บทที่ 409 เมล็ดบัวสุกเต็มที่
‘โครม!’
ก่อนที่หมัดทั้งสองจะปะทะกัน ดวงตาของเฉาชิงหยางก็เปล่งประกายอย่างชื่นชม
เสียงหมัดกระทบกันดังชัดเจน ร่างของสวี่ชีอันเอนลงไปข้างหลัง หากใช้ตามองก็คือล้มลงไปกับพื้น แต่ทันใดนั้น…เอวและกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาก็สั่นราวกับคลื่นน้ำ ดูเป็นวิธีออกแรงแบบไม่ถูกหลักเพื่อใช้ดึงร่างเขากลับมา
เฉาชิงหยางก้าวถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า พลางออกแรงสกัดและสะบัดแขนที่เจ็บปวดไปด้วย
บรรยากาศตึงเครียดอันรุนแรงที่ลานด้านนอกก็หยุดนิ่งลง
หลังจากที่ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินเลี่ยงดาบแหลมออกไป พวกเขาก็หยุดชะงัก แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยเหลือแต่ก็ไม่ได้โต้กลับเช่นกัน มองไปที่สวี่ชีอันด้วยความประหลาดใจ
‘คงไม่ใช่หรอกนะ…’
เทียนจีและเทียนซูทั้งตกใจและโกรธ ทั้งสองคนจ้องมองที่สวี่ชีอัน จ้องมองทุกท่าทุกการเคลื่อนไหว จ้องมองการเปลี่ยนแปลงท่วงท่าทั้งร่างกายแขนขาของเขาอย่างละเอียดอ่อน
ความคิดหนึ่งที่ยากจะเชื่อผุดขึ้นมาในใจของพวกเขา
เต๋ามารแห่งนิกายปฐพีหรี่ตาลง จ้องไปที่สวี่ชีอันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ดวงตาของนักบวชหลานเหลียนประกายไปด้วยความชั่วร้าย พลางพูดเย้ยหยัน “เฉาชิงหยาง เจ้ายังจะเล่นอีกนานแค่ไหน?”
ในสายตาของระบบบำเพ็ญธรรมลัทธิเต๋าของพวกเขา เฉาชิงหยางผู้นี้มีทั้งความเมตตา ทั้งการให้อภัย และได้อ่อนข้อให้อย่างที่สุดแล้ว
“เมื่อครู่…หมัดนั้นเมื่อสักครู่นี้…”
เหล่ายอดฝีมือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต่างได้แต่มองหน้ากัน
ในฐานะจอมยุทธ์ระดับสูง พวกเขามีความรู้มากกว่านักบวชของนิกายปฐพีอยู่มาก
การเคลื่อนไหวของหมัดนั้น การถอยกลับอย่างรุนแรงของเฉาเหมิงจู่ และการปัดป้องไม่หยุดนั้น ทุกคนยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้แสดง เป็นการกระแทกกลับโดยหมัดของสวี่ชีอันจริงๆ
ฮู่ว…
สวี่ชีอันถอนหายใจเสียงหนัก ข่มอารมณ์ลิงโลดแทบบ้าไว้ภายในใจ ไม่จำเป็นต้องแสดงอารมณ์ดีใจให้ปรากฏออกทางสีหน้า ยังคงรักษาท่าทางเย็นชาเอาไว้ พลางพูดช้าๆ
“ข้าบรรลุขั้นห้าแล้ว!”
อันที่จริง ประโยคที่เขาคิดอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ ข้านั้นบรรลุเป็นเทพเซียนของแผ่นดินแล้ว!
แต่ประโยคนี้ก็ยังคงสร้างเสียงดังสะท้านในหมู่ ‘คนดู’ อย่างใหญ่โต
เขาอยู่ขั้นห้าจริงๆ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นห้า…
อารมณ์ภายในใจของหลี่เมี่ยวเจินนั้นซับซ้อนมาก ทั้งมีความสุขทั้งผิดหวัง
นางเป็นถึงเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ เทพธิดาคืออะไรน่ะหรือ? บรรดาคนรุ่นเดียวกันในนิกายสวรรค์ ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นล้ำเลิศที่สุด และมีศักยภาพสูงสุดเท่านั้น จึงจะมีสถานะเป็นถึงเทพธิดา’
อีกทั้งสถานะของนิกายสวรรค์ในยุทธภพก็คือยืนอยู่เหนือมวลชน ทุกครั้งที่ผู้คนมองขึ้นไปก็จะมองเห็นเสมอ ลูกศิษย์ของนิกายสวรรค์ทุกท่านที่อยู่ในยุทธภพล้วนเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์
หลี่เมี่ยวเจินก็เป็นหนึ่งในเทพธิดาอันเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์
ตอนนางเพิ่งจะอายุได้ยี่สิบต้นๆ ก็บรรลุขั้นสี่แล้ว หากรอจนเมื่อนางเติบโตถึงอายุที่กลายเป็นดอกไห่ถังที่อุดมสมบูรณ์ การฝึกบำเพ็ญนั้นจะสามารถบรรลุได้ถึงระดับใด?
ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เคยกล่าวไว้ว่า เทพบุตรและเทพธิดารุ่นนี้มีความหวังอย่างมากที่จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นสาม และมีลำดับขั้นเหนือกว่าชาวบ้านธรรมดา
หลี่เมี่ยวเจินภูมิใจในเรื่องนี้มายี่สิบปี จนกระทั่งได้พบกับสวี่ชีอัน นางถึงค้นพบได้ทันใดว่าพรสวรรค์ที่ตนเองภาคภูมิใจนักหนา เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วเหมือนนับได้ว่าพอใช้เพียงเท่านั้น
“อัจฉริยะ พรสวรรค์อัจฉริยะ”
หยางซุยเสวี่ยแสดงสีหน้าตื่นเต้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนถอนหายใจ “ชายหนุ่มรูปงามผู้มีคุณธรรมและสติปัญญาสูงที่คนแก่อย่างข้าเคยได้พบนั้ นมีมากเหมือนดั่งปลาที่ว่ายข้ามแม่น้ำ ฆ้องเงินสวี่นับว่าโดดเด่นที่สุดในคนเหล่านั้น พรสวรรค์ส่วนนี้ทำให้คนตื่นตะลึง”
“บุกทะลวงและเข้าร่วมรบด้วยตนเอง จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขั้นห้า ฆ้องเงินสวี่นั้นช่างพิเศษและโดดเด่นจริงๆ ข่าวลือในยุทธภพที่บอกว่าปัญญาของเขานั้นไม่แพ้อ๋องสยบแดนเหนือ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย” เซียวเยว่หนูกล่าวออกจากใจจริง
นางปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมของสตรี จึงมองเห็นสีหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก เห็นแค่เพียงแค่น้ำที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาคู่นั้น เปล่งประกายคล้ายกับแสงดาวระยิบระยับ
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้าราชสำนักเมื่อปลายปี เพียงแต่ว่าในขณะนั้นเขายังอยู่ในหลอมจิตขั้นสูงสุด ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี กลับได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากทหารขั้นเก้าระดับสูงสุด ไปเป็นสลายแรงขั้นห้า…
เทียนจีและเทียนซูสองสายลับระดับสวรรค์ ในหัวนั้นผุดข้อมูลของสวี่ชีอันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
‘พรสวรรค์ส่วนนี้ เมื่อเทียบกับฉู่หยวนเจิ่นแล้วกลับเหนือชั้นยิ่งกว่า’
ปีนั้นฉู่หยวนเจิ่นลาออกจากการเป็นขุนนางเพื่อฝึกวรยุทธ์ และเขาก็ผ่านช่วงวัยที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฝึกวรยุทธ์ไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จและสร้างผลงานได้ในทางวิทยายุทธ์
ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เทียบเท่าการลุกขึ้นมาตบหน้าทุกๆ คน
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ก็ได้ท้าประลองกับฆ้องทองคำขั้นสี่อย่างเปิดเผย ณ เวลานั้น พรสวรรค์ส่วนนี้ทำให้เกิดแรงสะท้านสะเทือนอย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง อีกทั้งเว่ยเยวียนก็ยกย่องเขาในฐานะนักดาบอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
เหตุผลก็เป็นเช่นนี้
ไม่น่าเชื่อว่าความสามารถของสวี่ชีอันจะแข็งแกร่งกว่าฉู่หยวนเจิ่นในทุกด้าน
ถ้าหากคนเช่นนี้ไม่ตายไปเสีย ในอนาคตจะต้องเกิดปัญหาอันใหญ่หลวงแน่นอน
จมูกของชิวฉานอีแดงก่ำ ดวงตาของนางก็แดงก่ำเช่นกัน น้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มยังเปียกชื้น ณ เวลานี้ นางเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ตกอยู่ในความตะลึงอย่างมาก
“ขอบคุณเฉาเหมิงจู่อย่างมากที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์”
สวี่ชีอันกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อมและจริงใจ
เฉาชิงหยางพยักหน้า พลางพูด “ร่างทองของเจ้านั้นดูท่าจะถึงคราวเข้าตาจน หากไม่มีพลังเทพคุ้มกายานี้แล้ว แม้ว่าเจ้าจะเข้าสู่สลายแรงขั้นห้าก็ตาม สำหรับข้าก็เป็นเพียงแค่เรื่องของหมัดหนึ่งหมัด ยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถอะ”
การป้องกันร่างเนื้อเป็นรากฐานของการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวของจอมยุทธ์ หากไม่มีกระดูกเหล็กผิวทองแดง เขาจะต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร
สวี่ชีอันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ “หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ?”
เฉาชิงหยางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นครั้งนี้ ข้าจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว”
เสียงล่องลอยอยู่ในอากาศ ร่างกายของเขาราวถูกลมพัดฉีกแหลกสลาย แต่นั่นเป็นเพียงแค่ภาพติดตาเท่านั้น เฉาเหมิงจู่ในชุดสีม่วงปรากฏตัวต่อหน้าเขา ออกหมัดโจมตีเข้าโดยตรงที่ใบหน้า
ร่างของสวี่ชีอันสลายหายไป ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นทางด้านซ้ายของเฉาชิงหยาง
“หรือเฉาเหมิงจู่ลืมเคล็ดลับทักษะพิเศษของข้าไปเสียแล้ว?”
สวี่ชีอันพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว หมัดของเขาต่อยกระทบร่างของเฉาชิงหยางเสียงดังกังวานและเต็มไปด้วยพลัง
เขาหายตัวไปอีกครั้ง โดยหลบไปอยู่ด้านหลังของเฉาชิงหยาง ต่อด้วยปรากฏตัวขึ้นอีกด้านหนึ่งของเฉาเหมิงจู่ กำลังจะเริ่มต้นการต่อสู้โจมตีระยะประชิดอีกรอบ
แต่สัญชาตญาณชาวยุทธจักรของเฉาชิงหยางก็เฉียบแหลมและว่องไวไม่แพ้กัน เขาพลิกมือไปคว้าข้อมือของสวี่ชีอันไว้ พลางเอนตัวลง ทำให้ตนเองกลายเป็นเสาหินที่ถล่มลงมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง