ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 437

บทที่ 437 หมายเลขหนึ่งเป็นฝ่ายริเริ่ม

จงหลีเงยหน้าขึ้น เอียงศีรษะ คิดไม่นาน กล่าว “ภูมิลักษณ์ก็เหมือนกับเส้นลมปราณของมนุษย์ เส้นทางของภูเขาและแม่น้ำต่างได้รับผลกระทบจากภูมิลักษณ์”

หยุดสักพักก็กล่าวต่อ “ภูมิลักษณ์เป็นคำที่เรียกรวมๆ แบ่งเป็นสิบสองประเภท จับคู่กับสิบสองเส้นลมปราณหลักของร่างกายมนุษย์ มันอยู่ในวิชาฮวงจุ้ยที่สำคัญที่สุด ดินแดนที่มีภูมิลักษณ์จึงจะเป็นทำเลทองตามหลักฮวงจุ้ย โดยเฉพาะการสร้างบ้านและเลือกสุสานถือเป็นภูมิลักษณ์หลัก…”

สวี่ชีอันฟังจนรู้สึกชาที่หนังศีรษะ กล่าวกระชับหน่อย พลางตอบกลับในกลุ่มหนังสือปฐพี ‘ภูมิลักษณ์ก็เช่นเดียวกับเส้นลมปราณของมนุษย์ ที่มีปฏิกิริยากับสิบสองเส้นลมปราณหลัก’

จบ

เหล่าคนของพรรคฟ้าดินรอมาครึ่งค่อนวัน ไม่ได้ดูถึงตอนจบ เงียบลงมาสักพักแล้ว นี่เท่ากับว่าไม่ได้กล่าวอะไร

ทว่าสวี่ชีอันนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นช่วงที่จะซื้อบ้านและพาฉู่ไฉ่เวยไปดูฮวงจุ้ย ในบ่อน้ำบ้านสกุลสวี่มีผีสาวอยู่ตัวหนึ่ง และเป็นวิญญาณที่ไม่สามารถอยู่บนโลกมนุษย์ได้เพียงลำพัง

ตอนฉู่ไฉ่เวยลงไปตรวจสอบบ่อน้ำ ค้นพบใต้บ่อมีชีพจรหยินอยู่หนึ่งสาย

ชีพจรหยินเมื่อคิดดูแล้วก็คือลักษณะพื้มภูมิประเภทหนึ่ง

คิดมาถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ถามขึ้นอีก “ศิษย์พี่จง ในเขตพระราชฐานมีภูมิลักษณ์หรือไม่?”

จงหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เขตพระราชฐานแน่นอนว่ามีภูมิลักษณ์ ชื่อของมันคือชีพจรมังกร”

ไม่รอให้สวี่ชีอันไล่ถาม นางก็อธิบายอย่างใส่ใจ

“ชีพจรมังกรคือส่วนขยายของโชคชะตา หกปีก่อน ต้าฟ่งสร้างเมืองหลวงในพื้นที่แห่งนี้ ภูมิลักษณ์ของเมืองถูกหล่อเลี้ยงด้วยความสิริมงคล ได้รับการปลุกเสกเบิกเนตรโชคชะตาของประเทศ และพลังปณิธานของประชาชน เวลานานเข้า ก็จะกลายเป็นชีพจรมังกรแล้ว”

ชีพจรมังกรคือรูปแบบหนึ่งของภูมิลักษณ์ แต่ชีพจรมังกรก็เป็นส่วนขยายของโชคชะตาด้วย…สวี่ชีอันกล่าวอย่างครุ่นคิด “ชีพจรมังกรมีหน้าที่อะไรหรือ”

จงหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด

”ก็เช่นเดียวกับฮวงจุ้ยสุสานบรรพบุรุษหากถูกทำลาย ก็จะกระทบถึงคนรุ่นหลังได้ ชีพจรมังกรและดาบสยบดินแดนมีผลลัพธ์เหมือนกัน ที่จะกดโชคชะตาทั้งประเทศไว้ ปลายปีราชวงศ์ต้าโจว เฉียนจงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ นำความแค้นเคืองของประชาชนเข้าสู่เมืองต้าโจว โดยใช้ความตายเป็นเดิมพัน พุ่งชนโชคชะตาสุดท้ายของราชวงศ์ต้าโจว สิ่งที่เขาพุ่งชน ก็คือชีพจรมังกร

“มีสุภาษิตบทหนึ่งในหมู่พวกเราเหล่าโหร ผู้ที่ได้ชีพจรมังกรคือผู้ที่ได้ครองแผ่นดิน”

ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่รู้สึกเหมือนน่าเกรงขามยิ่ง…สวี่ชีอันส่งสาร ‘มีชีพจรมังกรในเขตพระราชฐาน’

จากนั้นจึงถามจงหลีอีกว่า “เจ้าสามารถจัดการกับชีพจรมังกรได้หรือไม่?”

จงหลีงงเป็นเวลานาน กล่าวอย่างอ่อนแรง “ชีพจรมังกรกดโชคชะตาของประเทศไว้ แม้จะเป็นท่านโหราจารย์ก็ไม่กล้าแตะต้องมันอย่างง่ายดาย”

สวี่ชีอันรายงานลักษณะของชีพจรมังกรให้ทุกคนในพรรคฟ้าดินทราบอีกครั้งโดยทันที

ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างวิเคราะห์ ‘หากแม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ไม่กล้าแตะต้องมันอย่างง่ายดาย เช่นนั้นสายลับของไหวอ๋องยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะยืมลักษณพื้นภูมิเพื่อหลบหนี ความคิดของข้าผิดพลาดแล้ว?’

การคาดเดาตกอยู่ในภาวะแช่แข็ง ที่แม้แต่สวี่ชีอันก็ยังไม่มีความคิดเห็นชั่วคราว

ในเวลานี้ ทันใดนั้นหมายเลขหนึ่งก็กล่าวขึ้นมา ‘เรื่องของเหิงหย่วนข้าจะตรวจสอบเอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า พวกเจ้าใครก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว’

เอ๋ หมายเลขหนึ่งเป็นฝ่ายริเริ่มเช่นนี้ ช่างไม่เข้ากับนิสัยของเขาหรือนางเอาเสียเลย…สวี่ชีอันตกตะลึง

ในบรรดาผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หมายเลขหนึ่งเป็นคนที่ถ่อมตัว และมีสถานะที่ลึกลับที่สุด หมายเลขเจ็ด หมายเลขแปดไม่มีทางโผล่มาอย่างมีสาเหตุแน่ มีเพียงหมายเลขหนึ่งคนเดียวที่น้อยครั้งจะโผล่มา เข้าร่วมอภิปรายน้อยครั้ง กลับกดเข้าและออกไป

ไม่เคยออฟไลน์มาเจอหน้าผู้ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น สมาชิกพรรคฟ้าดินต่างรู้สึกถึงความผิดปกติ การริเริ่มอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ ไม่เข้ากับสไตล์ตามปกติของหมายเลขหนึ่งเลย

หมายเลขหนึ่ง ‘ในพรรคฟ้าดิน นอกจากข้า ไม่มีใครสามารถเข้าเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระ ส่วนข้าสามารถหาทางเข้าราชวังได้ ไม่ว่าจะเป็นเหิงหย่วนหรืออุโมงค์ ข้าก็มีความได้เปรียบ และปลอดภัยมากกว่าพวกเจ้า

แน่นอน หากต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะขอความช่วยเหลือแน่ หวังว่าทุกท่านจะไม่ปฏิเสธ’

เหตุผลนี้มีความสมเหตุสมผล และง่ายที่จะทำให้ทุกคนยอมแพ้ แต่ทำให้สวี่ชีอันและคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความ โล่งอก

แท้จริงแล้ว เขตพระราชฐานและราชวังในตอนนี้ สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นสถานที่ต้องห้าม ถึงแม้สวี่ชีอันจะสามารถแอบเข้าเขตพระราชฐานได้ ก็แค่เป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายฮว๋ายชิ่งและหลินอันเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขที่จะขยับได้ตามลำพัง

‘เป็นการดีที่จะหยิบยืมโอกาสในครั้งนี้ หยั่งเชิงความสามารถของหมายเลขหนึ่ง รวมถึงสถานะของเขา’…ฉู่หยวนเจิ่นคิดในใจ

‘หมายเลขหนึ่งสามารถเข้าเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระ ส่วนจะสามารถหาทางเข้าพระราชวังได้ นี่ก็เห็นได้ชัดว่าสถานะของเขาสูงมาก เป็นหนึ่งในองค์ชาย? องค์ชายผู้สืบสายพระโลหิตหรือขุนนางสำคัญ?’ หลี่เมี่ยวเจินแอบคาดเดา

‘ฟู่ เรื่องของไต้ซือเหิงหย่วนในที่สุดก็มีคนรับช่วงต่อเสียที เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว นอนได้นอนได้’…ลี่น่าคิดอย่างมีความสุข

สองวันต่อมา การนับจำนวนครั้งในการอภิปรายของคณะทูตปีศาจกับราชสำนักยังไม่มีบทสรุป ทั้งสองฝ่ายไม่ได้บรรลุข้อตกลงกันในขณะนั้น

สวี่ชีอันอยู่ห่างไกลจากศาล และไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สองวันมานี้เขาเอาแต่แอบมาหลบในจวนเล็กของคนตายเงียบๆ เหตุผลก็คือหลังจากเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรม ปัญญาชนจากทุกสารทิศต่างเดินทางมายังบ้านสกุลสวี่เพื่อส่งบัตรเชิญไม่หยุด

มีบางคนต้องการเยี่ยมเขา บ้างก็อยากนัดเขาเพื่อไปดื่มสุรา บ้างก็อยากจะยกหญิงสาวหรือน้องสาวให้แต่งงานกับเขา แถมยังแนบสี่เสาแห่งโชคชะตามาด้วย

ช่วงพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ ชื่อเสียงของสวี่ชีอันได้แพร่กระจายไปทั่ว แต่ปัญญาชนยังคงมีอคติต่อเขาอยู่ ไม่ได้ปฏิบัติเช่น ‘คนกันเอง’ อย่างสิ้นเชิง

หลังคดีการสังหารหมู่ฉู่โจว จ้าวโส่วประกาศต่อสาธารณชนในศาลว่าสวี่ชีอันเป็นน้องชายเขา สวี่ชีอันจึงกลายเป็น ‘คนกันเอง’ ในสายตาของปัญญาชนอย่างเป็นทางการ แต่ทว่าตอนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งโมโหในครั้งนั้น ไม่มีใครกล้าตีสนิทกับสวี่ชีอันเท่านั้น

หลังความวุ่นวายของงานชุมนุมวรรณกรรม สวี่ชีอันก็กลายเป็นที่ชื่นชอบ

ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาเล็ก เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถรอเฉยๆ อยู่ที่บ้านอย่างแท้จริงก็คือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนของสำนักอวิ๋นลู่

วันก่อน เสียงลมดังมาก เปลือกตาของสวี่ชีอันกระตุกอยู่ตลอด

เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วมา สวมชุดขงจื๊อที่ถูกซักจนเป็นสีขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่งกายเหมือนปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่

สวี่ชีอันนำอาจารย์ในนามเข้าไปในห้องโถงด้วยความเคารพ รินน้ำชาชั้นดีให้ หลังจากพูดคุยกัน จ้าวโส่วก็ถาม “นึกไม่ถึงว่าหนิงเยี่ยนจะเก่งกาจด้านการทหาร เช่นนั้นยังมีต้นฉบับตัวเขียนอื่นอีกหรือไม่”

จ้าวโส่วมาอ่านตำรา เขาต้องการถือโอกาสนำตำราเก็บไว้ในหอเก็บตำราของสำนักศึกษา

ไม่มีต้นฉบับตัวเขียน แต่ช่วงนี้อดไม่ได้ที่คิดแต่จะเร่งมือเขียน…สวี่ชีอันที่ไม่ได้เข้าใกล้หญิงสาวมาสี่เดือนแล้ว ปฏิเสธจ้าวโส่วอย่างน่าเสียดาย

ในเวลานี้ นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น หลี่มู่ไป๋ เฉินไท่ ก็เข้ามาเยี่ยมด้วยกัน

เมื่อเห็นเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามต่างมองแบบดูถูก

จางเซิ่น “ไอ้โจรขโมยกวี!”

เฉินไท่ “ไอ้หัวขโมย!”

หลี่มู่ไป๋ “ไอ้โจรไร้ยางอาย!”

ทั้งสามพูดพร้อมกัน “ถุย!”

จากนั้นเจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วก็โกรธจัด เปล่งเสียงร่ายเวท สะบัดแขนเสื้อ “ถอยกลับไปหนึ่งร้อยลี้”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามสะบัดแขนเสื้อ “ไม่ถอย!”

“ถอยกลับไปหนึ่งร้อยลี้”

“ไม่ถอย”

“ถอยกลับไปหนึ่งร้อยลี้”

“ไม่ถอย”

ในการประลองฝีมือวรยุทธ์ที่บุกเบิกรูปแบบใหม่ของสนามแห่งนี้ สวี่ชีอันก็แอบออกจากบ้านสกุลสวี่ไปแล้ว เมื่อเดินไปและหันกลับมา เห็นแจกันที่อาสะใภ้วางไว้แตกกระจายอยู่ที่พื้น

เห็นสวี่หลินอินเข้าร่วมสนามรบ ยืนอยู่ข้างๆ ‘ทุยๆๆ…’

หลี่เมี่ยวเจินช่วยยายเด็กโง่เขลาออกมาอย่างสุดชีวิต มิฉะนั้นนางก็คงถูกส่งออกไปหนึ่งร้อยลี้แล้ว

การใช้ชีวิตของพระมเหสีผ่านไปอย่างชุ่มฉ่ำ ไม่ใช่ร่างกายที่ชุ่มฉ่ำ แต่เป็นจิตใจ

มีอิสรเสรี เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย การเดินทางไม่มีขาดแคลน สวี่ชีอันมักจะไปเที่ยวตลาด กินขนมหวาน ชมการแสดงงิ้วเป็นเพื่อนนางอยู่บ่อยๆ

รากบัวเก้าสีเจริญงอกงามอย่างดีเยี่ยม มันเริ่มที่จะแตกหน่อและเติบโตขึ้นเล็กน้อย สวี่ชีอันคาดหวังว่ามันจะใหญ่กว่าของนักบวชเต๋าจินเหลียนรากนั้น

ท้องฟ้าในยามพลบค่ำนี้ หลังจากที่สวี่ชีอันปลอมตัวที่หอคณิกา และขี่แม่ม้าน้อยสุดที่รัก กลับบ้านสกุลสวี่ไป

ช่วงอาหารเย็น อาสะใภ้ปกล่าว “ข้าให้หลิงเยวี่ยเชิญคุณหนูบ้านสกุลหวางมาเป็นแขกในจวนวันมะรืนนี้ ชายที่อยู่บ้านอย่าลืมที่จะหลบหลีกกันด้วยเล่า นอกจากนี้ มารยาทที่พึงมีก็ต้องมีบ้าง

“ว่าเจ้า ว่าเจ้าอยู่นะ สวี่หลินอิน เจ้านี่แหละที่ไร้มารยาทที่สุด”

สวี่หลินอินที่กินไม่มีความสำรวมเสียนิดเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างสงสัย “เช่นนั้นท่านอาจารย์และพี่สาวเมี่ยวเจินมาเป็นแขกที่จวน ข้าก็เป็นเช่นนี้ เหตุใดไม่เห็นท่านแม่ว่าข้าไร้มารยาทเล่า?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง