บทที่ 406 ระดับสามหรือ
“ตามคำกล่าวของจีเชียน ก่อนที่โชคชะตาจะถูกนำออกมา ภาชนะจะแตกไม่ได้ ในทางกลับกัน หาก ‘ภาชนะ’ แตก โชคชะตาจะกลับคืนสู่ต้าฟ่งหรือไม่ เช่นนั้นหากข้าบอกเรื่องพวกนี้กับเว่ยกง เขาจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไร”
หลังจากเป่าเทียนดับ สวี่ชีอันที่นอนอยู่บนเตียงจู่ๆ ก็มีคำถามนี้ผุดขึ้นมา
เขาสามารถตัดทอนได้และบอกเว่ยกงเพียงแค่การมีอยู่ของเชื้อสายราชวงศ์ของท่านโหราจารย์รุ่นแรกกับต้าฟ่ง โดยไม่เปิดเผยข้อมูลของโชคชะตา
แต่ปัญหาคือ เขาไม่รู้ว่าเว่ยเยวียนอยู่ขั้นใด เช่นเดียวกับที่เขามองไม่ออกว่าท่านโหราจารย์อยู่ขั้นใด
หากบอกข้อมูลเหล่านี้กับเว่ยเยวียน เว่ยเยวียนก็จะผนวกข้อมูลที่เขาควบคุมกับความรู้เพื่ออนุมานเบื้องหลังของโชคชะตา…
อ้อ ที่แท้ต้าฟ่งอ่อนกำลังลง ประชาชนลำบากยากแค้น ท้องพระโรงทุจริตหนัก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการสูญเสียโชคชะตาและโชคชะตาอยู่ที่สวี่ชีอัน
ในฐานะวีรบุรุษผู้มีความทะเยอทะยานและปณิธานแน่วแน่ที่อุทิศชีวิตเพื่อกวาดล้างโรคเรื้อรัง เว่ยเยวียนจะจัดการกับญาติพี่น้องที่กระทำผิดกฎหมายเพื่อประเทศและประชาชนหรือจะเลือกปกปิดและเพิกเฉย
ข้าไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้ แต่จากความสามารถที่เว่ยเยวียนแสดงออกมากับตำนานของเขา หากข้าอยู่ระดับสิบแปด เช่นนั้นเขาคงอยู่ระดับเก้าสิบเก้า…สวี่ชีอันพลิกกายลุกขึ้นนั่งและครุ่นคิดในความมืด
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกหวาดระแวงว่า โลกทั้งใบกำลังจะทำร้ายเขา
รุ่นแรกกับรุ่นปัจจุบันไม่น่าเชื่อถือ เดิมทีก็ประจบสอพลอเว่ยเยวียน หากรู้เรื่องโชคชะตา คงกลายเป็นศัตรูกัน
“ข้าควรทำเช่นไร”
ในยามค่ำคืน สวี่ชีอันบ่นพึมพำถามตัวเอง
“หากข้ามีพลังต่อสู้ขั้นสามหรือขั้นสอง ข้าคงเดินด้วยลำแข้งของตัวเองได้และกระโดดออกจากกระดานหมากรุกมาเป็นนักเล่นหมากรุก แต่ข้าเป็นเพียงทหารขั้นหก ท่านโหราจารย์รุ่นแรกก็เหมือนดาบที่ห้อยอยู่เหนือหัว แม้ว่าจะไม่ตกในเร็ววัน แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่า ระยะเวลาก็คงไม่นานเกินไป ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถกลายเป็นสุดยอดทหารในเวลาอันสั้นได้ หากเป็นเช่นนี้ วิธีจัดการที่ดีที่สุดคือต้อนเสือขย้ำหมาป่า ใช้ศัตรูของศัตรูจัดการกับศัตรู แต่รุ่นแรกกับรุ่นปัจจุบันต่างก็ไม่ใช่คนดี…”
หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก เสียงหัวเราะเบาๆ ของสวี่ชีอันก็ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงบ “ข้าคิดวิธีออกแล้ว”
“ปกป้องเม็ดบัวก่อนแล้วเลื่อนสู่ขั้นห้าให้เร็วที่สุด…หลังจากนั้นก็กลับเมืองหลวงและเล่นเกมพูดความจริงหรือทำตามคำสั่งกับเว่ยกง…”
…
ยามรุ่งสาง แสงอรุณแรกสาดส่องลงมา เหล่าสายลับที่สวมชุดคลุมสีดำขนย้ายปืนใหญ่ยี่สิบกว่ากระบอกและเดินช้าๆ ไปตามถนนที่เชิงเขาคฤหาสน์เยวี่ยจือ
เทียนจีกับเทียนซูยืนอยู่ริมถนน เอามือไพล่หลังและมองลูกน้องวางปืนใหญ่เรียงเป็นแถวอยู่เคียงข้างกัน
เหล่าสายลับตระเตรียมการยิงอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาไม่กลัวว่าศัตรูในคฤหาสน์จะลงมือโจมตีหรือทำลาย เพราะไม่ไกลจากหน่วยปืนใหญ่มีนักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีกับลูกศิษย์ของพวกเขาอยู่
นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่นำโดยเฉาชิงหยางอีก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ลงรอยกัน แต่ทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกัน หากคฤหาสน์เยวี่ยจือคิดจะทำลายปืนใหญ่ด้วยวิธีการลอบโจมตี คนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะขัดขวางอย่างแน่นอน
“เมื่อวานเจ้าหุนหันพลันแล่นเกินไป ไม่ควรเอาป้ายทองคำที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ไปข่มขู่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์” เทียนซูเอ่ยเสียงเรียบ
เสียงของนางเย็นชาและเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของสตรีสูงวัย
“ข้าเพียงแค่ดูท่าทีของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เท่านั้น แม้ว่าเฉาชิงหยางจะมีทิฐิสูง แต่สุดท้ายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็ยังคงยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคฤหาสน์เยวี่ยจือ” เทียนจีเอ่ยเสียงเย็น
ท่าทีของสำนักโม่กับกลุ่มหมัดเทพเจ้าเมื่อคืนนี้ทำให้เขาระแวดระวังมาก หากภายในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เกิดเสียงขัดแย้งขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นนั้นยักษ์ใหญ่ของเจี้ยนโจวกลุ่มนี้ แม้ว่าจะไม่ขบถต่อคฤหาสน์เยวี่ยจือ พลังต่อสู้ก็ลดลงอย่างมาก
ดังนั้นเขาจึงต้องรู้เบื้องหลังของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ แน่นอนว่า การซักไซ้เอาความเป็นความจริง หากเฉาชิงหยางยอมจำนนต่ออำนาจของราชสำนัก เช่นนั้นเขาก็เดิมพันถูกต้องแล้ว
ในทางกลับกัน แม้ว่าจะเสี่ยงไปบ้าง แต่การประเมินของเขาก็ถูกต้อง เฉาชิงหยางไม่ได้ฆ่าเขา
ในฐานะผู้นำกลุ่มพันธมิตร แม้ว่าเขาจะดื้อรั้นและหยิ่งทะนง เขาก็ยังแตกต่างจากชาวยุทธภพที่หัวเดียวกระเทียมลีบ เรื่องที่ต้องครุ่นคิดก็มากขึ้นเช่นกัน
กำไรไม่เลว แต่ราคาก็มหาศาลเช่นกัน ในฐานะยอดฝีมือขั้นสี่และหนึ่งในหัวหน้าสายลับ เขาถูกเฉาชิงหยางทำให้อับอายและทุบตี หากไม่ฉลาดมากพอ เขาคงสลัดเงามืดในใจไม่ออกไปอีกสักพัก
เทียนจีกระซิบ “พวกเราเพียงแค่ต้องยิงสนับสนุน เพื่อเปิดช่องว่างให้นิกายปฐพี การแย่งชิงเม็ดบัวหลังจากนั้นไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกเรา แต่เป็นการฆ่าสวี่ชีอัน เข้าใจหรือไม่”
เทียนซูร้อง ‘อืม’ ออกมาและยิ้ม “เมื่อคืนนี้เขาใช้ดาบเดียวตัดฟ้าดินและยังใช้วรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊ออีก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฟื้นตัวภายในเวลาไม่กี่ชั่วยาม ไม่ฆ่าตอนนี้แล้วจะฆ่าตอนไหน”
ในฐานะสายลับของไหวอ๋อง ซึ่งตอนนี้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ พวกเขารู้จักสวี่ชีอันเป็นอย่างดี ภายหลังจากการวิเคราะห์กับประเมินในที่เกิดเหตุและอาวุธเวทมนตร์ที่แตกละเอียดบนร่างของชายหนุ่มที่มีภูมิหลังลึกลับ
นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนที่ในพริบตากะทันหันท่ามกลางสายตาของทุกคนและใช้ดาบยันต์สังหารผู้ติดตามขั้นสี่สองคนอีก
พวกเขาสรุปเบื้องต้นได้ว่า สวี่ชีอันใช้ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ กับวรยุทธ์ของขงจื๊อ และจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า สองเคล็ดวิชานี้ต้องจ่ายในราคามหาศาล
…
สามกองกำลัง กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นิกายปฐพีกับสายลับของไหวอ๋องรวมตัวกันและข้างหลังพวกเขายังมีชาวยุทธภพที่มามุงดูอีกหลายร้อยคน
บางคนเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาๆ บางคนเป็นคนที่สำนักเล็กๆ ส่งมาเพื่อฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน
หลังจากประสบศึกลอบโจมตีที่เมืองเล็กๆ เมื่อวานนี้ ความกระตือรือร้นของชาวยุทธภพกลุ่มนี้ก็ถูกโจมตีอย่างหนัก ด้านหนึ่งเกรงกลัวความแข็งแกร่งของคฤหาสน์เยวี่ยจือและตระหนักถึงความเป็นจริง
อีกด้านหนึ่งตัวตนของสวี่ชีอันเริ่มก่อหวอด อิทธิพลของเขาค่อยๆ มากขึ้น ส่งผลให้ผู้คนเกรงกลัวขึ้นเรื่อยๆ และไม่กล้าเป็นศัตรูกับเขา
“ข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว ช่างน่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่เวทีของพวกเรา” ในฝูงชน หลิวหู่ที่ใช้กระบองทองแดงยันกายทอดถอนใจ
“ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสจับปลาในน้ำขุ่น” มีสหายที่ยังมีความหวัง
“เมื่อวานนี้ข้าคำนวณพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจากพลังต่อสู้ที่คฤหาสน์เยวี่ยจือแสดงออกมา มันแตกต่างกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นิกายปฐพีและยอดฝีมือจากราชสำนักกลุ่มนั้นมาก”
“ไม่เพียงแตกต่างกันมากเท่านั้น พวกเจ้าอย่าลืมว่า ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพียังไม่ปรากฏตัว เขาอยู่ขั้นสอง หากเขามา เขาจะกวาดล้างทั้งสนาม”
“หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ไม่มีแม้แต่โอกาสจะจับปลาในน้ำขุ่นด้วยซ้ำ”
“เอ๊ะ พวกเจ้าว่าหากฆ้องเงินสวี่ใช้พลังในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ พอมีหวังที่จะสู้กับผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีได้หรือไม่”
“ไม่ใช่ว่าในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธมีท่านโหราจารย์แอบช่วยหรอกหรือ”
“คุยกันสบายๆ ข้าพูดว่าพลังของฆ้องเงินสวี่ตอนพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ แน่นอนว่าข้ารู้ว่าท่านโหราจารย์แอบช่วย”
คุณชายหลิวถือดาบและเดินไปทางสาวๆ แห่งหอหมื่นบุปผา เขาเผยสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาและพูดว่า “หรงหรง ข้าได้ยินจากท่านอาจารย์ว่า คฤหาสน์เยวี่ยจือเพียงแค่กำลังต่อต้านอย่างดื้อรั้นเท่านั้นและโอกาสที่จะปกป้องเม็ดบัวไว้ได้ก็มีไม่มาก”
หรงหรงหันไปมองไปคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่มีสัมพันธไมตรีไม่เลวคนนี้ แต่กลับพบว่าสายตาของเขาลอบมองแผ่นหลังอันงดงามของเจ้าของหออยู่
“ข้าไม่สนว่าคฤหาสน์เยวี่ยจือจะปกป้องเม็ดบัวไว้ได้หรือไม่” หรงหรงเอ่ยเสียงเบา
ในความคิดของหรงหรง สายตาของคุณชายหลิวยับยั้งชั่งใจมากแล้ว มันเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสียสาวงามเช่นเจ้าของหอก็เด่นสะดุดตาเกินไป หากผู้ชายคนใดไม่แอบมอง ตรงกันข้ามเขามีปัญหา
“พวกเราคิดเหมือนกัน” คุณชายหลิวหัวเราะ
นี่เป็นความคิดของคนส่วนใหญ่ รวมถึงเหล่านางฟ้าแห่งหอหมื่นบุปผาที่อยู่ตรงนั้น คฤหาสน์เยวี่ยจือจะปกป้องเม็ดบัวไว้ได้หรือไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขา
ขอเพียงฆ้องเงินสวี่ไม่ประสบอุบัติภัยก็พอ
พวกเขาชื่นชมความชอบธรรมของฆ้องเงินสวี่ แต่ก็ไม่อยากเห็นเขาสิ้นชีพลงที่นี่ ซึ่งไม่ขัดแย้งกับการแย่งชิงเม็ดบัวของพวกเขา
…
ภายในคฤหาสน์เยวี่ยจือ
เหล่าลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดินรวมตัวกัน ถืออาวุธเวทมนตร์ของตนเองและเตรียมพร้อมรบ
เดิมทีเป็นการประชุมระดมพล แต่นักพรตหญิงไป๋เหลียนพบว่า ความกังวลกับความกลัวของเหล่าลูกศิษย์ก่อนออกศึกมากกว่าที่จินตนาการไว้
นักพรตหญิงไป๋เหลียนยืนอยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ทุกคนและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จากการกรีธาทัพก่อนหน้านี้ รักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ อย่ากังวลและอย่ากลัวไป พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องจัดการยอดฝีมือขั้นสี่”
เหล่าลูกศิษย์พยักหน้า แต่สีหน้ากังวลยังไม่คลายลง
พวกเขายังเด็กและแทบจะไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ในระดับนี้ ไม่สิ เรียกได้ว่าเป็นสงครามด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินก็มาปลอบโยนทีละคน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ค่อยดีนัก
ตะโกนคำพูดติดปากไปจะมีประโยชน์อะไร…สวี่ชีอันถือดาบพกและเดินมาอย่างสงบนิ่ง เขามองเห็นความกังวลบนใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
เขายืนอยู่ต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์ กุมดาบยืนตัวตรงและเอ่ยเสียงเรียบ “สำหรับพวกเจ้า อันที่จริงแล้วนี่เป็นโอกาสหนึ่ง”
ชิวฉานอีและลูกศิษย์คนอื่นๆ มองมาที่เขาทันทีและฟังอย่างตั้งใจ
“เป้าหมายของพรรคฟ้าดินคืออะไร พวกเจ้าย่อมรู้ดีกว่าข้า พวกเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับใครในอนาคต ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดใช่หรือไม่” สวี่ชีอันมองทุกคนรอบๆ
ลูกศิษย์ทุกคนพยักหน้า
แน่นอนว่าพวกเขารู้ แต่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและไม่มีพละกำลังเพียงพอ ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กับเหล่าเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีล่วงหน้า นี่ทำให้เหล่าลูกศิษย์หนุ่มสาวรู้สึกตื่นตระหนกที่ถูกบีบให้ทำอะไรเกินความสามารถ
“ตอนข้ารับช่วงต่อคดีซังผอ ความรู้สึกของข้าก็ไม่ต่างจากพวกเจ้า วิตกกังวลและไม่สบายใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่สุดท้ายข้าก็ไขคดีได้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง