บทที่ 425 ร่ายรำ
สัญญาไถ่ตัวมูลค่าแปดพันตำลึง…คณิกาหมิงเยี่ยนสายตาคู่สวยแข็งทื่อ ความรู้สึกผสมกันไปหมด มีทั้งความชื่นใจที่ห้ามไม่อยู่ ความดีอกดีใจ ความอิจฉา
อารมณ์ของเหล่าคณิกาก็ซับซ้อนเช่นเดียวกัน แปดพันตำลึงเชียว เพียงพอที่จะซื้อคฤหาสน์หรูหราในย่านเศรษฐีในเมืองหลวงได้เลย สำนักสังคีตมีฉายาว่าถ้ำขายทองคำ แต่ตัวอย่างของการใช้แปดพันตำลึงเพื่อซื้อตัวนางบำเรอที่มีชื่อเสียงนั้น หาได้ยากจริงๆ
เหล่าเจ้าหน้าที่คงไม่กล้า พ่อค้าเศรษฐีหรือก็รักในเงินทอง
แต่ฆ้องเงินสวี่ทำมันได้ เขาวางมันอย่างระวัง สิ่งที่วางลงคือเงินแปดพันตำลึง
สิ่งที่ทำให้เหล่าคณิการู้สึกซาบซึ้งใจมากที่สุดก็คือ ช่วงเวลาที่ฝูเซียงป่วยหนักและเหลือเวลาไม่มากแล้ว เงินจำนวนแปดพันตำลึงนี้สามารถซื้อได้เพียงความปรารถนาของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น
ในใต้หล้าจะมีชายคนใดที่สามารถทำเช่นนี้เพื่อพวกนางบ้าง?
ฆ้องเงินสวี่แตกต่างจากชายคนอื่นๆ…เหล่าคณิกาต่างจิตใจอ่อนระทวย มองชายหนุ่มสวมชุดขงจื๊ออย่างคลั่งไคล้
“สวี่หลาง…”
เมื่อมองไปที่สัญญาไถ่ตัวที่อยู่บนโต๊ะ ฝูเซียงก็ยิ้มออกมา ยิ้มจนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
เดิมทีเป็นเพราะติดหนี้เจ้า…สวี่ชีอันนั่งลงข้างเตียง และถอนหายใจ
ฝูเซียงมองเขาอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ สะอึกสะอื้นกล่าว “ท่านไม่ต้องมาหรอก ข้า สภาพตอนนี้ของข้าดูแย่นัก”
สวี่ชีอันเอื้อมมือไปลูบแก้มของนาง ดวงตาซับซ้อนเล็กน้อย
“ข้ายังมีความปรารถนาอีกอย่างหนึ่ง”
หน้าผากของฝูเซียงขยับ มองไปทางเหล่าคณิกา กล่าว “ข้าอยากร่ายรำเพื่อสวี่หลางเป็นครั้งสุดท้าย และขอร้องให้เหล่าพี่น้องแสดงร่วมกัน”
เหล่าคณิกาพยักหน้า
ฝูเซียงเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็มองไปยังสวี่ชีอัน “สวี่หลาง ท่านไปรอด้านนอกสักประเดี๋ยว…”
หลังจากออกไปแล้ว ฝูเซียงก็เปลี่ยนเป็นสวมกระโปรงงามสง่าเป็นชั้นๆ ที่ปักด้วยดอกเหมยฮวาสีแดง เหมยเอ๋อร์จัดทรงผมให้นาง มัดเป็นมวยขึ้นไป และสวมด้วยเครื่องประดับผมที่หรูหรา
ดินสอเขียนคิ้วลากส่วนโค้งอย่างประณีต ริมฝีปากทาด้วยสีแดงเพลิง ทาแก้มสีแดง ทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดของนางกลับมามีสีสันอีกครั้ง
ฝูเซียงจ้องไปยังสาวงามที่หาเปรียบมิได้ในกระจก และเผยรอยยิ้มออกมา
หกปีก่อน สาวงามท่านหนึ่งมายังสำนักสังคีต ในฐานะบุตรสาวของขุนนางต้องโทษโชคร้ายที่ได้กลายเป็นนางบำเรอ กลับมีความประสงค์ที่พิเศษอยู่
นางฝึกดีดฉินอย่างหนัก ร่ำเรียนบทกวีและอักษร จนกลายเป็นคณิกาของสำนักสังคีต และมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล
เวลาหกปีอันแสนสั้นผ่านไป นางควรจบชีวิตนี้แล้ว แต่ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาในโลกของนาง เหมือนกับเส้นทางสว่าง เปิดแยกท้องฟ้าที่มืดมน
ในช่วงสุดท้ายของการเดินทาง ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้หายไปไหน และวาดเครื่องหมายที่เต็มไปด้วยความสุขบนใบหน้าให้นาง
ฝูเซียงลุกขึ้นย่างกราย ยกกระโปรงขึ้น และวิ่งออกจากห้องไป จากห้องนอนถึงด้านนอกห้องโถง นางต้องวิ่งผ่านระเบียงยาว เหมือนกับวิ่งผ่านกาลเวลาช่วงหกปี ตรงปลายทางก็พบเจอกับเขา
ในห้องโถง เสียงเครื่องดนตรีประเภทสายและเป่าบรรเลงอย่างไพเราะ
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีแดงร่ายรำเพียงคนเดียว
ย่างกรายดั่งห่านหงส์ที่โบยบิน คดเคี้ยวดั่งมังกรที่แหวกว่าย
ในตอนจบ นางร่วงเข้าสู่อ้อมแขนของสวี่ชีอัน
สาวงามในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา โศกเศร้าถึงขีดสุด “สวี่หลาง ข้าต้องไปแล้ว ต่อไป…”
‘สิ่งที่ข้าหวังก็มีเพียงร่องรอยที่ทิ้งไว้ในใจของท่าน สิ่งที่ข้ากลัวก็คือ ตนเองที่ไร้ซึ่งความสำคัญ และถูกลืมในพริบตา’
สวี่ชีอันกอดไว้ พลางกล่าวเสียงเบา “ต่อไปข้าจะไม่มาสำนักสังคีตอีกแล้ว”
เริ่มต้นที่เจ้า ก็ต้องสิ้นสุดที่เจ้า
สำหรับสวี่ชีอันแล้ว นี่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางในชีวิตเช่นเดียวกัน
ฝูเซียงยิ้มออกมา สวยวิจิตรจนทำให้หวั่นไหวอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดั่งความสง่างามของดอกเหมยฮวาก็มิปาน
วิญญาณล่องลอย จากไปอย่างอ่อนช้อย ณ ที่ไกลแสนไกล
ในห้องโถง หมิงเยี่ยน เสียวหย่าและคณิกาคนอื่นๆ สะอื้นเสียงเบา พร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม
…
คณิกาฝูเซียงกลิ่นหอมจางหาย หยกพลันสลาย นางบำเรอที่โด่งดังท่านนี้ถูกชะล้างอย่างสมบูรณ์ อำลาชีวิตที่ผ่านมาในสำนักสังคีต
แต่จุดจบของนางไม่ได้เศร้าระทมนัก วันนี้สวี่ชีอันปรากฏตัวที่สำนักสังคีต ใช้เงินจำนวนแปดพันตำลึงเพื่อซื้อตัวนาง และช่วยให้นางหลุดพ้นจากชนชั้นต่ำ ข่าวแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักสังคีตในทันที
ใช้เงินแปดพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวนางบำเรอที่ป่วยหนัก แม้แต่บทละครก็ไม่สามารถเขียนเรื่องเช่นนี้ได้
เมื่อเทียบกับสวี่ชีอันที่ใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพียงเพื่อความปรารถนาของสาวงามเท่านั้นแล้ว ปัญญาชนในหนังสือที่มีความสามารถเหล่านั้น ไม่ทันไรก็ตัดการพรรณนาเรื่องราวของหัวใจนั้นออกไป ทั้งจืดชืด ทั้งไร้อำนาจ
ในช่วงเวลาหนึ่ง หญิงสาวของสำนักสังคีตต่างพูดถึงสวี่ชีอัน พูดคุยเกี่ยวกับฆ้องเงินท่านนี้ อดีตฆ้องเงินที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกประหลาด
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาสำนักสังคีตเป็นศูนย์กลางในการกระจายข่าวสาร เพียงแค่สองวัน ลูกค้าที่มีสิทธิ์ใช้จ่ายที่สำนักสังคีตแทบจะทราบเรื่องนี้กันทั้งหมดแล้ว
ในยุคนี้ เรื่องราวความรักของซิ่วไฉผู้ยากจนกับบุตรสาวตระกูลเศรษฐี และเรื่องราวความรักของบุคคลที่มีพรสวรรค์ทางด้านการประพันธ์กับนางบำเรอ เรียกได้ว่าเป็นสองเรื่องใหญ่ที่ยั่งยืนเป็นเวลานาน
แต่ขึ้นชื่อว่าใครที่ได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็อดใจที่จะชื่นชมความรักที่ซื่อสัตย์ของสวี่ชีอันไม่ได้ และคุยเรื่องนี้กันอย่างไม่หยุดปาก จนแพร่สะพัดออกไป
ข่าวสารถูกแพร่เป็นทอดๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างประชาชนในตลาด ระดับพ่อค้า ข้าราชการ ต่างนำเรื่องนี้ไปเป็นเรื่องพูดคุยกันในยามว่าง
…
ขณะที่สมุหราชเลขาธิการหวางกำลังรับประทานอาหารเช้า ได้ยินบุตรชายคนรองกำลังบ่นพึมพำเกี่ยวกับข่าวซุบซิบตามตลาดนี้ไม่หยุด
“เงินแปดพันตำลึง หากปล่อยให้ข้าจัดการ ไม่ถึงหนึ่งปี ข้าก็จะปล่อยให้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้ พี่ใหญ่ ท่านว่าสวี่ชีอันโง่เขลาหรือไม่ หากเป็นเพียงการได้รับความโปรดปรานจากหญิงงามเพียงเท่านั้น”
“แต่นี่เป็นผู้ป่วยอาการหนักคนหนึ่ง เงินแปดพันตำลึงนั้นไร้ค่าเสียแล้ว”
เมื่อเห็นบิดาเดินเข้ามา คุณชายรองหวางก็หยุดบทสนทนา และก้มหน้ากินโจ๊กทันที
บ้านสกุลหวางอบรมสั่งสอบเข้มงวด ชี้นำให้เวลารับประทานอาหารไม่สนทนา เวลานอนไม่คุยกัน
สมุหราชเลขาธิการหวางนั่งลงที่โต๊ะ กินโจ๊กไปหนึ่งคำ มองไปที่บุตรชายคนรอง กล่าวถาม “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”
คุณชายรองหวางกล่าวอย่างละล่ำละลัก “ไม่ ไม่มีอะไรขอรับ..”
สมุหราชเลขาธิการหวางโบกมือ “พูดมาเถอะ อืม เกี่ยวข้องกับสวี่ชีอันหรือ”
เมื่อเห็นบิดาไม่พอใจ คุณชายหวางจึงเอ่ย “คณิกาฝูเซียงของสำนักสังคีตป่วยเกินเยียวยา จนโอสถและการฝังเข็มก็ไม่สามารถช่วยได้ สวี่ชีอันนั้นจ่ายเงินแปดพันตำลึงให้นางเพื่อไถ่ตัว เพียงเพื่อความปรารถนาของหญิงงามที่เฝ้ารอมานาน ช่างน่าขันเสียจริง”
หลังจากออกความเห็นเสร็จก็ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าอย่างไรเล่าขอรับ”
สมุหราชเลขาธิการหวางไม่สนใจ และกินโจ๊กอย่างเงียบๆ จนเสร็จ
คุณชายรองหวางไม่ได้รับคำยืนยันจากบิดาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
‘อืม ท่านพ่อแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกล่าวเรื่องคนอื่นลับหลัง แต่ความคิดที่อยู่ในใจต้องคิดเหมือนข้าอย่างแน่นอน’
หลังจากที่สมุหราชเลขาธิการหวางกินโจ๊กเสร็จแล้ว เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ส่งให้เช็ดปาก จากนั้นก็เช็ดมือ กล่าวอย่างราบเรียบ “หากเจ้าสามารถจ่ายเงินแปดพันตำลึงเพื่อแลกกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังจะตายได้ ข้าจะเคารพเจ้าว่าเป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่ง”
คุณชายรองหวางงงงัน นิ่งงันเป็นไก่ไม้
…
หอเฮ่าชี่
“ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นพวกหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นเช่นนี้”
หนานกงเชี่ยนโหรวถือถ้วยชาพลางยกยิ้ม ไม่แน่ใจว่าเป็นการเยาะเย้ยหรือคำชมกันแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง