บทที่ 405 กฎของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์
การแสดงออกของโฉวเชียนทั้งบิดเบี้ยวและดิ้นรนอย่างหนัก นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันพบกับสถานการณ์เช่นนี้
หลี่เมี่ยวเจินบอกว่า คนเพิ่งตายภายใต้สถานการณ์ที่วิญญาณทั้งสามยังไม่ได้มารวมตัวกัน ก็จะว่าง่ายราวกับลูกชายในตระกูลร่ำรวย ถามอะไรก็ตอบไม่ใช่รึ?
เวลานี้เอง สีหน้าของโฉวเชียนก็ค่อยๆ สงบลง แววตาเลื่อนลอย และกล่าวพึมพำว่า “ข้าสงสัยว่าเขาจะเป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง”
“…”
ราวกับฟ้าผ่าลงมาที่จิตใจของสวี่ชีอัน และระเบิดขบวนความคิดทั้งหมดจนแหลกละเอียด ในสมองของเขาก้องไปด้วยเสียงหึ่ง และเต็มไปด้วยความวุ่นวายทุกหนทุกแห่ง
เขาใช้เวลานานมาก ถึงจะกู้คืนข้อมูลในสติปัญญาที่แหลกละเอียดได้ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคำตอบของจีเชียน
ครั้งนี้จีเชียนใช้คำว่า ‘สงสัย’ จากคำสองพยางค์นี้ สวี่ชีอันสามารถสรุปข้อมูลสำคัญได้สองประการ
ประการแรก จีเชียนเป็นเพียงคนที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของคนคนนั้น ไม่ใช่บุคคลที่สำคัญที่สุด เขาจึงเข้าไม่ถึงความลับสุดยอด
ประการที่สอง ในเมื่อจีเชียนตั้งข้อสงสัยดังกล่าว แสดงว่าเขาเข้าใจเหตุการณ์ภายในเป็นอย่างดี
สวี่ชีอันสงบจิตใจลง และถามต่อไปทันทีว่า “อะไรคือข้ออ้างอิงของเจ้า?”
โฉวเชียนตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า “ข้าเคยได้ยินโดยบังเอิญ เขาเรียกท่านโหราจารย์คนปัจจุบันว่าลูกศิษย์ นอกจากนี้ เขายังเคยบอกข้าและเหล่าพี่น้องของข้าว่า มันเป็นของของพวกเรา ในที่สุดก็ต้องช่วงชิงกลับมาให้จงได้ การอดทนอดกลั้นกว่าห้าร้อยปีก็เพื่อความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่ของตนเอง”
สวี่ชีอันนิ่งเงียบและวิเคราะห์อยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดว่าการคาดเดาของจีเชียนนั้นถูกต้อง
ตอนนั้นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งยังไม่ตาย และเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ ดังนั้นเขาจึงพาทายาทของจักรพรรดิองค์นั้นไปได้ นี่เป็นเหตุผลที่จักรพรรดิอู่จงไม่สามารถกำจัดศัตรูรอบตัวได้หมดสิ้น…
นี่สอดคล้องกับตรรกะและเหตุผลแล้ว
ในเวลาเดียวกัน สวี่ชีอันก็ได้นึกถึงรายละเอียดปลีกย่อยมากมายเพื่อนำมายืนยันเรื่องนี้
ข้าจะทบทวนทุกเรื่องราว ทุกคดี ตั้งแต่ข้าเดินทางข้ามเวลามาอีกครั้ง…
เริ่มแรกคือคดีเงินภาษี อดีตรองเจ้ากรมกรมการคลังโจวเสี่ยนผิง เขาคือคนที่จงรักภักดีต่อสายเลือดของเจิ้งถ่งเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ในที่สุดก็มีคำอธิบายสำหรับทิศทางการเงินที่เขาทุจริตไปกว่าล้านตำลึงในตลอดยี่สิบปี…สิ่งที่จำเป็นต่อการกบฎมากที่สุดคืออะไร? คือเงินไงล่ะ
คดีของอวิ๋นโจว เกิดจากการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้ากรมทหารพรรคฉีและสำนักพ่อมด แต่ตอนที่สืบคดีอวิ๋นโจว โหรปริศนาคนนั้นที่คล้ายจะเป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ‘ปล่อย’ ให้ข้าหลุดมือ แต่กลับแอบช่วยข้าจับสายลับ เขาช่วยข้าด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ ไม่มีเหตุผลเลย…
เรื่องที่เกิดขึ้นที่อวิ๋นโจว เป็นเหมือนหนามที่ติดอยู่ในลำคอของสวี่ชีอันมาโดยตลอด แต่เขาขาดเบาะแสและหลักฐานที่สอดคล้องกัน ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้
คดีสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือเมื่อเร็วๆ นี้ ในคดีนี้ พระมเหสีแอบตามสมณทูตไปที่ฉู่โจวอย่างลับๆ นั่นก็เพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งเตรียมรับมือกับคนทรยศในราชสำนัก ตอนนั้นข้าสันนิษฐานได้แล้วว่าขุนนางชั้นสูงจำนวนมากแอบติดต่อกับโหรปริศนา
ใช่ ถ้าโหรปริศนาคือโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง และอำนาจที่อยู่เบื้องหลังคือสายเลือดราชวงศ์ต้าฟ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน งั้นทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้ว ต้องรู้ว่า ข้าราชบริพารส่วนหนึ่งไม่พอใจกับการบำเพ็ญธรรมของจักรพรรดิหยวนจิ่งมานานแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะถูกโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งปลุกระดมอย่างลับๆ
ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นสายเลือดราชวงศ์ต้าฟ่ง ในเมื่อสายเลือดของเจ้าไร้ความสามารถ ทำไมข้าไม่ตรงไปพึ่งสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วเลยเล่า?
นอกจากนี้ โหรปริศนายังช่วยเผ่าอนารยชนลักพาตัวพระมเหสี นี่ก็เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลมากเช่นกัน ในเมื่อโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งต้องการก่อกบฎ เช่นนั้นก็คงไม่ปล่อยให้อ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนสู่ขั้นสองอย่างแน่นอน จึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกำจัดเขา
การดำรงอยู่ของจอมยุทธ์ขั้นสองที่เชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม คงจะกลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในการกบฏของพวกเขา ดังนั้น แผนการของโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งทั้งหมด ล้วนต้องทำให้ความแข็งแกร่งของต้าฟ่งอ่อนแอลง ตราบใดที่ยึดมั่นในจุดประสงค์นี้และไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป้าหมายย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม…
เมื่อสวี่ชีอันนึกถึงตรงนี้ รูม่านตาของเขาก็หดตัวเล็กน้อย และความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา แล้วเว่ยเยวียนล่ะ?
หากต้องการก่อกบฏ รายนามผู้ที่ต้องฆ่าอันดับแรกคือโหราจารย์ ต่อมาก็ควรจะเป็นเว่ยเยวียน
เมื่อเปรียบเทียบกับอ๋องสยบแดนเหนือแล้ว เว่ยเยวียนผู้ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญตำราพิชัยสงครามที่ทรงพลัง และเรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้ โจมตีเผ่าอนารยชนและเผ่าปีศาจแดนเหนือจนพ่ายแพ้ยับเยิน วางกลยุทธ์การต่อสู้ เอาชนะประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสำหรับสงครามที่น่าสลดใจที่สุด และยังเป็นเทพสงครามแห่งยุคในสงครามที่ด่านซานไห่
เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องกำจัดจริงๆ นอกจากนี้ ระดับปัญหาของเว่ยเยวียนยังใหญ่เป็นอันดับสองรองจากท่านโหราจารย์คนปัจจุบันอีกด้วย
อืม เว่ยกงถูกเหล่าขุนนางแทะโลมโจมตีตลอดเวลาจริงๆ พวกขุนนางใกล้ชิดที่ดีแต่อ้าปากด่าคนอื่น เอะอะก็ตะโกนว่า ขอฝ่าบาททรงโปรดตัดศีรษะสุนัขตัวนี้
ไม่รู้ว่าในนั้นมีกี่คนที่พึ่งพาโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง….
ให้ตายเถอะ เดี๋ยวนะ!
จู่ๆ สายฟ้าก็ฟาดลงมาที่สมองของเขา ส่องแสงสว่างให้กับสิ่งเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในความมืด
เขานึกถึงคดีหนึ่ง หากมองเพียงผิวเผินจะเห็นว่าเป้าหมายคือฮองเฮา ซึ่งเกี่ยวพันถึงการต่อสู้ขององค์ชาย แต่จริงๆ แล้วพาดพิงถึงคดีของเว่ยเยวียน
คดีพระสนมฝู!
ลองนึกดูว่า ถ้าคดีนี้ไม่มีข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว งั้นผลที่ตามมาก็คือฮองเฮาจะถูกละทิ้ง องค์ชายสี่ถูกลดตำแหน่งจากทายาทสายตรงเป็นทายาทนอกสมรส และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสืบทอดสายเลือดอันยิ่งใหญ่
การสนับสนุนการสืบทอดตำแหน่งขององค์ชายสี่ เป็นจุดเริ่มต้นของความปรารถนาของเว่ยกง เช่นนี้ เว่ยกงและจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับกษัตริย์และขุนนางที่แตกแยกกัน ระหว่างพวกเขาเหลือเพียงรอยร้าวที่ไม่มีทางซ่อมแซมได้
และผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคดีพระสนมฝูคือเฉินกุ้ยเฟย เป็นความจริงที่มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเฉินกุ้ยเฟย อืม คิดเช่นนี้แล้ว สาวใช้นามว่าเหอเอ๋อร์คนนั้น สามารถสวมใส่อาวุธเวทมนตร์ที่ป้องกันกลิ่นอายได้ ช่างน่าสนใจจริงๆ
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ขมวดคิ้วแน่นและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “โหรล้วนเป็นตาแก่คร่ำครึ”
คดีของพระสนมฝูน่าจะเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งในการจัดการเว่ยเยวียน หรือไม่ใช่กระทั่งบทนำ ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมโชคชะตาถึงอยู่กับสวี่ชีอัน?” ในที่สุดเขาก็ถามคำถามที่สำคัญที่สุด
โฉวเชียนยืนนิ่งด้วยความตะลึงและตอบว่า “ข้าไม่รู้ ข้ารู้เพียงเหตุผลบางส่วน โชคชะตาต้องอยู่ที่เขา เดิมทีการตรวจสอบข้าราชสำนักในคดีเงินภาษีช่วงปลายปี เขาจะถูกส่งออกจากเมืองหลวง”
“ทำไมต้องทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้เพื่อ ‘ส่ง’ สวี่ชีอันออกไปจากเมืองหลวง? พวกเจ้าส่งคนไปลักพาตัวเขาโดยตรงไม่ได้รึ?”
การแสดงออกของโฉวเชียนดูเฉื่อยชา เขากล่าวพึมพำว่า “ข้าไม่รู้”
สวี่ชีอันถามว่า “เจ้าบอกว่าจะตัดแขนขาสวี่ชีอันให้กลายเป็นไม้เท้าและพากลับมา เจ้าเกลียดเขาขนาดนี้ ทำไมไม่ฆ่าเขาทิ้งซะล่ะ”
โฉวเชียนตอบว่า “เขาคือภาชนะบรรจุโชคชะตา หากโชคชะตายังไม่ถูกถอนออกมา ภาชนะจะแตกก่อนไม่ได้”
หากโชคชะตายังไม่ถูกถอนออกมา ภาชนะจะแตกก่อนไม่ได้ สำหรับข้า นี่ถือเป็นข่าวดี…
สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “จะถอนโชคชะตาออกไปได้อย่างไร”
โฉวเฉียน “ข้าไม่รู้ แต่ท่านพ่อกับใต้เท่าท่านนั้นตระเตรียมเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปีแล้ว”
การถอนโชคชะตาออกไปเป็นเรื่องยากหรือเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เช่นเดียวกับโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งในตอนนี้ที่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วงชิงชะตากรรมของประเทศ…
เมื่อวิเคราะห์จากแผนการของเขา ดูเหมือนโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งท่านนี้จะไม่ได้อยู่ในช่วงที่เบ่งบานอีกต่อไป จึงทำได้เพียงวางแผนเท่านั้น
เมื่อมองจากมุมอื่น หากความแข็งแกร่งของต้าฟ่งอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง โหราจารย์คนปัจจุบันก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ด้วยใช่หรือไม่?
อืม นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญ
สวี่ชีอันคิดในใจ
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ หลังจากถอนโชคชะตาออกไปแล้ว ภาชนะจะเป็นอย่างไร?” เขาจ้องโฉวเชียนและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“แน่นอนว่าคือความตาย”
บัดซบ! สวี่ชีอันสบถคำหยาบในใจ
หลังจากถอนโชคชะตาออกไปแล้ว ข้าจะตายงั้นรึ?!
ถ้าเช่นนั้นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งก็คือศัตรูตัวฉกาจของเขา เรื่องนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาต่อรองอีกต่อไป
ตัวปัญหาคือ โหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง…ขณะเดียวกัน ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาด้วย
ตอนนี้เขาเป็นหมากในเกมของโหราจารย์ทั้งสองยุค สิ่งที่ท่านโหราจารย์ประพฤติต่อเขา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นความปรารถนาดี อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากระบวนการจะเป็นอย่างไร อันที่จริงก็ถึงวาระของจุดจบแล้ว
ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันต้องถอนโชคชะตาคืนสู่ร่างของเขาอย่างแน่นอน
มีเพียงการคืนโชคชะตาสู่ต้าฟ่งเท่านั้น ความแข็งแกร่งของต้าฟ่งถึงจะฟื้นตัว แต่ชะตากรรมของประเทศและราชวงศ์สัมพันธ์กับท่านโหราจารย์อย่างแนบแน่น หากพลังของประเทศอ่อนแอ ความแข็งแกร่งของท่านโหราจารย์ก็จะอ่อนแอลงเช่นกัน
เรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันจะไม่ถอนโชคชะตาคืนได้อย่างไร? แต่เหตุผลที่ไม่ถอนในตอนนี้ นั่นก็เพราะโอกาสยังมาไม่ถึง
แล้วอนาคตล่ะ?
ความรู้สึกลึกๆ ของสวี่ชีอันราวกับตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง และหนาวสั่นไปทั่วร่าง
“พวกเจ้าวางแผนก่อการจราจลเมื่อใด” สวี่ชีอันถาม
“รอให้เว่ยเยวียนตาย รอให้โชคชะตากลับคืนมาในร่างของสวี่ชีอัน และรอให้ข้าเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสี่” โฉวเชียนตอบกลับ
“ทำไมต้องรอให้เจ้าเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสี่?”
สำหรับสองคำตอบแรก เป็นคำตอบที่สวี่ชีอันคาดการณ์เอาไว้ในใจก่อนแล้ว จึงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก
“เมื่อเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสี่ ข้าก็จะสามารถรองรับโชคชะตาอันท่วมท้นนี้ได้ ข้าเป็นทายาทสายตรงของท่านพ่อ เป็นเจ้าของร่วมแห่งจิ่วโจวในอนาคต โชคชะตานี้เป็นของข้า”
มิน่าเขาถึงเกลียดและอิจฉาข้าถึงเพียงนี้ และยังกล่าวอ้างว่าทุกอย่างของข้าในตอนนี้ล้วนเป็นแค่การเอาเปรียบเขา…สวี่ชีอันครุ่นคิด และถามว่า
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านพ่อของเจ้าบอกเจ้ารึ”
“แน่นอน หากไม่ใช่เพราะเขาเลือกข้าเป็นทายาท เขาจะให้ ‘ฟันมังกร’ กับข้าทำไม” โฉวเชียนกล่าว
“ที่ซ่อนของพวกเจ้าอยู่ที่ใด”
“ที่สวี่โจว”
สวี่โจว? ต้าฟ่งมีสถานที่เช่นนี้ด้วยรึ…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว พลางรำลึกความทรงจำแบบผิวเผิน เขายืนยันได้ว่าตนเองไม่เคยได้ยินสถานที่นี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม ต้าฟ่งมีถึงสิบสามรัฐ ในแต่ละรัฐก็ยังมีรัฐเล็กรัฐน้อยอีก จำนวนมากเกินไปที่จะนับ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง