ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนในสำนักทะเลาะวิวาทกันหรือ เป็นเพราะการสนทนาเต๋าทะลุถึงขีดจำกัดหรืออย่างไร สุภาพบุรุษจึงเลื่อนขั้นจากการใช้ปากมาเป็นลงไม้ลงมือแทน? องค์หญิงใหญ่ตกตะลึง นางเคยร่ำเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่อยู่ระยะหนึ่ง
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่คนในสำนักมักจะนั่งพูดคุยหารือกัน พวกเขายิ้มเมื่อมีความสุข เมื่อตอนที่ร้อนรนก็จะตะโกนด่าทอกันอย่างรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์
แต่สถานการณ์ที่ถึงขั้นลงไม้ลงมือนางไม่เคยเจอมาก่อน
ตัวตนของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นสูงส่งน่านับถือ เป็นแบบอย่างให้แก่ผู้อื่น จะลงมือกันง่ายๆ ได้อย่างไร
จ้าวโส่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาวางถ้วยชาลง และถามว่า “ลงไม้ลงมือกันด้วยเหตุใด”
ชายชราคนนั้นส่ายหน้าและพูดอย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้ เดิมทีท่านมู่ไป๋กำลังเซ็นลงนาม แต่ทันใดนั้นสุภาพบุรุษทั้งสองก็ปรากฏตัว จากนั้นพวกเขาก็ทะเลาะกันขอรับ”
ชายชราชะงักไปครู่หนึ่ง และกล่าวเสริมด้วยสีหน้าวิตกกังวล “เจ้าพูดว่า ‘ตาเฒ่า’ เขาพูดว่า ‘โจรเฒ่าไร้ยางอาย’ ดูจะโกรธจริงๆ ขอรับ”
เวลานี้เจ้าสำนักผู้ใจสงบนิ่งดั่งขุนเขาตกตะลึงและตระหนักได้ถึงสถานการณ์ผิดปกติ
องค์หญิงใหญ่พูดว่า “เจ้าสำนักพาข้าไปด้วยเถิด”
จ้าวโส่วกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในระยะหนึ่งจั้ง (1 จั้งเท่ากับ 10 ฟุต) ของข้า เป็นเขตของราชวิทยาลัยปราชญ์”
องค์หญิงใหญ่ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เห็นรูปปั้นนักบุญที่ถือม้วนกระดาษไว้ในมือ เปลวไฟลุกพรึ่บ ควันสีเขียวขดตัวอยู่ในห้องโถง
นอกห้องโถงเกิดความโกลาหลขึ้น ลมกระโชกแรงพัดเข้ามาข้างใจทำให้เทียนดับไป
เจ้าสำนักจ้าวโส่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะหายไปแล้ว องค์หญิงใหญ่เผชิญกับลมกระโชกแรง นางเดินไปทางประตูโถง
ลมแรงทำให้ชุดของนางปลิวไปข้างหลัง ปกเสื้อแนบติดกับหน้าอก แม้แต่ชุดฤดูหนาวหนาๆ ก็ไม่อาจปกปิดสัดส่วนโค้งเว้าของนางได้
เมื่อมองออกไปไกลๆ กลางอากาศ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทังสามกำลังยืนอยู่ในอากาศ
ระลอกคลื่นยักษ์น่าเกรงขามแผ่ออกมาจากร่างของทั้งสามคน กลิ่นอายความเที่ยงตรงและไม่ยอมอ่อนข้อปะทะกัน อากาศปั่นป่วนจนทำให้เกิดลมแรง
จางเซิ่นร้อง ‘หึ’ ออกมา “หลี่มู่ไป๋ เจ้ามันคนไร้ยางอาย แย่งชิงนักเรียนกับข้าในวันนั้นก็เพียงพอแล้ว วันนี้ยังทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้อีก หรือความรู้ของปราชญ์ที่เจ้าอ่านลงท้องสุนัขไปหมดแล้ว?[1]”
องค์หญิงใหญ่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่มู่ไป๋ทำอะไรจึงทำให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นขุ่นเคืองเช่นนี้
แย่งนักเรียนหรือ ทั้งสองคนแย่งนักเรียนกันหรือ
หลี่มู่ไป๋โต้กลับเสียงดัง “ในฐานะอาจารย์ จะมีปัญหาอะไรกับการช่วยศิษย์ขัดเกลาบทความและบทกวี เห็นชัดว่าตาเฒ่าอย่างเจ้าริษยาความฉลาดหลักแหลมของข้า”
เฉินไท่กล่าว “เจ้าหุบปากไปเลย ตาเฒ่าอย่างข้าทนดูไม่ได้แล้ว”
หลี่มู่ไป๋เหล่มองเขา “คนแซ่จางกับข้าโกรธนั้นยังมีเหตุผล แล้วเจ้าล่ะ เฉินไท่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามาสอด จะไปไหนก็ไป!”
เวลานี้จางเซิ่นดึงหนังสือออกมาจากในอ้อมแขน และพูดงึมงำว่า “ดูเหมือนการแข่งขันอย่างซื่อตรงจะแยกแยะได้ยาก”
เขาฉีกหน้าหนึ่งออกแล้วจุดไฟ
ทันทีที่กระดาษถูกเผาจนหมด เมฆสีเขียวก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ พุ่งไปทางหลี่มู่ไป๋
นั่นคือแมลงปีกแข็งที่มีสีเขียวเข้มทั้งตัว มีปากที่ดุร้ายราวกับฝูงตั๊กแตนที่รวมตัวกันหนาแน่น
“สองสามปีก่อนข้าเดินทางไปทั่วโลก ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย” หลี่มู่ไป๋ไม่ตื่นตระหนกเลย เขาดึงหนังสือออกมาเหมือนกัน ฉีกกระดาษออกมาสองแผ่นแล้วและจุดไฟพร้อมกัน
เมื่อหน้าหนึ่งถูกเผาจนหมด มันก็กลายเป็นภาพมายาเสมือนจริงของกิ้งก่าสีแดง
แก้มของกิ้งก่าสีแดงพองขึ้น และทันใดนั้นก็พ่นเปลวไฟร้อนแรงยาวหลายสิบจั้ง (1 จั้งเท่ากับ 10 ฟุต) ออกมาแผดเผาเมฆสีเขียวบนท้องฟ้าให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ขณะเดียวกัน กระดาษอีกแผ่นก็เผาไหม้เสร็จ แปรสภาพเป็นหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อย ร่างกายเบาราวกับปลาว่ายน้ำ ว่ายไปทางจางเซิ่น
ระหว่างที่เข้าไปใกล้ เปลือกตาของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางก็หนักอึ้ง อาการง่วงนอนเพิ่มขึ้นอย่างยากจะต้านทาน
หญิงสาวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเข้าใกล้จางเซิ่นด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์
ในเวลานี้เฉินไท่ก็เผากระดาษแผ่นหนึ่งในมือ แก่นปราณ[2]สว่างสดใสปรากฏขึ้น และเปล่งแสงสีทองออกมา
“อ๊ะ…”
หลี่มู่ไป๋ถูกแทงข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งตัว และถูกแสงสีทองฟาดจนโซเซ จางเซิ่นเองก็ถูกเผาไหม้ด้วยแก่นปราณเช่นกัน จึงหลุดจากอาการง่วงนอน รีบขับลมปราณที่กำลังปั่นป่วน และสามารถสลายหญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้องนั้นไป
องค์หญิงใหญ่มองฉากนี้อย่างเงียบๆ
ระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหกสามารถเรียนศาสตร์ของระบบอื่นได้ และเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรลงในหนังสือ
สิ่งที่จางเซิ่นใช้เมื่อสักครู่นี้คือวิธีของระบบหมอผี และหญิงสาวบนกระดาษของหลี่มู่ไป๋ก็น่าจะเป็นระบบพ่อมด… แต่ระดับที่เท่าไหร่ นางก็ไม่รู้แน่ชัด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง