บทที่ 438 ความตื่นตระหนกของหวางซือมู่
เสี่ยวโต้วติงถูกอาสะใภ้ไล่ออกจากห้องโถง จึงต้องเล่นอยู่ที่ลานบ้านเพียงคนเดียว
อาสะใภ้กระแอมครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มให้หลานชาย “เอ่อ หนิงเยี่ยน ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนเจ้าทำอาหารหลายอย่างในครัว มีรูปแบบและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์มาก เอิ่ม อาคิดว่า คุณหนูหวางเป็นบุตรสาวของท่านสมุหราชเลขาธิการ อาหารแปลกๆ และราคาแพงคงจะกินจนเบื่อแล้ว ลองชิมอาหารที่แตกต่างดูบ้าง…”
“อ้ออ้อ ข้าจะไปสอนแม่ครัวในครัวเอง”
สวี่ชีอันกำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูการแสดงดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสักครู่ ตอนนี้นี้อาสะใภ้ขอร้องอะไร เขายอมทำตามทุกอย่าง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่เสี่ยวโต้วติงถูกไล่ออกจากห้องโถงแล้ว ก็เล่นอยู่ที่ลานบ้านเพียงคนเดียวอยู่สักพักก็รู้สึกเบื่อ จึงได้วิ่งไปที่ห้องของสวี่หลิงเยวี่ยผู้เป็นพี่สาว
ใกล้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สวี่หลิงเยวี่ยกำลังตัดชุดสำหรับสวมใส่ในฤดูใบไม้ร่วงให้กับพี่ใหญ่ ผ้าที่ใช้คือผ้าต่วนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระราชทานให้
ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของสวี่หลิงเยวี่ยนั้นยอดเยี่ยมกว่าใคร ชุดคลุมยาวที่นางตัดเย็บนั้นสวยและปราณีตกว่าที่ซื้อจากร้านค้าเสียอีก
หลี่เมี่ยวเจินพาผีสาวซูซูมาช่วย แน่นอนว่าเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ย่อมทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น แต่ตอนที่ซูซูยังมีชีวิตอยู่ นางเป็นบุตรสาวผู้เรียบร้อยของตระกูลที่มีชื่อเสียง
งานศิลปะด้านต่างๆ และงานเย็บปักถักร้อย ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นทั้งสิ้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เสื้อผ้าของหลี่เมี่ยวเจิน หรือแม้แต่เอี๊ยม ล้วนเป็นฝีมือของซูซูที่เป็นผู้สอนเหล่าผีสาวทำการตัดเย็บ
สวี่หลิงเยวี่ยเหลือบมองน้องสาวที่ปีนขึ้นไปหยิบขนมบนโต๊ะ นางปักผ้าไป พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“หลิงอิน เจ้าอยากมีพี่สะใภ้หรือไม่”
“พี่สะใภ้คืออะไร” สวี่หลิงอินเริ่มกินอีกแล้ว
“พี่สะใภ้ก็คือภรรยาของพี่รอง ต่อไปจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเงินของครอบครัว” สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเสียงอ่อนโยน
สวี่หลิงอินส่งเสียง “อ้อ” นางยังไม่ถึงวัยที่จะรู้ถึงความสำคัญของอำนาจทางการเงิน แต่กลับเป็นซูซู ที่หัวเราะเยาะออกมา
“คุณหนูหลิงเยวี่ยพูดเช่นนี้ ลำพังแค่เงินเดือนของพี่รองของเจ้า จะประคับประคองค่าใช้จ่ายของบ้านสกุลสวี่ได้? ท่านแม่ของเจ้าซื้อดอกไม้และต้นไม้ล้ำค่า ต้องใช้เงินสิบกว่าตำลึงเงิน เป็นเงินที่ใครหามากันแน่”
สวี่หลิงเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “มันคือเงินที่พี่ใหญ่หามา”
บ้านสกุลสวี่โชคดีถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งเมื่อหลิงหลงเกิดคลุ้มคลั่ง สวี่ชีอันช่วยชีวิตองค์หญิงหลินอันมีความดีความชอบ จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงทรงพระราชทานทรัพย์สินให้เป็นรางวัลจำนวนหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งก็คือครั้งที่ทรงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ก็ได้รับพระราชทานเงินก้อนโตและที่นา
ในช่วงที่โชคดีทั้งสองครั้ง สวี่หลิงเยวี่ยนำเงินไปซื้อร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายเครื่องประทินโฉม ร้านขายผ้าไหมผ้าแพร และร้านขายของชำ เป็นต้น ร้านค้าเหล่านี้บริหารงานในนามอาสะใภ้ แต่ในความเป็นจริงแล้วสวี่หลิงเยวี่ยเป็นผู้ควบคุมดูแล
โชคดีครั้งที่สาม ก็คือโรงงานผงปรุงรสไก่แบ่งเงินกำไรตอนต้นปี นี่เป็นเงินจำนวนมหาศาลที่คาดไม่ถึง ทำให้บ้านสกุลสวี่ร่ำรวยขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเงินมากเกินไป ผู้หญิงที่ดูแลงานบ้านด้วยความขยันหมั่นเพียรและประหยัดมัธยัสถ์อย่างอาสะใภ้ คงไม่ผลาญเงินปลูกดอกไม้เป็นประจำเช่นนี้
แน่นอนว่า ดูภายนอกทรัพย์สินของบ้านสกุลสวี่นั้น ไม่นับรวมเงินส่วนตัวที่สวี่ชีอันซ่อนอยู่ในเศษของหนังสือปฐพี
เงินของทางการ ทองแท่ง และสมบัติล้ำค่าที่เฉากั๋วกงสะสม มากพอที่จะกองเป็นภูเขาลูกเล็กๆ
ซูซูทำเสียง “หึหึ” สองครั้ง แล้วพูดไม่หยุดว่า “ดังนั้น ถ้าต่อไปจะต้องดูแลการเงินในบ้าน ก็ต้องเป็นภรรยาของสวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนดูแล”
สวี่หลิงเยวี่ยตวัดสายตาที่แหลมคม แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเช่นนั้นแม่นางซูซูคิดว่า ในบรรดาคนที่เจ้ารู้จัก ใครคู่ควรกับพี่ใหญ่ของข้ามากที่สุด”
ซูซูหลบเลี่ยงคำถามเอาเป็นเอาตายของสวี่หลิงเยวี่ยได้อย่างแยบยล พึมพำว่า
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร พี่ใหญ่ของเจ้าเจ้าชู้ประตูดิน ยอมจ่ายเงินแปดพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวคณิกาของสำนักสังคีต…”
คำพูดนี้ตรงไปตรงมาจนทำให้สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกเจ็บปวด
สวี่หลิงเยวี่ยคนนี้ กำลังสงสัยว่าซูซูมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับพี่ใหญ่ของนาง สัญชาตญาณไวมาก…ซูซูก็ไม่เลวเช่นกัน โต้กลับด้วยเรื่องเงินแปดพันตำลึงเพื่อเสียดแทงหัวใจสวี่หลิงเยวี่ย…เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์นั่งอยู่ข้างๆ กินขนมดูการแสดงอย่างสบายใจ
สวี่หลิงอินกินขนมในห้องของพี่สาวอยู่สักพัก สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดนางฟังไม่เข้าใจ แต่รู้สึกน่าเบื่อ ดังนั้นจึงหยิบไม้บรรทัดสำหรับตัดผ้าวิ่งออกไป โบกไม้บรรทัดไปมาในลานบ้าน ส่งเสียงฮู่ๆ ฮ่าๆ ราวกับตัวเองเป็นจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพ
เล่นไปตลอดทางจนถึงประตูจวนสกุลสวี่ เมื่อเห็นประตูกลางที่เคยปิดอยู่เปิดออก สวี่หลิงอินจึงโยนไม้บรรทัดทิ้ง ปีนขึ้นไปบนธรณีประตูสูงแล้วกางแขนออกแล้วเล่นทรงตัวอยู่บนนั้น
“หลิงอิน รีบกลับ รีบกลับ เดี๋ยวจะมีแขกมา”
เหล่าจางคนเฝ้าประตูโบกมือ
สวี่หลิงอินยืนอยู่บนธรณีประตู พยายามทรงตัว เอียงศีรษะแล้วถามว่า “ภรรยาของพี่รองใช่หรือไม่”
“…” เหล่าจางคนเฝ้าประตูไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จึงโบกมืออีกครั้ง
ทันทีที่สวี่หลิงอินเอียงศีรษะ ก็ตกลงมาจากธรณีประตูสูง นางปัดก้น แล้ววิ่งหนีไปอย่างร่าเริง
…
อีกด้านหนึ่ง เสียงล้อรถดังกึกกึก รถม้าคันหรูของหวางซือมู่ค่อยๆ จอดตรงประตูจวนสกุลสวี่
สาวใช้หยิบเก้าอี้ออกมาจากใต้รถม้า แล้วรับคุณหนูลงจากรถ
หวางซือมู่เหลือบมองไปที่ประตูจวนสกุลสวี่ แล้วพยักหน้าเบาๆ แม้ว่าจะสู้บ้านสกุลหวางที่ได้รับพระราชทานไม่ได้ แต่บ้านขนาดใหญ่ในเขตเจริญของเมืองชั้นในเช่นนี้ นับว่ากำลังทรัพย์บ้านสกุลสวี่นั้นมีมากมายทีเดียว
หลังจากดูแลการเงินของจวนสกุลสวี่มาหลายปี หวางซือมู่มองเพียงปราดเดียว ก็ประเมินได้ว่าบ้านหลังนี้มูลค่าอย่างน้อยก็สูงถึงเจ็ดพันตำลึง
เมื่อเหล่าจางคนเฝ้าประตูรู้ว่าแขกผู้มีเกียรติมาถึง ก็รีบกุลีกุจอไปต้อนรับ นำหวางซือมู่และสาวใช้คนสนิทเข้าไปในจวน
หวางซือมู่สูดหายใจลึก ปรับอารมณ์ เดินข้ามธรณีประตู…
ทันใดนั้น เท้าของหวางซือมู่ก็เหยียบอะไรบางอย่าง เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นเป็นไม้บรรทัดอันหนึ่ง
‘ไม้บรรทัดเป็นสัญลักษณ์ของกฎระเบียบ นายหญิงของบ้านสกุลสวี่ ทิ้งไม้บรรทัดไว้ที่ประตู เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตรียมไว้สำหรับข้า นี่เท่ากับต้องการสร้างกฎระเบียบให้ข้า…’ สีหน้าของหวางซือมู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในใจคิดว่านายหญิงของบ้านสกุลสวี่นี้ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เหลือเกิน อยู่ร่วมกันยากจริงๆ
สาวใช้เห็นนางหยุดเดิน จึงถามว่า “คุณหนู เป็นอะไรไปปเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร” หวางซือมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม้บรรทัดตกอยู่ตรงนี้ เก็บขึ้นมา แล้วนำไปคืนให้เขาด้วย”
‘ไม่แน่ว่าจะเป็นการเตือน บางทีนายหญิงบ้านสกุลสวี่อาจจะต้องการหยั่งเชิงข้า ท่านพ่อของข้าเป็นถึงสมุหราชเลขาธิการ หากแต่งงานกับเอ้อร์หลางจริงๆ ก็เท่ากับเป็นการแต่งงานกับคนที่มีฐานะทางสังคมที่ต่ำกว่า นางเกรงว่าข้าจะเป็นคนหยิ่งยโสชอบหาเรื่องวิวาท ดังนั้นจึงโยนไม้บรรทัดไว้เพื่อเป็นการหยั่งเชิง’
‘หากข้าเป็นบุตรีที่ดื้อรั้นและเอาแต่ใจจริงๆ ก็ต้องมีนิสัยเดือดดาล แต่ข้าไม่ได้เป็นคนที่มีความคิดตื้นเช่นนั้นอย่างแน่นอน…’
วันนี้นางไม่คิดที่จะต่อสู้กับนายหญิงของบ้านสกุลสวี่ อย่างที่กล่าวกันว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” วันนี้นางมาเพื่อสอดแนมข่าว
‘ทำความเข้าใจกลอุบายและนิสัยของนายหญิงบ้านสกุลสวี่ให้ดีก่อน จึงจะสามารถตัดสินใจวิถีทางในการอยู่ร่วมกันในอนาคตได้ ดูท่าทางนายหญิงท่านนั้นจะคิดเหมือนนาง ต่างกำลังหยั่งเชิงกัน’
ช่างเป็นยอดฝีมือจริงๆ
คนเฝ้าประตูเหล่าจางนำแขกผู้มีเกียรติเดินเข้าไปข้างใน พร้อมกับให้คนรับใช้ในจวนไปรายงานคุณหนูหลิงเยวี่ย
หวางซือมู่เดินผ่านลานชั้นนอก เข้าไปสู่ลานชั้นใน บังเอิญเห็นสวี่หลิงเยวี่ยยิ้มออกมาต้อนรับ
น้องสาวของบ้านสกุลสวี่สวมกระโปรงยาวสีชมพูรากบัว เกล้ามวยผมแบบเรียบๆ สง่างาม โครงหน้ารูปไข่งดงามสุภาพ ใบหน้าดูมีมิติมาก แต่กลับดูบอบบางจนทำให้ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ทะนุถนอม
“พี่หวาง หลังงานชุมนุมวรรณกรรมครั้งก่อน ก็ไม่มีเวลาชวนพี่มาเป็นแขกที่จวนเลย ในที่สุดวันนี้ก็สมหวังแล้ว” รอยยิ้มของสวี่หลิงเยวี่ยสดใสอ่อนหวาน
“พูดขึ้นมาแล้ว เมื่อครั้งงานชุมนุมวรรณกรรมทำให้น้องตกลงไปในน้ำ พี่ก็รู้สึกไม่สบายใจมาตลอด” รอยยิ้มของหวางซือมู่สง่างามอ่อนโยน
ผู้หญิงสองคนจับมือกัน ราวกับเป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดอง สนิทสนมกลมเกลียว
เมื่อเข้าไปในห้องโถงชั้นใน ในที่สุดหวางซือมู่ก็ได้พบกับนายหญิงของบ้านสกุลสวี่ที่เล่าลือกัน นางนั่งยิ้มอยู่ที่ที่นั่งตำแหน่งเจ้าของบ้าน มองดูนางด้วยแววตาเมตตาปรานี
นางงดงามมาก โครงหน้าหน้ารูปไข่ ใบหน้าวิจิตรงดงาม แวบแรกที่เห็น ไม่เหมือนแม่ของสวี่หลิงเยวี่ยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนพี่สาวมากกว่า
ความงามของนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ท่านนี้ หวางซือมู่รู้สึกทั้งประหลาดใจและไม่ประหลาดใจ เพราะดูแค่สวี่หลิงเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ และสวี่เอ้อร์หลางผู้เป็นที่รัก ก็สามารถคาดเดาความงามของนายหญิงคนนี้ได้
สิ่งที่นางแปลกใจก็คือนายหญิงท่านนี้ดูแลตัวเองดีมาก ดูไม่ออกเลยว่าเป็นแม่ลูกสาม
“สวี่ฮูหยิน!”
หวางซือมู่ทำความเคารพด้วยกิริยางดงาม
“คุณหนูหวางไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่งก่อน”
อาสะใภ้ยิ้มอย่างสำรวม แสดงเจตนาให้หวางซือมู่นั่งลง
แน่นอนว่านางจะแสดงท่าทีกระตือรือร้นมากเกินไปไม่ได้ เพราะนี่คือว่าที่ลูกสะใภ้ ดังนั้นตนเองจึงต้องมีมาดแม่สามีบ้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง