บทที่ 410 ราชครูหญิง
ยันต์รูปร่างหน้าตาธรรมดาอันหนึ่ง พลันเกิดเปลวไฟลุกโชนเจิดจ้า กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้ชมยังได้ยินเสียงกรีดร้องว่า ‘ท่านราชครู ช่วยข้าด้วย’ สะท้อนกลับมา แต่มันก็เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
ราชครู? ราชครูที่เอ่ยออกจากปากของเขาคงเป็นลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ราชครูหญิงแห่งราชสำนักกระมัง…
ได้อย่างไรกัน สวี่ชีอันสามารถอัญเชิญผู้นำเต๋านิกายมนุษย์มาได้?
ยันต์ใบนี้เป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ใช้เรียกลั่วอวี้เหิง?
เป็นไปไม่ได้ ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์จดจ่อกับการบำเพ็ญธรรม ไม่สนใจเรื่องทางโลกและเก็บตัวอยู่ในเมืองหลวง เป็นไปได้อย่างไรที่สวี่ชีอันแค่คนเดียวจะสามารถอัญเชิญนางออกมาได้…
ทุกคนจ้องไปยังแผ่นยันต์ที่กลายเป็นเถ้าถ่าน ความคิดต่างๆ แวบเข้ามาในหัว ในขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดฟุ้งซ่าน แต่ทว่า…ที่นั่นกลับไร้การเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรนอกเหนือจากลมที่แปรจนเกิดเสียงดัง
ผ่านไปอีกสักพัก เสียงลมก็ยิ่งดัง แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขี้เถ้าของยันต์ที่ถูกเผาไหม้ถูกลมม้วนวนขึ้น และพัดปลิวไปไกล
น่าอึดอัดยิ่งนัก คำกล่าวของข้าไม่น่าเชื่อถือกระมัง นักบวชเต๋าจินเหลียนผู้นี้คงกระวนกระวายใจไปเองแล้วทำอะไรวุ่นวายไปหมด…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก รู้สึกถึงความอัปยศชนิดที่ทำลายชื่อเสียงตนเอง
ในสายตาของเขา ลั่วอวี้เหิงเป็นราชครูที่อยู่ระดับสูง และเป็นยอดฝีมือขั้นสอง อีกทั้งความสัมพันธ์กับเขายังไม่ใช่เครือญาติหรือมิตรสหาย ไม่ใช่ท่านน้าแท้ๆ อีกด้วย
นางจะเห็นแก่หน้าเขา และรีบมาช่วยเหลือจากที่อันไกลโพ้นได้อย่างไร
นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบแผ่นยันต์ให้เขาก็เพื่อหยอกเล่นแบบนี้หรือ? นอกเหนือจากจะต้องผิดหวังแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นยังรู้สึกว่าเดิมทีก็ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
แผ่นยันต์ไม่ใช่อาวุธวิเศษที่จะสามารถอัญเชิญราชครูมาได้ ถึงอย่างนั้น ต่อให้แผ่นยันต์จะสามารถติดต่อกับราชครูได้ ก็ใช่ว่าสวี่ชีอันจะอัญเชิญนางออกมาได้เสียเมื่อไร
ในฐานะที่เขาเป็นลูกศิษย์ของนิกายมนุษย์ และเป็นตัวแทนนิกายมนุษย์ที่ต้องต่อสู้กับหลี่เมี่ยวเจิน ต่อให้มีภาษีดีถึงขั้นนี้ ท่าทีของราชครูที่มีต่อเขาก็ยังคงเย็นชาเหมือนเคย อย่างมากที่สุดก็แสดงความชื่นชมอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นนิกายปฐพี นิกายสวรรค์ แม้กระทั่งศูนย์รวมอำนาจและสำนักอื่น เมล็ดพันธุ์อันยอดเยี่ยมเช่นเขาก็กลายเป็นเป้าหมายสำคัญในการปลูกฝังของใครหลายคนมาตั้งนานแล้ว แม้กระทั่งผู้สืบทอดการฝึกตนในอนาคต
อารมณ์ที่เงียบขรึมของลั่วอวี้เหิง แค่มองเห็นเพียงเล็กน้อยก็สามารถสรุปได้ทั้งหมดแล้ว
สวี่ชีอันกับนางไม่ได้มีความสัมพันธ์กันมากนัก อยากมากก็เจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง อย่างดีที่สุดคือไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นมีความคิดคล้ายกัน ลั่วอวี้เหิงเป็นผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์ มีตำแหน่งเท่ากับผู้นำเต๋าของนิกายสวรรค์
ในฐานะที่ตนเองเป็นเทพธิดาของนิกายสวรรค์ หากพบเจอกับความยากลำบากในยุทธภพ แล้วเรียกให้ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์มาช่วย คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยหรือ
แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงไม่สนใจอยู่แล้ว มิฉะนั้นศิษย์พี่ใหญ่คงไม่ถูกไล่ตามเข่นฆ่าโดยหญิงสาวเป็นหลายพันลี้เพราะหนี้รัก จนถึงป่านนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม
ดังนั้น การที่สวี่ชีอันคิดจะอัญเชิญผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์มา ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเกินไปหน่อยหรือ
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กับชาวยุทธภพพากันส่ายหน้าและหัวเราะ ที่แท้ฆ้องเงินสวี่ก็กำลังวางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาและล้อเล่นกับทุกคนอยู่
เหล่านักบวชนิกายปฐพีหัวเราะเสียงดัง เผยให้เห็นการเยาะเย้ยหนึ่งรอบ นอกจากร่างกายจะแสดงท่าทีถากถางออกมาอย่างชัดแจ้ง พวกเขายังพูดฉีกหน้าสวี่ชีอันอย่างถึงอกถึงใจ
สายลับเทียนจีส่งเสียงยิ้มเยาะ กล่าวเหน็บแนม “ตําแหน่งราชครูนั้นสูงส่งเพียงใด แค่มดแมลงเช่นเจ้าอยากจะอัญเชิญก็อัญเชิญมาได้อย่างนั้นหรือ สวี่ชีอัน นี่เจ้าคิดจะทำให้พวกเราหัวเราะจนฟันร่วงหรืออย่างไร”
สายลับหญิงเทียนซูกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าเด็กอ่อนหัด”
ไม่มีใครสังเกตเลยว่ารอบข้างสายลมยิ่งพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดเอาฝุ่นและใบไม้ขึ้นไป พัดผิวน้ำเป็นระลอกคลื่น
เฉาชิงหยางเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงหันขวับอย่างกะทันหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ดวงดาวสีทองสายหนึ่งสว่างขึ้น
แสงดาวพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับดาวตกที่พาดผ่านท้องฟ้า ลากหางเปลวไฟ ปะทะสู่สายตาและรูม่านตาของทุกคน
หลังจากนั้น แสงสีทองมหาศาลพลันพุ่งชนเข้ากับคฤหาสน์เยวี่ยจือ และลงสู่พื้นตรงเบื้องหน้าสวี่ชีอัน
นางร่อนลงสู่พื้นอย่างสง่างาม แสงสีทองที่ห่อหุ้มกายาราวกับหมอกที่พลิ้วไหว พื้นผิวกระจายเป็นระลอกคลื่น
เสื้อคลุมขนนกตัวยาวพลิ้วไสว ผมสีดำใช้ปิ่นไม้มะเกลือรวบไว้ทั้งศีรษะ ระหว่างคิ้วแต้มด้วยชาดสีแดงหนึ่งจุด ความงามของนางราวกับอยู่เหนือจุดสูงสุดของกาลเวลา และอยู่เหนือภาพลักษณ์ที่เรียบง่าย
ความบริสุทธิ์ ความน่ารัก ความงดงามหยาดเยิ้ม ความเย่อหยิ่ง ความเรียบง่าย…ล้วนประจักษ์ชัดอยู่ในสายตาของบุรุษมากหน้าหลายตา แต่ละคนมีมุมมองต่อภาพลักษณ์นั้นไม่เหมือนกัน
ชายที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างค้นพบความชื่นชอบในส่วนลึกของตนเองได้จากตัวนางกันทั้งสิ้น
มา…มาจริงๆ หรือ?!
สวี่ชีอันอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จ้องมองไปยังร่างของหญิงสาวด้วยความตกตะลึง บทนักแสดงที่เป็นอมตะประโยคหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
ท่านน้า ข้าอยากยอมแพ้แล้ว!
ไม่ไกลออกไป ฉู่หยวนเจิ่นมองไปที่หญิงงามล่มเมืองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย สิ่งแรกที่อัดแน่นอยู่ในใจไม่ใช่ความตื่นตะลึง แต่เป็นความว่างเปล่า
เขาตกอยู่ในความสงสัยที่ว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ จนถอนตัวไม่ขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลให้ความคิดเฉียบแหลมที่วิเคราะห์ได้เป็นอย่างดีในยามปกติเข้าสู่ภาวะชะงักงันในเวลานี้
หลี่เมี่ยวเจินเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
นางจ้องมองไปยังสวี่ชีอัน หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบ เต็มไปด้วยความรู้สึกอิจฉาที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง รู้สึกอยากโยนแผ่นยันต์เพื่อถ่ายทอดคำร้องขอให้ผู้นำเต๋าเข้ามาช่วยเหลือเหมือนกัน
…ในใต้หล้า ตนที่เป็นถึงเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ ชัดเจนแล้วว่าไม่มีหน้าตาเทียบเท่าเขา
“ราช ราชครู…”
เทียนจีอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หวีดร้องภายในใจ ‘เจ้ามาได้อย่างไร เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้มาตามคำเชิญของมดแมลงตัวหนึ่ง…’
เขาอดคิดตั้งคำถามและนึกตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้ คิดจะย้ายฝ่าเท้าออกไป
เขาโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้ ทั้งตกใจและสับสน สีหน้าของเขาซีดเผือด…แต่สุดท้าย เขากลับเลือกที่จะนิ่งเงียบ
การเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งขั้นสองท่านหนึ่ง แม้จะมีจักรพรรดิคอยสนับสนุนก็ไร้ความหมาย ต่อให้ลั่วอวี้เหิงฆ่าตัดศีรษะเขาในเวลานั้นก็คงไม่มีใครออกหน้าเพื่อเขา
ตายอย่างไม่มีค่าอะไรเลย
คิดมาถึงจุดนี้ เทียนจีเอียงศีรษะเหลือบมองเทียนซู พบว่านางเองก็กำหมัดแน่นไม่ต่างกัน ร่างบอบบางสั่นเล็กน้อย อยู่ในช่วงพยายามระงับอารมณ์โกรธและตกใจของตนเองอย่างสุดความสามารถ
“ท่านนี้คือผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ราชครูหญิงจริงๆ หรือ?”
มีคนกระซิบเบาๆ
ใบหน้าของลั่วอวี้เหิงเป็นสิ่งที่ชายธรรมดาทั่วไปไม่สามารถแหงนหน้ามอง มีคนน้อยมากที่เคยพบเห็นตัวตนที่แท้จริงของนาง
“เป็น เป็นฆ้องเงินสวี่ที่อัญเชิญนางมา…”
หลังประโยคนี้กล่าวออกไป สถานการณ์ดูจะเงียบลงไปหลายส่วน ทุกคนเลื่อนสายตาโดยปริยาย มองไปทางเด็กหนุ่มรวบผมหางม้าที่ยืนอยู่ด้านหลังราชครูหญิง
สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ยืนตัวตรง ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความมั่นใจที่สามารถอัญเชิญผู้นำเต๋านิกายมนุษย์มาได้ ท่าทีสงบนิ่งจนมองไม่เห็นถึงอารมณ์ผันผวนใดๆ
นี่…ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันกับผู้นำเต๋าของนิกายมนุษย์เป็นอย่างไรกันแน่?
ด้วยฐานะผู้นำเต๋าลั่วอวี้เหิง ราชครูที่น่าเคารพ คิดไม่ถึงว่านางจะถูกฆ้องเงินสวี่อัญเชิญออกมาได้ แทบไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ…
พวกเขาทั้งสองต้องมีความสัมพันธ์ลับอะไรบางอย่างต่อกันกระมัง แม้ชื่อเสียงของฆ้องเงินสวี่จะรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า ก็ควรมีขีดจำกัด ไม่มีทางทำให้ขั้นสองผู้สง่างามปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ได้…
ขั้นสองถือว่าเป็นบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของจิ่วโจว หากจะบอกว่าพวกเขาทั้งสองไม่มีเรื่องภายใน ให้ตายอย่างไรก็ไม่เชื่อ…
ในเวลานี้ความคิดในใจของเหล่า ‘ฝูงชน’ เรียกได้ว่าระเบิดแล้ว
เต๋ามารของนิกายปฐพีมองอย่างลุ่มหลงไปยังลั่วอวี้เหิงที่ราวกับนางฟ้าก็มิปาน ความชั่วร้ายในดวงตาอ่อนลงเล็กน้อย แทนที่ด้วยกามตัณหา แทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปหาและครอบครองนางเสีย
ความสามารถของเต๋ามารนิกายปฐพีคือสนองความต้องการเบื้องลึกของจิตใจ สำหรับส่วนที่เสื่อมโทรมและน่าขยะแขยงที่สุดในธรรมชาติของมนุษย์ เมื่ออยู่บนร่างกายของเขาแล้ว จะสามารถขยายได้ถึงร้อยเท่าพันเท่า
ขณะเดียวกันเส้นทางนิกายมนุษย์ของลั่วอวี้เหิงก็มีข้อเสียในด้านนี้อยู่เช่นกัน ดังนั้นเต๋ามารของนิกายปฐพีซึ่งลุ่มหลงอยู่ในความปรารถนาจนถอนตัวไม่ขึ้นจึงยังมีสติอยู่บ้าง ทันทีที่ทราบว่าอีกฝ่ายคือผู้นำของนิกายมนุษย์ เขายิ่งไม่รอช้าที่จะสนองความต้องการของตนเอง แสยะยิ้มและพุ่งเข้าไปหา
ทันใดนั้นหว่างคิ้วที่หมุนวนของนักบวชเต๋าจินเหลียนปรากฏขึ้นอีกครั้ง ควันดำคล้ายหมอกหนาพยายามโผล่ออกมา แปลงร่างกลายเป็นร่างคนที่มีเพียงครึ่งบนและมีใบหน้าที่คลุมเครือ
ร่างอวตารของเฮยเหลียนมองลั่วอวี้เหิงอย่างละโมบ พลางแสยะยิ้มกล่าว “ลั่วอวี้เหิง หลานสาวคนดี อาจารย์อาอยากจะบำเพ็ญคู่กับเจ้ามาตั้งนานแล้ว ไฟแห่งกรรมบนร่างกายเจ้าจะต้องอร่อยอย่างหาที่เปรียบมิได้เป็นแน่ สามารถช่วยให้ความชั่วร้ายดั่งปีศาจของข้าเติบโตขึ้นอย่างมาก”
หนังศีรษะของนักบวชเต๋าจินเหลียนเกิดอาการชา สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบหาทางแก้ไขอย่างหวาดหวั่น กล่าวด้วยเสียงคำราม
“เต๋ามาร หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว วันนี้อาตมาจะจัดการกับคนทรยศ ทำให้ร่างวิญญาณเจ้าถูกทำลายเสีย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง