ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 411

บทที่ 411 สัญชาตญาณของแมว

ภายในคฤหาสน์เยวี่ยจือเงียบงันราวกับหุบเขา การต่อสู้ที่ราวกับคลื่นยักษ์ไม่ได้กินเวลานานนัก มันจบลงในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ

ในที่ห่างออกไป ผู้คนที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศซึ่งรอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นว่าในคฤหาสน์ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับการสู้รบไม่เคยเกิดขึ้น ทุกคนก็พากันเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวัง

ยอดฝีมือขั้นสี่เป็นคนนำ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหลือเดินตามอยู่ข้างหลัง

เจ้าลัทธิและหัวหน้าของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์รวมตัวกันและค่อยๆ ก้าวเข้าไปในคฤหาสน์กลางหุบเขา ขณะที่นิกายปฐพีและสายลับของไหวอ๋องรวมตัวกันอยู่ที่ไกลๆ

สีหน้าของพวกเซียวเยว่หนูตึงเครียด แม้จะเชื่อมั่นในกลุ่มพันธมิตรของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม และแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่ร่างแยกหนึ่งร่าง แต่ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ก็ยังเป็นนักพรตขั้นสอง

ไม่สามารถตัดสินด้วยมาตรฐานทั่วไปได้

“ไม่ต้องห่วงหรอก เฉาเหมิงจู่นั้นเป็นยอดฝีมือขั้นสาม ต่อให้ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะเหมิงจู่ได้ภายในเวลาสั้นๆ” ฟู่จิงเหมินเอ่ยเสียงขรึม

“แต่การต่อสู้จบลงแล้วจริงๆ” เจ้าลัทธิสำนักเฉียนจีเอ่ย

“ตามความเห็นของข้า เฉาเหมิงจู่ชนะ” เซียวเยว่หนูมีสีหน้าผ่อนคลายและขยิบตาเล่นอย่างสนุกสนาน

นางตัดสินแบบนี้โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าจอมยุทธ์นั้นฆ่าได้ยากที่สุดในระดับเดียวกัน ในเมื่อร่างอวตารของเหมิงจู่และผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ล้วนอยู่ในขั้นสองทั้งคู่ เช่นนั้นหากคิดจะเอาชนะเหมิงจู่ให้ได้ ก็ย่อมทำไม่ได้ในเวลาสั้นๆ อย่างแน่นอน

แต่การต่อสู้ในส่วนลึกของคฤหาสน์เยวี่ยจือกลับจบลงแล้ว ส่วนผลลัพธ์เป็นอย่างไรนั้นไม่ต้องคิดก็รู้ได้

หยางชุยเสวี่ยทอดถอนใจกล่าว “เหมิงจู่เพิ่งเลื่อนตำแหน่งสู่ขั้นสอง ทั้งยังเอาชนะร่างอวตารของราชครูได้ เรื่องนี้หากแพร่ออกไป พวกเรากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และชื่อเสียงของเหมิงจู่ก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง”

“ยุทธภพต้าฟ่งสิบสามดินแดนก็จะมีพวกเรากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นผู้นำแล้ว” เจ้าลัทธิอีกคนกล่าวเสริม

ทุกคนต่างมองหน้าแล้วหัวเราะกัน จิตใจก็เบาสบายขึ้นเช่นกัน พวกเขาไม่รู้สึกตึงเครียดอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้คลายความระมัดระวัง พลางก้าวเดินช้าๆ ไปข้างหน้า

“ชิ…”

เทียนจีที่อยู่ห่างไกลออกไปแค่นเสียงออกมา ไม่ใช่เพราะว่าราชครูพ่ายแพ้ แต่เป็นเพราะเฉาชิงหยางได้ก้าวสู่ขั้นสาม พร้อมทั้งมีชื่อเสียงและตำแหน่งนับแต่นั้น เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวดีอะไรนักสำหรับราชสำนักเลย

ยิ่งอิทธิพลของยุทธภพแกร่งกล้ามากเท่าใด อำนาจของราชสำนักต่อพื้นที่นั้นๆ ก็จะยิ่งอ่อนแอลง

โดยรวมแล้วหากสงบสุขก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่หากเกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อใด พื้นที่เหล่านี้ก็จะกลายเป็นกลุ่มกบฏแรกๆ อย่างแน่นอน

เมื่อเดินผ่านบ้านเรือนที่พังทลาย ตัดผ่านสวนรกชัฏ แล้วเดินต่อเข้ามาหนึ่งเค่อ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงริมสระเย็น และมองเห็นเงาร่างสวมชุดสีม่วงยืนอยู่ไกลๆ ด้วยท่าทียโส

มีเสียงแค่นหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นมาในเต๋ามารนิกายปฐพี

สีหน้าของพวกหยางชุยเสวี่ยแสดงออกถึงความยินดี แต่ทันใดนั้นก็เปลี่ยนไป สีหน้าของพวกเขากลายเป็นความตระหนกและตื่นกลัว เจ้าลัทธิและหัวหน้าสิบกว่าคนรีบพุ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าเฉาชิงหยาง

เฉาชิงหยางไร้ลมหายใจแล้ว ทั้งยังไม่มีการตอบสนองของสัญญาณชีพใดๆ ด้วย

เต๋ามารนิกายปฐพีสังเกตเห็นก่อนแล้วว่าจิตเดิมของเฉาชิงหยางดับไปแล้ว ดังนั้นจึงแค่นหัวเราะเย้ยหยันออกมา

“มะ เหมิงจู่!”

เจ้าลัทธิแห่งสำนักเฉียนจีคร่ำครวญออกมา เขาได้รับการโจมตีทางจิตใจอย่างรุนแรง ซึ่งผลลัพธ์นี้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้มากนัก

“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร”

ฟู่จิงเหมินแห่งลัทธิหมัดเทพเจ้าคุกเข่าต่อหน้าร่างของเฉาชิงหยาง หมัดขวาทุบตีพื้นดินไม่หยุด

“เฉาเหมิงจู่สิ้นแล้ว…”

ร่างกายของเซียวเยว่หนูสั่นไหว สีเลือดบนใบหน้าจางหายไปทีละนิด ภายใต้ผ้าบังหน้า ริมฝีปากที่เดิมเป็นสีกุหลาบชุ่มชื้นก็ซีดเผือดไปด้วยเช่นกัน

นางจดจ้องไปยังเฉาชิงหยางที่หลับตาอย่างเงียบสงบโดยไม่ไหวติง ความสับสนและความสูญเสียใหญ่หลวงมารวมกับความตื่นตระหนกเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เสาหลักของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ดับสิ้นแล้วที่คฤหาสน์เยวี่ยจือ ว่าที่เหมิงจู่คนใหม่ก็ยังไม่ได้ตัดสิน เพราะเฉาชิงหยางยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ทั้งช่วงวัยและพลัง

นี่หมายความว่าสำนักใหญ่แต่ละแห่งในเจี้ยนโจว รวมถึงหน่วยงานใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็จะตกอยู่ในความโกลาหลเพราะต้องแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเหมิงจู่น่ะสิ

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก่อตั้งมาหกร้อยปี มีไม่ถึงสามครั้งที่เหมิงจู่สิ้นชีพกลางคัน เช่นนี้จะทำเช่นไรดีเล่า จะทำเช่นไรดี” หยางชุยเสวี่ย เจ้าสำนักแห่งสำนักโม่ริมฝีปากสั่นเทา

เวลาเช่นนี้ ศิษย์และคนในสำนักของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต่างก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นภาพนี้ก็พากันหลั่งน้ำตาระงม

โดยเฉพาะศิษย์จากหน่วยงานใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ต่างพากันคุกเข่าร่ำไห้ด้วยความโศกสลด

เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขายังโห่ร้องให้กับการเลื่อนสู่ขั้นสองของเฉาชิงหยางอยู่เลย คิดว่ายุครุ่งโรจน์ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใกล้จะมาถึงแล้ว ทั้งพละกำลังและชื่อเสียงก็จะยิ่งโด่งดังขึ้นอีกขั้น

นี่เพิ่งผ่านมาเท่าใดเอง

สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว เฉาเหมิงจู่สิ้นชีพ จากข่าวดีก็กลายเป็นข่าวร้าย จากยอดเขาก็ตกลงมาสู่หุบเขา

“จุ๊ๆ ลั่วอวี้เหิงยังคงเด็ดขาดในการสังหารเช่นเคย ไม่เคยเห็นอกเห็นใจกันเลย” นักบวชเต๋าชื่อเหลียนที่มีผมสีดอกเลาทั้งศีรษะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด

ในเมื่อเฉาชิงหยางตายแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอะไรอีก

สำนักใหญ่แต่ละแห่งของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กล้าลงมือเพราะความโกรธเกรี้ยว นั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี จากนั้นนักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีจะใช้เลือดล้างเจี้ยนโจวและดำเนินการสังหารหมู่เอง

“เอ๋ ดอกบัวเก้าสีหายไปแล้ว” เทียนจีกวาดตามองไปรอบๆ พักหนึ่งก็ไม่เห็นเมล็ดบัว

เทียนซูส่งเสียงทางจิตไปให้กับเหล่านักพรตจากนิกายปฐพี

“ดอกบัวเก้าสีคงถูกราชครูนำไปด้วยแล้ว นางใช้ร่างอวตารมา แต่ถึงมาแต่ก็ไม่อาจกลับได้ ดอกบัวจะต้องอยู่ในมือของสวี่ชีอันแน่นอน ไปเร็ว ไปฆ่าสวี่ชีอันแล้วชิงเมล็ดบัวมา”

หลังจากส่งเสียงทางจิตออกไป นางก็ร่ายอาคมกล่าวทุกคนว่า “ร่างอวตารของราชครูนั้นเป็นสิ่งที่สวี่ชีอันเรียกมา เขารู้ว่าราชครูเป็นยอดฝีมือขั้นสองแท้ๆ แต่ก็ยังเรียกมาได้ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ที่นี่เป็นที่ตายของเฉาเหมิงจู่ สงสารก็แต่เฉาเหมิงจู่ที่ยกย่องชื่นชมเขาและหล่อเลี้ยงเขามา ทั้งยังช่วยให้เขาเลื่อนตำแหน่งไปถึงขั้นห้า สุดท้ายบุญคุณกลับกลายเป็นความแค้นเสียอย่างนั้น”

ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มองหน้ากันด้วยความโกรธ พวกเขาพากันจ้องไปที่นางด้วยสายตาเคียดแค้น

เทียนซูแค่นเสียงแล้วมองตอบสายตาของทุกคนพลางกล่าวต่อไป

“ทำไมรึ ข้าพูดผิดตรงไหน ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ พวกเจ้าลองถามตัวเองสิว่าสวี่ชีอันผู้นั้นตอบแทนคุณด้วยความแค้นจริงหรือไม่ เฉาเหมิงจู่ตายอย่างอยุติธรรมใช่หรือไม่”

กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก

“หุบปาก!” หยางชุยเสวี่ยตะโกนอย่างโกรธแค้น โมโหจนชี้ง้าวใส่ “ถ้าเจ้ากล้าสร้างความสับสนให้ผู้คนอีก ข้าจะฟันเจ้าซะ”

เทียนซูแค่นเสียงเย็น “ก็มาสิ!”

สายลับของไหวอ๋องพากันพุ่งเข้าไปทันที แต่ละคนล้วนกุมด้ามดาบไว้แน่น

ตอนนี้เอง นักพรตเต๋าชื่อเหลียนก็ลงมือฉับพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือน เขาหยิบกระบี่บินออกมาจากแขนเสื้อแล้วโจมตีไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ

‘พลั่ก!’

กระบี่บินกระทบเข้ากับกำแพงปราณที่มองไม่เห็นแล้วถูกดีดกลับมาจนบินพุ่งขึ้นฟ้า

“ทุกท่าน ช่วยพวกเราสังหารเจ้าเฒ่าผู้นี้เสียก่อน แล้วค่อยไปคิดบัญชีกับสวี่ชีอัน ดีหรือไม่” นักพรตเต๋าชื่อเหลียนเอ่ยเสียงดัง

ขณะเดียวกับที่เขากำลังพูด เหล่านักพรตของนิกายปฐพีก็เริ่มลงมืออย่างไม่หยุดยั้ง โดยควบคุมกระบี่บินไปโจมตียังกำแพงปราณ แต่ก็ไม่มีใครทำลายปราการป้องกันชั้นนี้ได้

เหล่าเต๋ามารแห่งนิกายปฐพีรู้ดีถึงร่างที่แท้จริงของจินเหลียน แต่ตอนนี้ผู้นำเต๋ากับจินเหลียนกำลังพัวพันอยู่ในสายธารแห่งปัญญา จึงยากจะแยกตัวเขาออกมาได้ ความจริงแล้วหากจะทำลายภาวะหยุดชะงักเช่นนี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายมาก เพียงแค่ต้องทำลายกายเนื้อของจินเหลียนเท่านั้น

หากทำได้ วิญญาณที่เสียหายของจินเหลียนก็จะลอยล่องเหมือนจอกแหนไร้ราก จากนั้นก็สามารถใช้โอกาสนี้โจมตีอย่างหนักได้พอดี ถึงขั้นกำจัดเขาให้สิ้นซากเลยก็ว่าได้

หากสามารถดึงคนจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เข้ามาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางพลาดแน่นอน

ส่วนจะทำร้ายผู้นำเต๋าหรือไม่นั้น เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดเลย เพราะผู้นำเต๋ามาแค่เพียงร่างอวตาร

เทียนจีตกลงทันที “ดี ทุกคนไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระแล้ว เราฆ่าเจ้านักพรตเฒ่านี่ก่อนค่อยว่ากัน เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขา ก็ต้องฝังเขาไปพร้อมกับเฉาเหมิงจู่เสีย”

เขาฉลาดนักที่ไม่ได้เอ่ยถึงการต่อกรกับสวี่ชีอัน เพราะเรื่องนี้จะต้องทำให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคนเกิดความลังเลและต่อต้านอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่

ฟู่จิงเหมินที่มีนิสัยตรงไปตรงมาก่นด่าว่า “เมล็ดบัวสารเลว หากไม่มีคนจากคฤหาสน์เยวี่ยจือ เหมิงจู่ก็คงไม่ตาย ข้าจะฝังเจ้านักพรตเฒ่านี่ไปพร้อมกับเหมิงจู่”

ตอนนี้เอง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ “เฉาเหมิงจู่ยังไม่ตาย”

ฝีเท้าของฟู่จิงเหมินหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโต สงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือไม่ “เจ้านักพรตหน้าเหม็น เจ้าพูดอะไรนะ”

หยางชุยเสวี่ยและพวกเซียวเยว่หนูต่างตกตะลึง

“จิตเดิมสิ้นไปแล้ว แล้วจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เจ้านักพรตเฒ่า อย่ามาโกหกเสียให้ยาก” เจ้าลัทธิคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม น้ำเสียงนั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง