ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 39

“บทกวีดี หนิงเยี่ยนมีพรสวรรค์ด้านบทกวีที่หาผู้ใดเปรียบได้ยากจริงๆ” หลี่มู่ไป๋ปรบมือเสียงดัง ‘แปะๆ’

สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ มีทั้งความประหลาดใจเวลาบัณฑิตเห็นบทกวีดีๆ และยังมีความคาดหวังว่าเหล่านักเรียนในสำนักจะตอบสนองอย่างไรหลังจากเห็นบทกวีบทนี้อีก

จางเซิ่นไม่ได้แสดงความคิดเห็น สายตาที่เขามองสวี่ชีอัน มีทั้งความชื่นชมและพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับอีกฝ่ายเป็นบัณฑิตที่เขาฝึกมาจริงๆ

“สำนวนเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง เยาวชนที่มีอุดมการณ์ ต้องขยันหมั่นเพียรเรียนหนังสือ ต้องตื่นนอนตอนฟ้าสาง และเข้านอนตอนเที่ยงคืน…พี่จิ่นเหยียนยังจำวันที่พวกเราร่ำเรียนในสำนักตอนหนุ่มๆ ได้หรือไม่”

เฉินไท่ลิ้มรสบทกวีส่งเสริมการเรียนรู้บทนี้ และรู้สึกเพียงแค่มันลึกซึ้ง จึงขบคิดอยู่นาน

จางเซิ่นชะงัก เขาหวนนึกถึงภาพที่ร่ำเรียนในช่วงครึ่งปีแรก และพูดอย่างหดหู่

“ไม่ได้พูดถึงพวกเราในสมัยนั้นใช่หรือไม่ ตอนข้ายังเด็กครอบครัวข้ายากจน ทุกวันได้กินแค่เพียงหมั่นโถวสองลูก ข้ามักจะท้องร้องด้วยความหิวตอนกลางดึก จึงพยุงตัวไปจุดตะเกียงอ่านหนังสืออย่างหนัก”

หลี่มู่ไป๋ถามเสียงเบา “นี่คือสาเหตุที่เจ้าขโมยไข่ไก่ของข้าแทบทุกวันใช่หรือไม่”

จางเซิ่นพูดอย่างไม่พอใจ “เรื่องของบัณฑิตจะเรียกว่าขโมยได้อย่างไร นั่นเป็นการยืม หลังจากนั้นข้าก็คืนให้เจ้าไม่ใช่หรือ”

หลี่มู่ไป๋โกรธ “ตอนยากจนไข่ไก่หนึ่งฟองมีค่าไม่น้อยกว่าหนึ่งพันตำลึงในตอนนี้เลย”

เฉินไท่กระแอมออกมาทีหนึ่ง ขัดจังหวะการทะเลาะวิวาทของสหายทั้งสองคน และมองไปทางสวี่ซินเหนียน “ฉือจิ้ว หลังจากการสอบรอบฤดูใบไม้ผลิ ไม่ว่าจะอันดับเท่าไหร่ เจ้าล้วนมีคุณสมบัติที่จะเข้ารับราชการ เจ้าคิดเรื่องอนาคตไว้บ้างหรือยัง”

การตัดเข้าสู่ประเด็นหลักกะทันหัน ทำให้ทุกคนอึดอัดเล็กน้อย จางเซิ่นกับหลี่มู่ไป๋ต่างเงียบปาก และวางแผนให้สวี่ฉือจิ้วโดยไม่รู้ตัว

เฉินไท่มองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนที่อยากพูดแต่ก็ลังเล จึงไม่ให้โอกาสพวกเขาพูด “โดยปกติแล้วจะอยู่ที่เมืองหลวงก่อนค่อยปล่อยตัวออกไปนอกเมืองหลวง ซึ่งเป็นเส้นทางเลื่อนขั้นในแวดวงขุนนาง แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นขุนนาง แต่ก็พอมีหน้ามีตาในแวดวงขุนนางในราชสำนักต้าฟ่ง จึงวางแผนให้เจ้าอยู่เมืองหลวงได้”

จางเซิ่นที่เป็นอาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใสทันที “เช่นนั้นดีมาก ฉือจิ้ว ยังไม่รีบขอบคุณพี่เฉินอีก”

“ไม่จำเป็นๆ หากต้องการตอบแทนจริงๆ ข้าก็มีความคิดหนึ่ง…” เฉินไท่ยิ้ม

หลังจากฟังคำพูดของสหายเก่า จางเซิ่นกับหลี่มู่ไป๋ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

‘ไม่มีใครบอกว่าจะตอบแทนเจ้าเลย’

เฉินไท่ยิ้มแย้มแจ่มใส “หนิงเยี่ยน เจ้าคือหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน หากอยากเป็นผู้ที่ควรค่าแก่การเคารพ เจ้ายังต้องขัดเกลาอีก ตาเฒ่าสองคนนี้หยาบกระด้างนัก เจ้ามาเป็นศิษย์ของข้าเถอะ”

“ไสหัวไปเลย โจรเฒ่าไร้ยางอาย” หลี่มู่ไป๋กับจางเซิ่นโกรธทันที

สวี่ชีอันฉวยโอกาสนี้แล้วพูดทันที “ท่านทั้งสอง อันที่จริงหนิงเยี่ยนมีคำถามอยากขอคำชี้แนะ”

วันนี้เขามาที่สำนักอวิ๋นลู่ก็เพื่อของฟรี

“ข้าน้อยติดอยู่ระดับหลอมจิตมานานนับปี เพราะไม่มีผลงาน ครอบครัวก็ยากจน สุดท้ายแล้วจึงไม่มีทรัพยากรและโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณ” สวี่ชีอันโค้งคำนับเก้าสิบองศา

“โปรดช่วยข้าเปิดประตูสวรรค์ด้วยเถิด”

นี่คือเป้าหมายอันดับสองที่เขามาที่สำนัก แม้ว่าอาจจะต้องขายอาวุธเวทมนตร์ที่ซ่งชิงมอบให้ เพื่อแลกกับตำลึงเงินที่จะเปิดประตูสวรรค์

แต่แบบนั้นไม่มีความสุขเลยสักนิด สวี่ชีอันเป็นคนที่แสวงหาความสุข

จางเซิ่นส่ายหน้าและหัวเราะ “เจ้านี่พยายามหาทุกคนที่ช่วยได้จริงๆ เส้นทางที่พวกเราฝึกคือเส้นทางของนักปราชญ์จะช่วยเจ้าเปิดประตูสวรรค์ได้อย่างไร พลังปราณของทหารหมุนเวียนภายในร่างกายอย่างไร เคลื่อนในเส้นลมปราณอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่มีแต่ทหารอย่างพวกเจ้าเท่านั้นที่รู้”

ความแตกต่างระหว่างระบบมีมากกว่าที่ข้าจินตนาการไว้…สวี่ชีอันผิดหวังนิดหน่อย และถามอย่างไม่ยอม “ผู้น้อยไม่เข้าใจ ในเมื่อการเปิดประตูสวรรค์จำเป็นต้องให้ยอดฝีมือที่สูงกว่าระดับหลอมวิญญาณช่วย แล้วคนแรกจะเปิดประตูสวรรค์ได้อย่างไร”

“เจ้าคิดว่าเส้นทางแห่งวิทยายุทธริเริ่มโดยใครบางคน และสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืนเช่นนั้นหรือ” หลี่มู่ไป๋ถือถ้วยชา และถามเขากลับก่อนที่จะดื่ม

สวี่ชีอันส่ายหน้า เพื่อบ่งบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้

“เป็นการก่อตั้งโดยคนจากรุ่นสู่รุ่น” หลี่มู่ไป๋พูดอย่างช้าๆ “บางทีเริ่มแรก ระดับหลอมจิตอาจจะเป็นระดับสูงสุด โดยมีคนบังเอิญเปิดประตูสวรรค์ได้ ดังนั้นระดับหลอมปราณจึงกลายเป็นระดับสูงสุดของวิทยายุทธ หลายปีต่อมาถึงก่อตัวเป็นระบบวิทยายุทธที่สมบูรณ์”

“เป็นเรื่องบังเอิญหรือ” สวี่ชีอันจับใจความสำคัญ

“การให้ยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณช่วยเปิดประตูสวรรค์เป็นวิธีที่ปลอดภัยและสะดวกที่สุด แต่ก็ไม่ใช่วิธีเดียว” ครั้งนี้เฉินไท่รับช่วงต่อ เขายิ้มและพูดว่า

“เมื่อทารกเกิดมาจะมีพลังปราณแต่กำเนิด และเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ประตูสวรรค์จะปิดลง พลังปราณแต่กำเนิดจะถูกเก็บไว้ในร่างกาย หากอยากควบคุมพลังปราณนี้อีกครั้ง ก็ต้องเปิดประตูสวรรค์ที่ปิดไปอีกครั้ง”

สวี่ชีอันพยักหน้า ผู้คนกินอาหารทุกชนิด ก่อให้เกิดสิ่งเจือปนขึ้น มันจึงไปกีดขวางประตูสวรรค์ และกีดขวางการทำงานของพลังปราณ

ความรู้เชิงทฤษฎีเหล่านี้อารองเคยสอนเขามาก่อน

“วิธีก็มีหลายวิธี นอกจากการเปิดประตูสวรรค์ที่ได้ยินมาบ่อยๆ แล้ว ยังมีอีกสองวิธี วิธีแรกคือวิธีฝึกลมหายใจ”

“วิธีฝึกลมหายใจต้องฝึกฝนตั้งแต่เด็ก และอาบน้ำยาทุกวัน เพื่อชะล้างเส้นลมปราณและเชื่อมประตูสวรรค์ หลายสิบปีต่อมาก็ใช้เงินจำนวนมาก แต่วิธีนี้ถูกลบออกไปแล้ว”

“วิธีที่สองคือการยืมพลังภายนอกเปิดประตูสวรรค์ เป็นวิธีโง่เขลาที่เหล่าผู้อาวุโสใช้ในตอนแรก ตัวอย่างเช่นการกลืนยาปีศาจ”

“ยาปีศาจเป็นการควบแน่นแก่นแท้วิถีของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ภายในบรรจุพลังงานมหาศาลเอาไว้ เมื่อกลืนยาปีศาจลงไป พลังงานอันมหาศาลจะบีบบังคับให้เปิดเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด แต่เพราะไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่มีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก”

เป็นเช่นนี้เอง…แม้ว่าจะไม่มีของฟรีมาถึงมือ แต่ก็ถือว่าได้ความรู้ฟรีๆ ไม่เสียหายอะไร…สวี่ชีอันรู้สึกขอบคุณ “ขอบพระคุณพวกท่านที่สั่งสอน”

‘ดูสิ ทั้งอ่อนน้อมถ่อมตนทั้งมีมารยาท การพูดจายังน่าฟังอีก’ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามยิ้มและลูบเครา พวกเขาพึงพอใจสวี่ชีอันมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง