได้กลิ่นอายของความตาย ลมหายใจหายช่วง

จนกระทั่งเขาคลานเหมือนหมาขี้แพ้ไปข้างหน้าได้ระยะหนึ่ง สวี่ชีอันก็โน้มตัวลง คว้าเส้นผมของโฉวเชียนแล้วบังคับให้อีกฝ่ายมองดูการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป พลางกระซิบเสียงต่ำ “พลังต่อสู้เจ้าก็เทียบข้าไม่ติด กระบวนวิชาเจ้าก็เทียบข้าไม่ติด กลยุทธ์เจ้าก็เทียบข้าไม่ติด เจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า”

เขาบดขยี้ความหวังของชายหนุ่มจนไม่เหลือซาก!

แสงสว่างอันริบหรี่ในดวงตาโฉวเชียนดับมอดลงสนิท เหลือเพียงความสิ้นหวังอันบาดลึก

ข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายตะโกนกร้าว “อย่าฆ่านายน้อย สวี่ชีอัน เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ถ้านายน้อยตายนายท่านจะทำลายตระกูลเจ้าเก้าชั่วโคตร”

“งั้นเจ้าคอยดูให้ดีแล้วกัน”

สวี่ชีอันยกดาบขึ้นแล้วตัดคอโฉวเชียนขาดสะบั้น จากนั้นเปิดถุงหอมคาดเอวออก และใส่วิญญาณแฝด ‘ฟ้าดิน’ ของเขาลงไป

จบเห่แล้ว!

เมื่อเห็นฉากนี้ หนังศีรษะของข้ารับใช้ฝ่ายซ้ายและขวาก็เย็นวาบราวกับอยู่ในโรงเก็บน้ำแข็งใต้ดิน

………………………………………………

[1] 氪金玩家ผู้เล่นสายเติมเกม หมายถึงคนที่ใช้เงินจริงเพื่อซื้อของภายในเกม เพื่อให้ผู้เล่นมีของที่ดีกว่าหรือเร็วกว่าคนอื่น (Pay to Win)

[2] หนึ่งเค่อ เท่ากับเวลาประมาณ 15 นาที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง