บทที่ 422 ขอค่าตอบแทน
ทันใดนั้น สวี่ชีอันคล้ายจะกลับไปยังครั้งแรกที่ได้พบกับหลินอัน ตอนนั้นนางก็เหมือนนกขมิ้นที่สูงส่งเช่นนี้ สวยงามทว่าหยิ่งยโส
นี่เป็นท่าทีที่นางใช้เมื่อเจอคนนอก แต่ต่อมานางก็เริ่มพูดเจื้อยแจ้วและแสดงด้านที่เรียบง่ายมีชีวิตชีวาออกมา เห็นอยู่ว่านางเป็นเลิศในทุกด้าน แต่กลับเหมือนแม่ไก่ตัวน้อยที่สู้เป็น
ราวกับองค์หญิงได้ถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งออกไป แล้วเผยให้เห็นเด็กสาวที่อยู่ด้านใน
หลินอันยังคงเป็นหลินอันไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ข้านั้นเป็นที่โปรดปราน…สวี่ชีอันเลียนแบบเสียงของสวี่เอ้อร์หลาง เขาโค้งคำนับและพูดว่า
“กระหม่อมได้รับคำไหว้วานจากพี่ใหญ่ให้มาเข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
หลินอันยังคงสงวนท่าทีสูงส่งเย็นชาเอาไว้ นัยน์ตาดอกท้อที่แสดงอารมณ์หลายอย่างหรี่ลง น้ำเสียงโอนอ่อนอย่างไม่รู้ตัว “เขา เขาไม่มาเองหรือ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “ถึงพระองค์จะตรัสเช่นนี้ แต่พี่ใหญ่เขาจะกล้ามาพบพระพักตร์ได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ แค่เขาก้าวเข้ามาในวังหรือในเขตพระราชฐาน ฝ่าบาทก็สามารถตัดหัวเขาได้แล้ว”
‘ต่อให้ไม่มาพบหน้า แล้วทำไมไม่ยอมตอบจดหมายสักที…’ หลินอันพยักหน้าแผ่วเบาแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “พี่ใหญ่ของเจ้า ช่วงนี้สบายดีหรือ”
ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ แววตาของนางก็เริ่มจดจ่อและมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา นี่ไม่ใช่การทักทายตามมารยาทแต่อย่างใด ทว่าเป็นความห่วงใยต่อสถานการณ์ในช่วงนี้ของสวี่ชีอันจริงๆ
หลินอันเป็นเด็กสาวผู้เปี่ยมอารมณ์ เมื่อเจ้าเล่นสนุกกับนาง นางก็จะหัวเราะร่าให้ หากเจ้าหยอกล้อกับนาง นางก็จะแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ ซึ่งต่างจากฮว๋ายชิ่งที่มีสติปัญญาสูงเกินไปจนเย็นชา
เพราะหากเจ้าหยอกล้อนาง ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้าเท่านั้น
ดังนั้น สวี่ชีอันจึงนึกอยากจะรังแกนางขึ้นมา จึงเอ่ยหยอกไปว่า “พี่ใหญ่น่ะหรือ ช่วงนี้สบายดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ แต่ละวันนอกจากฝึกยุทธ์แล้วก็ออกไปเที่ยวเล่นทั่วทุกแห่ง ไม่นานมานี้ก็เพิ่งไปเจี้ยนโจวมารอบหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี…”
หลินอันพยักหน้าอย่างสงวนท่าที นางเม้มปากเหมือนเด็กสาวตัวน้อยที่ไม่พอใจแล้วเอ่ยหยั่งเชิง “เขา…หลายวันนี้เขาได้พูดถึงการต่อสู้ในราชสำนักหรือไม่ อืม จะปวดหัวเพราะเรื่องนี้หรือไม่”
นางยังอยากถามต่ออีกว่าเขาได้ไปขอร้องเว่ยเยวียนหรือไม่
แต่เมื่อพิจารณาว่าสวี่เอ้อร์หลางทำงานอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินทั้งวัน เขาก็อาจไม่รู้เรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตาม หากสวี่ชีอันนึกถึงคำขอของนางจริงๆ ก็จะต้องมาสอบถามแล้วคิดเรื่องกลยุทธ์ต่อไปแน่นอน และสวี่เอ้อร์หลางที่เป็นขุนนางในราชสำนักก็จะต้องเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เขาจะมาสอบถามด้วย
เมื่อเห็นท่าทางคาดหวังของนาง สวี่ชีอันก็ส่ายหน้า “ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่ใช่ฆ้องเงินแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจเรื่องในราชสำนักแล้ว ว่าแต่เหตุใดจู่ๆ พระองค์จึงทรงตรัสถามหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ขะ ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้น”
หลินอันฝืนยิ้มออกมา นางสัมผัสได้ถึงความไม่จริงจังของผู้ชายแล้ว ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความห่างเหินและความเฉยเมยด้วย ในใจจึงรู้สึกเศร้าสร้อยและหดหู่ขึ้นมา
นางจำได้ว่าสวี่ชีอันเคยกล่าวว่าจะเป็นวัวและม้าให้นางทั้งชีวิต แม้คำพูดพวกนั้นจะเป็นเพียงการล้อเล่น แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาว่าให้ความสำคัญกับหลินอันในตอนนั้นกลับไม่ได้ลดลงเลย
ผู้ชายที่รักวางเจ้าไว้ในตำแหน่งสำคัญในใจ นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจและมีความสุขมากๆ
แต่แล้วจู่ๆ กลับพบว่าคำพูดที่ผู้ชายคนนั้นเอ่ยและเรื่องที่เขาคนนั้นเคยทำ อาจเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงไร้สาระ ตอนนี้เขาไม่สนใจตนอีกแล้ว
จมูกรู้สึกแสบร้อน น้ำตาพาลจะไหลลงมาให้ใจ หลินอันปวดใจมาก นางพยายามฝืนเอ่ย “ข้าเหนื่อยแล้ว หากใต้เท้าสวี่ไม่มีเรื่องอื่น…”
ก่อนที่จะพูดจบ นางข้าหลวงก็ก้าวเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัด “องค์รัชทายาทเสด็จมาเพคะ”
หลินอันรีบก้มหน้าเก็บความรู้สึก เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มของนางก็ไร้ความโศกเศร้าแล้ว นางรีบกล่าวว่า “รีบเชิญเสด็จพี่รัชทายาทเข้ามาเร็ว”
ทำไมองค์รัชทายาทถึงมาได้ล่ะ ถึงตอนนั้นแล้วอย่ามาไล่ข้านะ แบบนั้นจบเห่แน่ ยายตัวร้ายเกลียดข้าตายเลย…สวี่ชีอันรู้สึกอยากก่นด่า
องค์รัชทายาทผู้แต่งกายด้วยฉลองพระองค์เดินเข้ามา เขาสังเกตเห็นสวี่ชีอันเป็นอันดับแรก ไม่ใช่หลินอัน เช่นเดียวกันกับผู้หญิงสวยๆ ที่มักจะมองเห็นคนเพศเดียวกันที่สวยยิ่งกว่าตนเองเป็นอย่างแรก
ซึ่งในตอนนี้ องค์รัชทายาทก็กำลังรู้สึกเช่นนั้น
แม้ว่าเขาจะเป็นรัชทายาทผู้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง อีกทั้งสายเลือดก็ยังเป็นหนึ่งและมีผิวพรรณงามเด่น แต่เมื่อเทียบกับซู่จี๋ซื่อผู้นี้แล้ว เขาดูจะด้อยกว่านัก
โดยเฉพาะวันนี้ที่เขาสวมชุดสีฟ้าคราม จึงดูสูงสุดเย่อหยิ่งไม่แพ้ตนเองเลย ทว่าบุคลิกท่าทีนั้นเหนือกว่าเขามากโข
“ใต้เท้าสวี่ก็อยู่ด้วยหรือ”
องค์รัชทายาทแย้มยิ้มบางเบา เมื่อหันมาเขาก็สลัดความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ นั่นทิ้งไป เขาเพียงแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่เห็นจำได้เลยน้องสาวร่วมอุทรของตนรู้จักมักจี่กับสวี่ซินเหนียนด้วย
พอดีเลย เขาเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน ข้าก็ลากเขาเข้ามาในแผนก่อน ถึงเวลานั้นก็ดูซิว่าสวี่ชีอันจะยังไม่เข้าร่วมกับข้าได้อีกหรือไม่
องค์รัชทายาทนั่งลงแล้วเริ่มสนทนากับสวี่ซินเหนียนอย่างกระตือรือร้น
หลังจากสนทนาเสร็จเรียบร้อย องค์รัชทายาทก็เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงเรื่องในราชสำนักอย่างไม่ตั้งใจ เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า
“ถูกตบตาเสียได้ เดิมคิดว่าครั้งนี้พรรคหวางจะเจ็บหนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะยังกลับลำได้หลังจากจบเรื่องอีก หยวนสยงถูกลดขั้นไปเป็นฝ่ายตรวจการขวา รองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้าก็ล้มป่วยจนนอนติดเตียง…”
เขาเปิดหัวข้อแล้วหันไปมองสวี่ชีอัน คาดหวังว่าเขาจะรับช่วงต่อ
การชอบชี้แนะยุทธภพและวิจารณ์ราชสำนักนั้นเป็นโรคทั่วไปของขุนนางหนุ่ม โดยเฉพาะบัณฑิตขั้นสูงหน้าใหม่ที่เพิ่งแตกหน่อเช่นนี้
สวี่ชีอันยิ้มเรียบๆ แล้วเล่นตาม “เรื่องการต่อสู้ในราชสำนักนั้นมีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หลินอันนั่งฟังอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้นางอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว แต่ที่นี่คือตำหนักเส้าอิน ในฐานะที่ตนเป็นเจ้าของ นางก็ต้องนั่งอยู่ด้วย การจากไปแล้วทิ้ง ‘แขก’ ไว้ถือเป็นเรื่องเสียมารยาท
‘ดูท่าว่าคงจะยังระแวงอยู่’…แววตาขององค์รัชทายาทเป็นประกาย เขาพูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมอีก
“ข้าได้ยินมาว่าสาเหตุที่พรรคหวางสามารถรวมขุนนางและผ่านไปได้อย่างราบรื่นก็เพราะความดีความชอบของใต้เท้าสวี่นี่นา”
ยายตัวร้ายหันหน้ามาอย่างรวดเร็วแล้วจ้องสวี่ชีอันเขม็ง
องค์รัชทายาทสมกับเป็นคนถือไพ่ใบใหญ่ที่สุดจริงๆ…สวี่ชีอันชำเลืองมองหลินอันแล้วเอ่ยตอบนิ่งๆ “มิใช่ผลงานของกระหม่อมหรอกพ่ะย่ะค่ะ เป็นพี่ใหญ่ของกระหม่อมต่างหาก”
เป็นอย่างที่คิด เมื่อหลินอันได้ยินคำพูดของเขา จังหวะหายใจพลันรวดเร็วขึ้นมา “ใต้เท้าสวี่หรือ เจ้าว่าอะไรนะ อะไรคือผลงานของพี่ชายเจ้า การต่อสู้ในราชสำนักก่อนหน้านี้ สวี่…สวี่หนิงเยี่ยนก็เข้าร่วมด้วยหรือ”
องค์รัชทายาทรับช่วงต่อ เขากล่าวว่า
“หลินอัน เจ้าคงยังไม่รู้ว่าก่อนที่เฉากั๋วกงจะสิ้นชีพได้ทิ้งจดหมายลับไว้หนึ่งฉบับ ในนั้นเขียนไว้ว่าชีวิตของเขาได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเอาไว้ เช่น การยักยอกทรัพย์และเครื่องบรรณาการ มีพวกใดที่ร่วมมือกับเขาและใครเข้าร่วมบ้าง ล้วนแต่เขียนไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่รู้ว่าสวี่ชีอันไปได้หลักฐานนี้มาจากไหน เพราะมีหลักฐานพวกนี้ พรรคหวางจึงสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ สิ่งที่พี่พูดนั้นเป็นความลับ หลินอันห้ามเอาไปเผยแพร่เด็ดขาดล่ะ”
หลินอันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แววตาของนางจดจ้องสวี่ชีอันเขม็ง นางกะพริบตา น้ำเสียงร้อนรน
“เหตุใดเจ้าสุนัข…เหตุใดสวี่หนิงเยี่ยนถึงต้องช่วยพรรคหวางด้วยเล่า”
นางสัมผัสได้ว่าหัวใจของตนเต้นรัวเร็วมาก เหมือนกับว่าจิตใจกำลังโหยหาในบางสิ่ง แต่กลับกลัวจะเห็นผลลัพธ์ ทั้งวิตกกังวลและรอคอย
ฮ่า หัวใจของหลินอันเต้นเร็วขนาดนี้เลยหรือ ถ้าข้าบอกว่า ‘พี่ใหญ่ทำไปเพราะต้องการเป็นพันธมิตรกับสมุหราชเลขาธิการหวาง’ นางจะร้องไห้ออกมาเลยหรือไม่นะ
สวี่ชีอันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่ใหญ่บอกว่า เพราะองค์หญิงหลินอันส่งคนมาบอกแล้ว เรื่องใดที่องค์หญิงหลินอันประสงค์ เขาจะพยายามทำให้สำเร็จสุดความสามารถ ต่อให้ตนไม่ใช่ฆ้องเงินและมีความสามารถจำกัดก็ตาม”
‘เพื่อข้า ทำเพื่อข้า…’ หลินอันพึมพำกับตัวเอง
นางราวกับคนหลงทางที่พลัดหลงอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าแล้วมองเห็นแสงไฟ จิตใจจึงพลันสงบลง ดวงตาโค้งพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นมา
ความสุขที่ออกมาจากใจมิอาจซ่อนเร้น
องค์รัชทายาทชำเลืองมองน้องสาวร่วมอุทรที่สว่างสดใสขึ้นมาในทันใดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นก็หันไปเอ่ยเชิญ “วันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงนอกวัง ใต้เท้าสวี่จะให้เกียรติมาร่วมงานหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง