หลี่มู่ไป๋มองไปที่ผนังประกาศ นักเรียนมารวมตัวกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าอาจารย์ในสำนักเมื่อได้ยินข่าวก็มาด้วย พวกเขาตบต้นขาด้วยความตื่นเต้น ยกย่องบทกวีนี้ว่าดี เรียบง่ายและสมเหตุสมผล
ใบหูของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่ขยับ จับการสนทนาที่ลมภูเขาส่งมาเป็นระยะๆ
“บทกวีคราวก่อน ‘ใต้หล้านี้มีใครไม่รู้จักข้า’ ตอนนี้ก็ยังมีบทกวีส่งเสริมการเรียนรู้ หรือว่าเส้นทางบทกวีของกลุ่มนักปราชญ์ต้าฟ่งของข้าจะเรืองอำนาจขึ้นอีกครั้ง”
“สองร้อยปีที่ผ่านมา มีผลงานชิ้นเอกด้านบทกวีมีน้อยมาก แต่ตอนนี้กลับออกมาถึงสองบท ในที่สุดปัญญาชนรุ่นเราก็มีหน้าไปเผชิญกับคนรุ่นหลังแล้ว”
“เทียบกับ ‘ใต้หล้านี้มีใครไม่รู้จักข้า’ บทกวีส่งเสริมการเรียนรู้บทนี้ต้องแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางเป็นแน่ คงถูกนำมาตักเตือนเหล่าปัญญาชนบ่อยๆ”
“เหตุใดจึงไม่ได้ลงนาม ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านไหนแต่งหรือ”
‘ไม่ได้ลงนาม…บทกวีบทนี้ต้องแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางเป็นแน่…’ หลี่มู่ไป๋ฉุกคิดขึ้นในใจ และเหลือบมองสหายทั้งสองคนที่คุยกันเบาๆ เขาถอยหลังอย่างใจเย็น และจากไป
จางเซิ่นพบว่าหลี่มู่ไป๋หายตัวไป “พี่ฉุนจิ้งล่ะ”
“เมื่อสักครู่ก็ยังอยู่ตรงนี้…” เฉินไท่มองไปรอบๆ และชี้นิ้วไปทางผนังเตี้ย “อยู่นั่น”
จางเซิ่นมองไปตามเสียง เห็นหลี่มู่ไป๋แยกฝูงนักเรียนออก และถือพู่กันหมึกเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษแผ่นใหญ่
จางเซิ่นกับเฉินไท่ตั้งสมาธิ รูม่านตาของพวกเขาแคบลง มองเห็นได้ไกลถึงร้อยเมตร
ทั้งสองคนเห็นชัดเจนว่า หลี่มู่ไป๋เขียนอักขระตัวเล็กๆ ข้างๆ คำว่า ‘บทกวีส่งเสริมการเรียนรู้’
“ปลายปีเกิงจื่อต้นปีซินโฉ่ว อาจารย์ของข้ามู่ไป๋ส่งเสริมการเรียนรู้ จึงแต่งบทกวีบทนี้จากความรู้สึก”
ความหมายคือ ปลายปีเกิงจื่อต้นปีซินโฉ่ว อาจารย์หลี่มู่ไป๋เตือนให้ข้าปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงเขียนบทกวีบทนี้
‘นี่ก็ถูไถได้เช่นกันหรือ’ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองท่านมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาทันที
“โจรเฒ่าไร้ยางอาย รีบวางพู่กันหมึกลงเลย!”
…
ศาลาด้านหลังสำนัก สร้างขึ้นบนภูเขา ทิศตะวันออกติดกับน้ำตกหลิวเต๋อ ทิศตะวันตกเป็นป่าไผ่ที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี
ไม้ไผ่เป็นของหายากในภาคเหนือ ทั้งเลี้ยงดูยาก และเพาะพันธุ์ยาก ภาพที่มันจะงอกเงยอย่างรวดเร็วในปริมาณมากนั้นสามารถเห็นได้เพียงที่ภาคใต้เท่านั้น
เหล่าอาจารย์ในสำนักปลูกไม้ไผ่ทางภาคใต้ และเพาะพันธุ์อย่างหนัก ใช้เวลาห้าสิบปีถึงเลี้ยงป่าไผ่ที่เขียวชอุ่มแห่งนี้ออกมาได้
นักปราชญ์ชอบไม้ไผ่เป็นพิเศษ และยกย่องความหยิ่งทะนงของมัน พวกเขามักใช้ไม้ไผ่อุปมาคน และอุปมาตัวเอง (เน้นชื่นชมเป็นหลัก)
เจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่มาดูเป็นบางวัน ‘โอ้ ป่าไผ่เขียวชอุ่มเช่นนี้แล้ว ไม้ไผ่ไม่กลัวความหนาวเหน็บ และหยิ่งทะนงในทุกฤดู คนที่พรรณนาไม่ใช่ข้าหรอกหรือ ทุกคนต่างจากไป หลังจากนั้นก็มีแต่ข้าที่อยู่ที่นี่’
ดังนั้นศาลาจึงกลายเป็นสถานที่เก็บตัวของเจ้าสำนัก
ภายในห้องน้ำชาที่กะทัดรัดและเรียบหรู ชายชราที่สวมชุดผ้าป่านนั่งดื่มชากับหญิงสาวในอาภรณ์หรูหรา ยามสวมเกราะหนักอาวุธครบมืออยู่ด้านนอกศาลา
ผมหงอกของชายชราสยาย เผยให้เห็นความยุ่งเหยิงและองอาจเล็กน้อย ร่องแก้มกับรอยย่นระหว่างคิ้วลึกมาก และตอนที่ยิ้ม ตีนกาก็จะมากกว่าสองอย่างแรก
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว ยากจะทำให้ผู้คนคิดว่าชายชราที่แต่งตัวเป็นนักปราชญ์ขงจื๊อท่านนี้จะเป็นเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นลู่
ผู้นำลัทธิขงจื๊อร่วมสมัย
หญิงสาวที่นั่งดื่มชากับเขาข้ามวัยยี่สิบมานานแล้ว แต่ยังมวยผมทรงก้นหอยอย่างเรียบง่าย และปักปิ่นสีทองเปล่งประกาย เห็นชัดว่าเป็นการแต่งกายของหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน
นางสวมชุดกระโปรงงดงามสีขาวแสงจันทร์ ชายกระโปรงยาวลากพื้น
ใบหน้าของนางงดงามไร้ที่ติ เหมือนกับดอกบัวที่ไม่เคยแปดเปื้อน ดวงตากระจ่างใสราวกับกระจกน้ำแข็ง ยากจะปกปิดความเย็นชาและสง่าเลิศล้ำไว้ได้
รูปร่างเพรียวบางหุ่นดี มีส่วนโค้งเว้าที่น่าดึงดูด
“ไม่เจอกันครึ่งปี เส้นสีเงินในผมของเจ้าสำนักเพิ่มขึ้นมากเลยนะเจ้าคะ” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก
“พวกมันคือไหมแห่งปัญญา” เจ้าสำนักดื่มชาพลางหัวเราะ
“วันนี้ข้าขึ้นไปบนภูเขา ได้ยินศิษย์ในสำนักอ่านบทกวีบทหนึ่ง… ‘ทางข้างหน้าไม่กังวลไร้คนรู้ใจ ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน’ ” ดวงตาขององค์หญิงใหญ่ขยับเล็กน้อย ราวกับกระจกน้ำแข็งแตก “ผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ ข้าได้ฟังแล้วมีความสุขมาก ไม่รู้ว่าเป็นผลงานใหม่ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง