“เจ้าอ่านให้ข้าฟัง ข้าอ่านอักษรเฉ่าซูไม่ออก” สวี่ชีอันผลักกลับมาอีกครั้ง
สีหน้าของสวี่ซินเหนียนแข็งทื่อ และมองเขาด้วยความตกตะลึง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้ข้าเขียนทำไม?”
เพราะวันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี…
สวี่ชีอันกล่าวเร่งรัดว่า “อย่าพูดไร้สาระ ให้เจ้าอ่านก็อ่าน พี่ชายใหญ่เปรียบเสมือนพ่อ คำพูดของข้าไม่มีประโยชน์แล้วรึ?”
สวี่ซินเหนียนบ่นพึมพำเบาๆ หลังจากนั้นก็หยิบกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมา และเริ่มอ่านออกเสียง
“เดี๋ยว!”
เมื่ออ่านถึงบรรทัดหนึ่ง จู่ๆ สวี่ชีอันก็บอกให้หยุด
เขาฉกกระดาษเซวียนจื่อไป พลางจ้องตาเขม็ง พลางถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับบทสนทนานี้ ต่อจากนั้นล่ะ? ไม่มีต่อจากนั้นแล้วรึ”
สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า “ในบันทึกประจำวันไม่มีต่อจากนั้น มันน่าจะถูกแก้ไขตั้งแต่แรกแล้ว อืม บทสนทนานี้มีอะไรผิดปกติรึ?”
เขามองพี่ชายใหญ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สำหรับสวี่เอ้อร์หลาง บทสนทนานี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เป็นเพียงแค่การคุยกันระหว่างจักรพรรดิองค์ก่อนกับผู้นำเต๋านิกายมนุษย์รุ่นที่หนึ่งเกี่ยวกับการบำเพ็ญธรรมอายุยืน
คุยเรื่องการบำเพ็ญธรรมอายุยืนกับผู้อาวุโสลัทธิเต๋า ก็เหมือนพูดคุยเรื่องคัมภีร์กับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบเขา และจมอยู่กับความคิดของตนเอง พยายามคิดวิเคราะห์แบบตีแผ่จากบทสนทนานี้ เพื่อขยายการเชื่อมโยง
ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้รับโองการสวรรค์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป วิถีการมีอายุยืนแห่งลัทธิเต๋า จะสามารถแก้ไขข้อจำกัดนี้ได้หรือไม่…
จากประโยคนี้จะเห็นได้ว่า จักรพรรดิองค์ก่อนรู้ว่าผู้ที่แบกรับโชคชะตาไม่มีทางมีอายุยืนยาว
การมีอายุยืนยาวเป็นไปได้ แต่การเป็นอมตะเป็นไปไม่ได้…
สิ่งที่ผู้รับตำแหน่งผู้นำเต๋านิกายมนุษย์พูดว่า ‘อายุยืน’ น่าจะหมายถึงการยืดอายุขัยให้นานขึ้น ส่วนคำว่าอมตะที่อยู่ครึ่งหลัง ถึงจะเป็นอายุยืนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งร้องขอ
มหาเทพหนึ่งกลายเป็นสาม สามท่านหนึ่งคน หรือสามท่านสามคน…
เอ๋ ประโยคนี้หมายความว่ายังไง จักรพรรดิองค์ก่อนเพียงแค่ถามเฉยๆ หรือมีความหมายลึกซึ้งอย่างอื่น?
สวี่ชีอันคิดด้วยความสงสัย และปล่อยให้น้องชายอ่านต่อไป
แต่กลับไม่มีเบาะแสที่น่าสงสัยอื่นๆ
“เอ้อร์หลาง เจ้าต้องเร่งดำเนินการสักหน่อย จงจดเนื้อหาบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนทั้งหมดให้พี่ภายในสามวัน เจ้าอย่าลืมว่าต้องทำอย่างลับๆ อย่าให้คนของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินพบว่าเจ้ากำลังทำเรื่องนี้ พวกเราจะแอบสืบอย่างลับๆ ห้ามเปิดเผยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติอันใหญ่หลวง”
จากสัญชาตญาณของนักสืบเก่า สวี่ชีอันเชื่อว่าการที่จักรพรรดิหยวนจิ่งหมกมุ่นในลัทธิเต๋า อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์ก่อน
อันที่จริง ข้อสงสัยหลักของคดีนี้ง่ายมาก ในเมื่อจักรพรรดิไม่มีทางเป็นอมตะ แล้วทำไมจักรพรรดิหยวนจิ่งต้องบำเพ็ญธรรม!
หากคลี่คลายข้อสงสัยนี้ได้ ความจริงทุกอย่างก็จะปรากฏ
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ใช่คนโง่ แม้แต่มหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ บรรพบุรุษทหารยอดฝีมือ หรือจักรพรรดิอู่จงก็ไม่สามารถเป็นอมตะได้ หากไม่มีความมั่นใจ หรือไม่เห็นความหวังบางอย่าง เป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจะหมกมุ่นในลัทธิเต๋า
“อืม” สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า ก่อนจะหันมากล่าวว่า “เร็วๆ นี้ ข้าได้ยินที่ท้องพระโรงว่าเกิดสงครามที่แดนเหนือแล้ว พี่ชายใหญ่ท่านรู้หรือไม่”
“สงครามแดนเหนือ?” สวี่ชีอันตกตะลึง
หลังจากฉีกร่างอ๋องสยบแดนเหนือในวันนั้น เขาก็ฉวยโอกาสที่จี๋ลี่จือกู่บาดเจ็บสาหัส และไต้ซือเสินซูระเบิดความแข็งแกร่งเป็นหนึ่ง ตั้งใจออกจากฉู่โจวและไล่ตามยอดฝีมือเผ่าอนารยชนทั้งสามไปเป็นพิเศษ ก่อนจะส่งไปให้ทางการตัดศีรษะประจานที่ข้างถนน
จุดประสงค์คือเพื่อทำให้เผ่าอนารยชนแดนเหนือตื่นตระหนกและไร้ผู้นำ ด้วยวิธีนี้ มีเพียงแต่ละฝ่ายของเผ่าอนารยชนเท่านั้นที่ช่วงชิงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขายุ่งสักพัก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะก่อกวนชายแดนทางเหนืออีก
แต่เผ่าอนารยชนและเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือมีอุดมการณ์เดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่เผ่าปีศาจแดนเหนือจะฉวยโอกาสรุกล้ำเผ่าอนารยชน หากทำเช่นนั้นก็รังแต่จะสร้างความแตกแยกภายใน
“สำนักพ่อมด?!” สวี่ชีอันโพล่งออกมาด้วยความร้อนรน
“สำนักพ่อมดฉวยโอกาสโจมตีอาณาเขตของเผ่าปีศาจแดนเหนือ หวังครอบครองอาณาเขตของเผ่าปีศาจ นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับต้าฟ่งของพวกเรา” สวี่เอ้อร์หลางกล่าว
“สงครามเป็นอย่างไรบ้าง?” สวี่ชีอันถาม
“ข้าไม่รู้ แต่ข้าได้ยินว่าเผ่าปีศาจพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง” สวี่เอ้อร์หลางแสดงสีหน้าจริงจัง และกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพใหญ่ที่นำทัพสำนักพ่อมดคือราชาแห่งจิ้งกั๋ว…เซี่ยโฮ่วยวี่ซู “
นี่ใครอีก…
สวี่ชีอันตะลึงงันอยู่เกือบนาที ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสำนวนคดีของสงครามที่ด่านซานไห่
เซี่ยโฮ่วยวี่ซู ราชาแห่งจิ้งกั๋ว ในสงครามที่ด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เขาคือผู้ควบคุมกองทัพใหญ่ของจิ้งกั๋ว บุกเข้าจู่โจมถึงสามวันสามคืน และทำลายเส้นทางการส่งเสบียงอาหารของต้าฟ่งก่อนมีศึกชี้ขาด
โจมตีโดยที่เว่ยเยวียนไม่ทันตั้งตัว นั่นยังเป็นครั้งที่ทหารพันธมิตรทุกฝ่ายเข้าใกล้ชัยชนะมากที่สุด จนเกือบจะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ได้
สำหรับต้าฟ่ง ราชาของจิ้งกั๋วท่านนี้คือผู้ที่อยู่ในระดับสูง และคิดว่าเป็นรองเว่ยเยวียนในด้านการบังคับบัญชากองทัพทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการวางแผนเพื่อสถานการณ์โดยรวม
แต่หากมองในแง่ของความสามารถในการนำทัพ เซี่ยโฮ่วยวี่ซูแข็งแกร่งกว่าอ๋องสยบแดนเหนือมาก
ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ แต่ประชากรน้อย มีการตั้งสถานภาพสามก๊ก แบ่งเป็น จิ้งกั๋ว คังกั๋ว เหยียนกั๋ว
ทั้งสามก๊กล้วนเชื่อในสำนักพ่อมด และสำนักพ่อมดยังเป็นศาสนาประจำชาติของทั้งสามก๊กทางตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นั่นถืออำนาจของเทพเจ้าเป็นหลัก อำนาจของจักรพรรดิเป็นรอง เหมือนกับโครงสร้างลำดับชั้นของแดนประจิมทุกประการ
สามก๊กทางตะวันออกเฉียงเหนือฝึกฝนเพียงแค่สองระบบ คือระบบพ่อมดและระบบวิทยายุทธ์
เอ๊ะ เว่ยกงเคยบอกว่า จะโจมตีสำนักพ่อมดหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ แต่ตอนนี้ สำนักพ่อมดครอบครองอาณาเขตของเผ่าปีศาจแดนเหนือ มีความเป็นไปได้มากที่ต้าฟ่งจะเคลื่อนกำลังพล…
นี่…นี่มันช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเว่ยกงจะคาดเดาสถานการณ์ได้ก่อนที่จะรู้ประเด็นนี้ การที่เขาโจมตีสำนักพ่อมด จะต้องมีจุดประสงค์อื่นอย่างแน่นอน
สวี่ชีอันแอบขมวดคิ้ว
ไม่รู้ทำไม แต่เขามีความรู้สึกว่าฝนภูเขาห่าใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ลมพายุโหมกระหน่ำจะพัดหอคอยไปทั้งหลัง
…
กลางดึก พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า
แสงจันทร์อันเย็นยะเยือกสาดส่องไปทั่วผืนป่าบนภูเขาอันเขียวชอุ่ม นกกลางคืนกระพือปีก ส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่กลางป่าอันกว้างใหญ่
ควันเขียวกลุ่มหนึ่งม้วนตัวอยู่ใต้แสงจันทร์ ข้ามผ่านผืนป่า ข้ามผ่านยอดเขา ข้ามผ่านทะเลสาบและแม่น้ำ ในที่สุดก็มาถึงที่ถ้ำแห่งหนึ่ง และผ่านทะลุเข้าไปด้านใน ลอดผ่านอุโมงค์ถ้ำที่คดเคี้ยว
หลังจากผ่านไปนาน ควันเขียวก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ในถ้ำ แสงจันทร์อันเยือกเย็นส่องลงมาจากด้านบน หุบเขาภายในถ้ำเต็มไปด้วยดอกมูนฟลาวเวอร์ที่ส่องแสงสุกสกาว
บนแท่นหินสูงที่มีเถาวัลย์พันเกี่ยวล้อมรอบเต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ผสมผสานกลายเป็น ‘แท่นดอกไม้’ หลังหนึ่ง
เก้าอี้หินบนแท่นถูกปกคลุมไปด้วยขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวราวกับหิมะ มีหญิงงามสวยหยาดเยิ้มที่ไม่มีใครเทียบได้ท่านหนึ่ง นั่งเอนกายอย่างเกียจคร้าน พลางมองควันเขียวลอยกลับมาผ่านภูเขาหลายพันลูก และแม่น้ำหลายพันสายด้วยรอยยิ้ม
ภาพลวงควันเขียวกลายร่างเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ท่าทางสง่างามและมีเสน่ห์ดึงดูด แต่ใบหน้ากลับพร่าเลือน
“นายท่าน ข้ากลับมาแล้ว”
หญิงสาวโค้งคำนับอย่างงดงาม
“เวลาหกปีผ่านไปไวนัก เจ้าทำได้ดี ตอนแรกส่งเจ้าไปเมืองหลวง เดิมทีเพื่อวัตถุปิดผนึกใต้ทะเลสาบซังผอ”
หญิงงามบนเก้าอี้หินกล่าวด้วยความนุ่มนวล ทันทีที่นางงอขาจนกระโปรงเลื่อนลง ก็เผยให้เห็นเรียวขายาวราวกับงูหลามสีขาว จากนั้น หญิงงามก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ข้าเห็นเจ้าเขียนจดหมายกลับมาว่าตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง ก็ไม่ได้เร่งรัดให้เจ้ากลับมา ข้าอดทนกับเจ้ามาครึ่งปี แต่เจ้ากลับลุ่มหลงทางโลก ตอนนี้ยังเป็นห่วงเป็นใยทางด้านเมืองหลวงอยู่ใช่หรือไม่?”
หญิงสาวก้มหน้า และไม่ตอบโต้ใดๆ
ผู้หญิงบนเก้าอี้หินหรี่ดวงตาคู่สวยลงเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เชอะ เชอะ เชอะ คณิกาฝูเซียงผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วใต้หล้า ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าคงลืมชื่อของตนเองไปแล้วกระมัง…เย่จี”
“เย่จีมิบังอาจ ฝูเซียงเป็นลูกสาวของขุนนางที่เสียชีวิตด้วยอาการป่วยเมื่อหกปีที่แล้ว ส่วนเย่จีเป็นเพียงนกพิราบที่เข้าครองรังนกกางเขน และใช้ร่างของนางทำเรื่องต่างๆ เย่จีจะจงรักภักดีกับนายท่านตลอดไป”
“แล้วถ้าวันหนึ่ง ข้าสั่งให้เจ้าฆ่าสวี่ชีอันล่ะ” ท่าทางของหญิงงามบนเก้าอี้ดูขี้เล่นซุกซน แต่น้ำเสียงของนางกลับเยือกเย็นอย่างมาก
หญิงสาวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ก่อนจะคุกเข่าลงและกล่าวคร่ำครวญว่า “เช่นนั้นเย่จีต้องอภัยที่ไม่สามารถรับใช้นายท่านได้อีกต่อไป ขอนายท่านได้โปรดสั่งให้ข้าตายเถิด”
หญิงงามบนเก้าอี้หินนั่งตัวตรง พลางหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “ดื้อเสียจริง เจ้าก็รู้ว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ เจ้าอยากรู้มาโดยตลอดไม่ใช่รึ ว่าข้าจะจัดการกับสวี่ชีอันอย่างไร วันนั้น ข้าให้พวกเจ้าทั้งเก้าแยกย้ายกันไปทั่วเก้ารัฐ ข้าเคยบอกแล้วว่าหากพวกเจ้าตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน เขาจะเป็นสามีในอนาคตของข้า และเป็นราชาแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีผู้หญิงอีกคนที่ตกหลุมรักเขาด้วย”
เย่จีเงยหน้าขึ้นมาทันที ทั้งประหลาดใจทั้งหึงหวงเล็กน้อย “ใคร…ใครหรือ?”
เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจยกยิ้มอย่างทรงเสน่ห์ นางไม่ตอบคำถามของเย่จี แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อโดยการกล่าวว่า “เจ้าฝึกฝนตนเองอยู่ที่นี่ไปพลางๆ ข้าจะก่อกายเนื้อใหม่ให้เจ้า ต่อไป ข้ามีงานใหม่ให้เจ้าไปทำ”
…
เวลาเช้าตรู่
เทียนจีและเทียนซูนำสายลับขี่ม้าเร็วไปยังภูเขาไป๋เฟิ่งที่อยู่ทางเขตชานเมืองด้านตะวันตก
ซุ้มประตูขนาดใหญ่เขียนว่า ‘วัดมังกรเขียว’ ขั้นบันไดหินที่คดเคี้ยวทอดยาวเข้าไปในป่าลึก จนถึงวัดอันโอ่อ่าที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
เทียนจีและเทียนซูทิ้งให้คนดูแลม้า ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเข้าไปในวัด
หลังได้รับสารจากลูกศิษย์ สายสืบทั้งสองก็ได้พบกับเจ้าอาวาสของวัดมังกรเขียว…ภิกษุผานซู่
พระภิกษุเฒ่าผู้มีเคราขาวยาวถึงหน้าอก นัยน์ตาอบอุ่นและใจดี นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องปฏิบัติธรรม พลางกล่าวด้วยสีหน้ายินดีว่า “ใต้เท้าทั้งสองมาเยี่ยมวัดของพวกเราด้วยเหตุอันใดหรือ”
เทียนจีล้วงภาพเหมือนที่ถูกพับไว้ออกมาจากอก ก่อนจะคลี่ออก พลางกล่าวว่า “เจ้าอาวาสผานซู่รู้จักบุคคลนี้หรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง