ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 423

บทที่ 423 อาลักษณ์ที่หายไป

“เจ้าจะไปทำอะไรที่คลังเอกสารของกรมปกครอง” สมุหราชเลขาธิการหวางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“หาใครคนหนึ่ง”

สวี่ชีอันเป่าลมเหนือน้ำชาแล้วดื่มลงไปพลางเอ่ยอย่างสบายๆ “วางใจเถิด ข้าไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้ท่านหรอก ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการมิต้องเป็นกังวลไป”

สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า อยู่ในคลังเอกสารจะไปก่อเรื่องอะไรได้ กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือเผาสำนวนคดี แต่ทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ต่อสวี่ชีอันเลยสักนิด

เขาเพียงอยากรู้ว่าสวี่ชีอันคิดจะทำอะไร

“ข้ากำลังสืบคดี” สวี่ชีอันกล่าว

‘สืบคดี? ตอนนี้เขาไม่มีตำแหน่งขุนนางแล้ว แล้วมีคดีใดที่ต้องสืบต้องหาอีก’…แววตาของสมุหราชเลขาธิการหวางฉายความสงสัยและแปลกใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนิ่งๆ

“ข้ารู้ได้หรือไม่”

“แน่นอนขอรับ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการอยู่บ้าง” สวี่ชีอันยิ้ม

สมุหราชเลขาธิการหวางนิ่งไป ท่านั่งที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์ในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรงขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ราวกับเข้าสู่สถานะว่าราชการ

จากนั้นเขาก็เห็นสวี่ชีอันหยิบจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางมันไว้เบาๆ บนฝ่ามือ จากนั้นจดหมายลับก็ลอยหล่นลงมาตรงหน้าเขา

สมุหราชเลขาธิการหวังเปิดจดหมายอ่านด้วยจิตใจงุนงงสงสัย เขาชะงักนิ่งไป แล้วขมวดคิ้วมุ่นต่อราวกับกำลังนึกอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็เหลือเพียงความสับสนเท่านั้น

สมุหราชเลขาธิการหวางวางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วมองสวี่ชีอัน “ข้าจำไม่ได้แล้ว…”

อย่างที่คิด! สวี่ชีอันไตร่ตรองดูพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นซูหังที่อยู่ในจดหมายผู้นี้ ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการคุ้นๆ บ้างหรือไม่”

“ข้าก็ไม่รู้สึกคุ้นอะไรกับคนผู้นี้ด้วย”

สมุหราชเลขาธิการหวางส่ายหน้า เมื่อเอ่ยจบก็ขมวดคิ้วพักหนึ่ง จากนั้นก็มองสวี่ชีอัน น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมเล็กน้อย “คุณชายสวี่ เจ้ากำลังสืบคดีอะไรอยู่ เนื้อหาในจดหมายลับนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

เขาจำไม่ได้เลยว่าเมื่อปีนั้นตนเคยร่วมงานกับเฉากั๋วกงด้วย จึงยังรู้สึกสงสัยในเนื้อหาของจดหมายอยู่

สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากชั่งน้ำหนักในใจแล้วเขาก็ตัดสินใจเปิดเผยความลับเล็กน้อย เขาพยักหน้าเอ่ย

“เนื้อหาในจดหมายถูกต้องจริงๆ ขอรับ ส่วนที่ว่าทำไมใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการถึงได้ลืมเลือน นั่นก็เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโหรและความลับของสวรรค์ที่ถูกซุกซ่อนไว้ ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องจึงสูญเสียความทรงจำเรื่องนี้ไป”

‘เกี่ยวข้องกับโหร ความลับของสวรรค์ก็ถูกลบไป’ …สีหน้าของสมุหราชเลขาธิการหวางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารับรู้ได้ว่าสถานการณ์นี้ร้ายแรงเพียงใด ร่างกายจึงค่อยๆ โน้มไปข้างหน้า

“คุณชายสวี่พูดให้ชัดกว่านี้ได้หรือไม่”

สวี่ชีอันเล่าเรื่องคดีเก่าของซูหังออกมาแทบจะในทันที เพียงกล่าวว่าตนได้รับปากเพื่อนคนหนึ่งไว้ว่าจะตามหาความจริงที่บิดาของนางถูกตัดหัวในตอนนั้นให้แทน และได้ค้นพบจดหมายลับของเฉากั๋วกงโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อพิจารณาจากลายมือที่ถูกลบไปและประสบการณ์ในการตัดสินคดีในอดีตแล้ว คดีนี้คาดว่าคงมีผู้เกี่ยวข้องอยู่มากมายจนถึงขั้นต้องอาศัยโหรระดับสูงมาช่วยลบความลับของสวรรค์

หลังจากสมุหราชเลขาธิการหวางฟังจบก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ไร้วาจาจะกล่าวเป็นเวลานาน

“คนเดียวในสำนักโหราจารย์ที่มีความสามารถซ่อนเร้นความลับของสวรรค์ได้ มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้น” สมุหราชเลขาธิการหวางนวดหว่างคิ้ว เขาเอ่ยขึ้นราวกับกำลังถาม แต่ก็เหมือนกับถามตัวเอง “จุดประสงค์ที่ท่านโหราจารย์ทำเช่นนี้คืออะไรกัน”

ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร นี่ก็กำลังสืบอยู่ไม่ใช่หรือ…สวี่ชีอันส่ายหน้า

“ข้าจะให้จดหมายลายมือแก่เจ้าฉบับหนึ่ง เจ้าใช้มันเข้าออกกรมปกครองได้เสมอ ต่อไปหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกมาได้” สมุหราชเลขาธิการหวางจดจ้องหน้าสวี่ชีอันแล้วเอ่ย

“แต่ข้ามีข้อแม้อย่างหนึ่ง หากคุณชายสวี่สืบความจริงออกมาได้ ก็หวังว่าจะบอกข้าด้วย อืม ข้าก็จะสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ เช่นกัน”

ในปีนั้นราชสำนักเกิดเรื่องใหญ่และเรื่องนั้นก็ถูกปิดกั้นโดยความลับของสวรรค์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ล้วนแต่ไร้ความทรงจำและลืมมันไปแล้ว

เรื่องที่สามารถทำให้ท่านโหราจารย์ยื่นมือมาปกปิดความลับของสวรรค์ได้ ย่อมเป็นเรื่องใหญ่มาก

สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพ

หลังจากส่งสวี่ชีอันจากไปแล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางก็เรียกผู้ดูแลบ้านเข้ามาเอ่ยด้วน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เอ้อร์หลางสกุลสวี่ยังอยู่ในจวนหรือไม่”

เมื่อวานนี้เขาบอกกับหวางซือมู่ว่าต้องการให้สวี่เอ้อร์หลางอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันที่บ้าน

“ขอรับ บ่าวจะไปเรียกเขาเข้ามาขอรับ”

ผู้ดูแลบ้านเข้าใจความหมายของนายท่านทันที เขาโค้งตัวแล้วถอยออกไป

ครู่หนึ่ง สวี่เอ้อร์หลางผู้ปากแดงฟันขาวและสวมชุดสีขาวก็ก้าวพ้นธรณีประตูเข้ามา จากนั้นจึงโค้งคำนับด้วยท่าทางไม่ต่ำต้อยทว่าก็ไม่เย่อหยิ่ง “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ”

สมุหราชเลขาธิการหวางกำลังยกพู่กันขึ้นเพื่อเขียนลงบนกระดาษเซวียนจื่อที่แผ่กางไว้ เขาเอ่ยพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา “ความตั้งใจของเอ้อร์หลางคือสิ่งใด”

คำเรียกว่า ‘เอ้อร์หลาง’ นี้ช่างเรียกได้เป็นธรรมชาตินัก ไม่มีความเขินอายใดๆ สักนิด

“หือ?”

สมุหราชเลขาธิการหวางเงยหน้าโดยไม่รอคำตอบ และพบว่าสวี่เอ้อร์หลางกำลังจดจ้องตนเองเขม็ง…

มุมปากของสมุหราชเลขาธิการหวางกระตุกขึ้น “ความตั้งใจดี”

เขาวางพู่กันลงแล้วมองตัวอักษรบนกระดาษแล้วเอ่ยยิ้มๆ “หากไม่ใช่เพราะพี่ชายของเจ้าลงมืออย่างชอบธรรม ข้าคงจะลาออกจากราชการแล้ว ในแวดวงขุนนางนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้จักเดินหน้าและถอยออกมา

ไม่ว่าเจ้าจะเก่งกาจชาญฉลาดสักแค่ไหน หรือมีพรรคพวกมากเท่าไหร่ แต่ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็สามารถตัดสินเป็นตายของเจ้าได้ด้วยคำพูดเดียว สมุหราชเลขาธิการคนก่อนสามารถใช้วัยชราได้อย่างสุขสงบก็เพราะเขาเรียนรู้คำสั่งสอนมาจากคนรุ่นก่อน”

‘สมุหราชเลขาธิการคนก่อน? พวกขยะที่รู้จักแต่การยักยอกและเยินยอจักรพรรดิน่ะหรือ’…สวี่ซินเหนียนคิดในใจ

สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวต่อ “สองร้อยปีก่อนในการต่อสู้ชิงแคว้น สำนักอวิ๋นลู่ได้ถอนตัวออกจากราชสำนัก ปราชญ์เอกได้สร้างจารึกขึ้นในสำนักศึกษาและเขียนถึงการตอบแทนความเมตตาของจักรพรรดิด้วยการตายอย่างชอบธรรม ทั้งหมดนี้ได้แสดงให้ศิษย์รุ่นหลังเห็นอยู่เรื่องหนึ่ง จักรพรรดิก็คือจักรพรรดิ ขุนนางก็คือขุนนาง ต้องรักษาระดับขั้นนี้ไว้ เจ้าจึงจะสามารถก้าวไปสู่แนวหน้าในราชสำนักได้”

สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “หากข้าไม่ทำเช่นนั้นเล่า”

สมุหราชเลขาธิการหวางหัวเราะเริงร่า “ไม่ทำ แล้วเจ้ามาเป็นขุนนางทำไมกัน”

สวี่เอ้อร์หลางคำนับและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

เขาเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์และเข้าใจคำพูดของสมุหราชเลขาธิการหวางได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใดต่างก็มีขุนนางทรงอำนาจนับไม่ถ้วน แต่หากจักรพรรดิอยากจะจัดการกับเขา แม้ว่าในมือจะมีอำนาจเท่าใด แต่จุดจบสุดท้ายก็คือการออกจากราชการอยู่ดี

สมุหราชเลขาธิการหวางพลันถอนหายใจออกมา “บุคลิกนิสัยของพี่ใหญ่เจ้านั้นทำให้คนเลื่อมใสจริงๆ แต่เขาไม่เหมาะกับราชสำนัก ดังนั้นอย่าเรียนรู้จากเขาเลย”

‘ช่วงนี้พี่ใหญ่มักจะมาขอคำแนะนำจากข้า แล้วข้าจะไปเรียนรู้จากเขาทำไม’ สวี่เอ้อร์หลางเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งแล้วกล่าว “ข้าทราบแล้วขอรับ”

สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้า “ตอนเย็นอยู่กินข้าวด้วยกันสิ”

ณ กรมปกครอง คลังเอกสาร

สวี่ชีอันที่เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เป็นสวี่ซินเหนียนก็ได้รายชื่อของบัณฑิตขั้นสูงที่เข้ามาในปีหยวนจิ่งที่สิบ โดยมีเจ้าพนักงานคอยช่วยเหลือ

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ จอหงวนในปีหยวนจิ่งที่สิบ กลับเป็นสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน

ปั้งเหยี่ยน[1]ชื่อ หลู่ว์อัน

ทั่นฮวา[2]เว้นว่าง ไม่มีนาม

เจอแล้ว…สวี่ชีอันจดจ้องพื้นที่เว้นว่างอยู่นานโดยไม่พูดอะไร

อาลักษณ์ที่ถูกลบชื่อออกผู้นั้นคือทั่นฮวาในปีหยวนจิ่งที่สิบและเป็นบัณฑิตขั้นสูง เขาเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงถูกปิดความลับของสวรรค์ คนคนนี้ยังอยู่หรือตายไปแล้ว? ในเมื่อเข้าสู่ราชสำนักเป็นขุนนาง เช่นนั้นก็ไม่ใช่ท่านโหราจารย์รุ่นแรก

มีเพียงท่านโหราจารย์รุ่นแรกเท่านั้นที่ทำได้ แต่ทำไมท่านโหราจารย์ต้องทำแบบนี้ด้วย อาลักษณ์ไร้นามและซูหังมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ชื่อของซูหังไม่ได้ถูกลบออกไป นั่นแสดงว่าเขาไม่ใช่อาลักษณ์ผู้นั้น แต่มันต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน

จากเบาะแสที่มีอยู่ ทำให้เขาตั้งสมมติฐานคร่าวๆ ได้ว่า

ราชสำนักในปีนั้นมีพรรคอยู่พรรคหนึ่ง ซูหังเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของพรรคนี้ ส่วนอาลักษณ์ที่ถูกลบชื่อทิ้งผู้นั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นหัวหน้าของพรรค

พรรคนี้แข็งแกร่งมาก จึงถูกฝ่ายต่างๆ รุมโจมตี สุดท้ายก็จบลงด้วยความหดหู่ ชะตากรรมของซูหังคือเครื่องพิสูจน์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง