ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 427

บทที่ 427 นิทานของฝูเซียง

เหมยเอ๋อร์ยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้เขาด้วยมือทั้งสองข้าง หลังจากโค้งคำนับ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “คุณชายสวี่ เช่นนั้น…บ่าวขอลาไปก่อนนะเจ้าคะ”

“เดี๋ยว!”

สวี่ชีอันรับห่อผ้ามา แต่ยังไม่ได้เปิดดู เขามองสาวใช้ที่หน้าตาสะสวย พลางถามว่า “บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด?”

“บ้านของทาสอยู่ที่เขตเจียวสือเจ้าค่ะ” เหมยเอ๋อร์กล่าวกระซิบ

เขตเจียวสืออยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือในเขตเมืองหลวง หากออกเดินทางจากทิศเหนือ และจ้างรถม้าหนึ่งคัน ก็จะถึงในสองวัน

หลังจากที่เหมยเอ๋อร์ถูกตัดสินว่าไม่ใช่ผู้กระทำความผิด นางก็ถูกครอบครัวขายเข้าไปในสำนักสังคีต

สาวใช้ที่ถูกขายเข้าไปในสำนักสังคีตที่เมืองหลวงเช่นนาง มักจะเป็นครอบครัวยากจน ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ก็รอบๆ เมืองหลวง เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเดินทางเป็นพันลี้หมื่นลี้มาที่เมืองหลวงเพื่อขายลูกสาว หากมีค่าเดินทางขนาดนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องขายลูกสาวแล้ว

สำหรับพ่อแม่ของนาง ตอนที่ขายนางเข้าไปในสำนักสังคีตปีนั้น เป็นเพราะหมดหนทางล้วนๆ ภัยพิบัติในปีนั้น ทั้งครอบครัวแทบจะไม่มีข้าวกิน ถึงอย่างไร การขายนางก็ยังพอมีทางเอาตัวรอดได้

แม้ว่าฝูเซียงจะมีเงินทิ้งไว้ให้นาง แต่สถานที่ที่กินคนไม่เหลือซากกระดูกอย่างสำนักสังคีต ย่อมใช้โอกาสที่นางไถ่ตนเองมารีดไถนางอย่างแน่นอน นางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง หากเงินที่นำกลับมาน้อยเกินไป เกรงว่าสมาชิกในครอบครัวคงไม่ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี…

เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่นางสวมทั้งเรียบง่ายและธรรมดาเกินไป สวี่ชีอันก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในหน้าอก และสัมผัสกระจกเบาๆ หยิบธนบัตรมูลค่าห้าสิบตำลึงจำนวนหนึ่งใบออกมาและยื่นให้นาง

“คุณชายสวี่ ข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ” เหมยเอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างต่อเนื่อง

“การที่ข้าได้ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้คู่นายบ่าวอย่างพวกเจ้า ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เหมยเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า พลางกล่าวสะอึกสะอื้น “ช่วงที่นายหญิงฝูเซียงป่วยหนัก บ่าวรู้สึกเกลียดชังท่านมาก เกลียดที่ท่านใจจืดใจดำ บ่าวผิดไปแล้ว ท่านเป็นผู้ชายที่มีน้ำใจจริงๆ นายหญิงฝูเซียงโชคร้าย ไม่มีวาสนา…”

สวี่ชีอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขารู้มานานแล้วว่าฝูเซียงป่วยหนัก เพียงแต่เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับนางอย่างไร

สำหรับตัวตนของนาง ตั้งแต่จงหลีเปิดโปงเรื่องวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่าย ในฐานะที่เขาเป็นตำรวจมานาน ตอนนั้นจึงได้เชื่อมโยงความสงสัยหลายประเด็นก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน

อย่างเช่น เหตุใดเผ่าปีศาจถึงรู้ว่าโชคชะตาอยู่ในตัวเขา…

อย่างเช่น เหตุใดเผ่าปีศาจต้องแอบนำมือที่ถูกตัดของเสินซูมาซ่อนไว้ในบ้านของเขา…

โดยทั่วไป บุคคลที่มีจิตวิญญาณไม่สมบูรณ์ ไม่มีทางที่จะอยู่รอดปลอดภัย ถ้าไม่สมองเสื่อม ก็ต้องเป็นนิทรา

หลังจากส่งเหมยเอ๋อร์ไปแล้ว สวี่ชีอันก็นั่งอยู่ที่ห้องโถงด้านนอกและเปิดห่อผ้าออก

ข้างในมีจดหมายสองฉบับ หนังสือหนึ่งเล่ม และกำไลข้อมือหยกหวงโหยว

จดหมายฉบับหนึ่งเขียนตอนเดินทางผ่านชิงโจว ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังอวิ๋นโจว จดหมายอีกฉบับเขียนตอนที่เดินทางผ่านเขตหวงโหยวของเจียงโจว เพื่อไปสืบคดีที่ฉู่โจว

สวี่ชีอันกำลังจะวางกำไลข้อมือและจดหมายทั้งสองฉบับลง แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ เขาเปิดจดหมายฉบับชิงโจว และเทกลีบดอกบัวที่เหี่ยวแห้งจำนวนหนึ่งออกมา

สวี่ชีอันผู้ที่รู้สึกเสียใจกับการตายของฝูเซียงเพียงเล็กน้อยในตอนแรก จู่ๆ ก็มีความรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก

ที่แท้ตั้งแต่แรกจนกระทั่งตอนนี้ สิ่งที่ข้ามอบให้เจ้า ก็มีเพียงของเหล่านี้เท่านั้น…

เขาเปิดจดหมายและอ่านมันอย่างเงียบๆ หวนนึกถึงอดีตของคณิกาท่านนั้นก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่เป็นเวลานาน

ตอนที่ออกไปเดินเล่นก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ยินคนพูดบนเวทีว่า ความเศร้าอาดูรที่แท้จริงไม่ใช่ฉากร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักด้วยความโศกเศร้า แต่เป็นนมครึ่งกล่องที่อยู่ในตู้เย็น ต้นพลูด่างบนขอบหน้าต่างที่แกว่งไปตามลม ผ้านวมที่ถูกพับอยู่บนเตียง และเสียงเครื่องซักผ้าอันเงียบสงบในยามบ่าย

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเก็บจดหมายและกำไลข้อมือไว้อย่างดี จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับหนังสือ

หนังสือที่มีปกสีน้ำเงินปราศจากชื่อ หลังจากเปิดอ่านแล้ว ก็พบว่าเป็นนิทานแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งที่จดบันทึกโดยลายมืออันประณีตและงดงามของฝูเซียง

ในหนังสือกล่าวว่า มีนกอินทรีเฒ่าตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในหน้าผาสูงเทียมเมฆ นกอินทรีมีลูกอยู่หกตัว อยู่มาวันหนึ่ง ลูกของนกอินทรีถูกรังแก และกลับมาร้องไห้คร่ำครวญกับนกอินทรี

นกอินทรีไม่สนใจ มันเพียงแค่ยืนอยู่บนหน้าผาอย่างเงียบๆ และมองลงไปยังผืนดิน

ด้วยเหตุนี้ ลูกนกอินทรีจึงบินหนีไป และไม่กลับมาอีกเลย

ด้านล่างหน้าผา เป็นป่าที่เต็มไปด้วยอันตราย ในป่ามีเสือเฒ่าอยู่ตัวหนึ่ง มันกำลังป่วย และไม่สามารถล่าเหยื่อได้อีกต่อไป ดังนั้น มันจึงส่งสุนัขจิ้งจอกที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของมันไปล่อลวงสัตว์ตัวเล็กๆ เข้ามาในถ้ำ เพื่อมาเติมเต็มความหิวกระหายของเสือเฒ่า

สุนัขจิ้งจอกคิดว่าเสือเฒ่าขาดมันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ มันจึงค่อยๆ ขยายฝูงให้ใหญ่ขึ้น มันยังร่วมมือกับฝูงหมาป่ากินกระต่ายขาวตัวน้อยที่มีฐานะอันสูงศักดิ์

เสือเฒ่ารู้ดี แต่ก็เลือกที่จะมองข้าม และช่วยปกปิดความผิดของสุนัขจิ้งจอก

ราชาลิงผู้เฉลียวฉลาดในป่าพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงส่งลิงภายใต้บังคับบัญชาไปตรวจสอบสุนัขจิ้งจอก เพื่อไม่ให้เรื่องที่สุนัขจิ้งจอกล่อลวงสัตว์เล็กถูกเปิดโปง เสือเฒ่าจึงพูดกับงูหลามว่า

เจ้าจงไปหาหมีดำใหญ่ และบอกว่าลูกของเขาถูกสุนัขจิ้งจอกกินไปแล้ว

เมื่อหมีดำใหญ่รู้เข้าก็โกรธมาก มันจึงบุกเข้าไปฆ่าสุนัขจิ้งจอกถึงในบ้าน

“หมายความว่าอะไร?”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว และครุ่นคิดเป็นเวลานาน เขาคิดไม่ออกว่าเรื่องนี้กำลังจะเปิดเผยอะไร

มีความรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ชั่วขณะหนึ่ง เขากลับคิดไม่ออก

เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันมาก และกลับเข้าไปด้านใน ลับคมดาบและฝึกฝนดาบเดียวตัดฟ้าดิน

หลังรับประทานอาหารกลางวัน เขาขี่แม่ม้าน้อยไปที่หอคณิกา ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่นและเดินเท้าออกไป หลังจากนั้นก็ถึงบ้านส่วนตัวตามที่นัดหมายกันไว้ และเข้าไปในรถม้าของหลินอัน

ล้อรถม้าขององค์หญิงหมุนไปตามทาง กระทั่งเข้าสู่เขตพระราชฐาน

เมื่อเข้าใกล้บริเวณพื้นที่ประทับของสมาชิกในราชวงศ์ ฝั่งตรงข้ามมีรถม้าหรูที่ทำจากไม้จันทน์สีแดงคันหนึ่งกำลังแล่นเข้ามา

“หยุดรถ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับรถม้าที่แล่นเข้ามาใกล้ เสียงเย็นชาของฮว๋ายชิ่งก็ดังขึ้น

รถม้าทั้งสองคันหยุดลง ฮว๋ายชิ่งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างเปิดหน้าต่างขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าสวยเพียงครึ่งเดียว นางกล่าวว่า “หลินอัน เจ้าบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยสบายไม่ใช่รึ แล้วนี่กำลังจะไปที่ใด?”

แย่แล้วไง…สวี่ชีอันนั่งอยู่ในรถม้าด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

แอบนัดพบกับน้องสาว แต่ถูกพี่สาวจับได้กลางทางเสียแล้ว

ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว และกล่าวว่า “ทำไมไม่พูด?”

สิ่งที่ข้าต้องการคือบทเรียนการบริหารเวลาของไต้ซือลัว ไม่ใช่บทเรียนล้มเหลวของไต้ซือลัวสักหน่อย…

ขณะนั้นในหัวของสวี่ชีอันมีแต่ความว่างเปล่า เขาพยายามบีบคอเพื่อออกเสียงไอเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ตอบกลับฮว๋ายชิ่ง และสั่งคนขับรถม้าด้วยเสียงแหลมเล็ก

“ไป”

หลังจากเลื่อนสู่ขั้นห้า เขาสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งน้ำเสียง การออกเสียงแหลมเล็กของผู้หญิงเพียงชั่วคราวจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา สำหรับจะเหมือนหรือไม่เหมือนนั้น ก็มีเสียงไอเป็นฉากบังหน้า เสียงของหลินอันที่ไม่ค่อยสบายอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

หวังว่าฮว๋ายชิ่งจะไม่สังเกตเห็น…

เขาใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายเกลือกกลั้วอยู่กับหลินอัน พูดคุยกับนาง เล่นหมากรุก ดื่มชา สัมผัสร่างกายนางเป็นครั้งคราว ทำให้ทั้งสองมีความคุ้นเคยและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ยามเซิน เข้าก็ออกจากจวนของหลินอัน โดยนั่งรถม้าของยายตัวร้ายออกจากเขตพระราชฐาน ในขณะที่เพิ่งออกจากประตู สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาที่คุ้นเคยอีกครั้ง

“หยุดรถ!”

แย่แล้วไง…สวี่ชีอันเกือบจะสูญเสียความสามารถในควบคุมการแสดงออกของสีหน้าไปแล้ว เขารีบชิงบีบคอ และไอออกมา ไอออกมา โดยไม่รอให้ฮว๋ายชิ่งพูด…

จากนั้น เขาก็ไอจนกระทั่งฮว๋ายชิ่งเข้ามา

องค์หญิงคนโตสวมชุดกระโปรงสีขาว งดงามราวกับรูปภาพ บุกเข้ามาในรถม้าและจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาใสราวกับสระน้ำในปลายฤดูใบไม้ร่วงคู่นั้นเต็มไปด้วยความขี้เล่นและความโกรธเคือง

“องค์…องค์หญิงฮว๋ายชิ่ง…”

สวี่ชีอันฝืนยิ้มออกมา แม้จะไม่มีกระจก แต่เขาก็รู้ว่าการแสดงออกของตนเองในตอนนี้อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพียงใด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง