บทที่ 436 งานอภิปรายของพรรคฟ้าดิน
สวี่ชีอันเอียงศีรษะ มองเห็นดวงตาดอกท้อที่เป็นประกายคู่หนึ่ง ช่างมีเสน่ห์ งดงาม เป็นดวงตาที่ทำให้น่าหลงใหลยิ่งนัก
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ยิ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของใบหน้า หญิงสาวที่สามารถทำให้ยากที่จะลืมได้ โดยปกติมักจะมีดวงตาที่มีออร่าเปล่งประกายออกมา
หลินอันมีดวงตาดอกท้อที่งดงาม แต่เมื่อนางจ้องมองมาที่เขา ดวงตาจะขมุกขมัว ด้วยเหตุนี้จึงมีเสน่ห์และน่าหลงใหลเป็นพิเศษ
เมื่อถูกดวงตาเช่นนี้มองมา เขาก็จะอดใจไม่ไหวที่จะหยอกเย้านาง และยินยอมมอบหัวใจของตนเองให้แก่นาง
เดิมทีสวี่ชีอันที่ตั้งใจจะหยอกล้อนาง กลับเปลี่ยนใจ หัวเราะเสียงเบา “เปล่า ตำราพิชัยสงครามข้าเป็นคนเขียนเอง ไม่เกี่ยวกับเว่ยกง”
ยายตัวร้ายยิ้มอย่างประหลาดใจออกมา นางได้รับคำตอบที่พึงพอใจแล้ว และพึงพอใจอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องโกหกฮว๋ายชิ่งด้วยเล่า”
หลินอันกระโดดต๊อกๆ กระโปรงสีแดงราวกับคลื่นไฟที่โหมซัดสาด
“เพราะองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป สิ่งที่นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ยากจะล้มล้างและเปลี่ยนแปลง และเมื่อก่อนข้าไม่เคยแสดงความรู้ใดๆ เกี่ยวกับวิชายุทธ์มาก่อน นางคงคิดว่าตำราพิชัยสงครามเขียนมาจากเว่ยกง ความจริงแล้วก็สมเหตุสมผล”
สวี่ชีอันกล่าวอธิบาย
“อีกอย่างถึงนางจะไม่เชื่อเจ้า แต่ข้าเชื่อเจ้ามาก ไม่ว่าเจ้าพูดอะไรข้าก็จะเชื่อ” หลินอันพึมพำอย่างภาคภูมิใจ
ความไร้เดียงสาก็ยังมีข้อดีของมันอยู่…สวี่ชีอันคิดในใจ
หากพบเจอคนดีเช่นเขาแบบนี้ หญิงสาวที่ไร้เดียงสาคงมีความสุข แต่หากพบเจอกับผู้ชายสารเลว หัวใจของหญิงสาวที่ไร้เดียงสาก็จะถูกผู้ชายสารเลวแทะโลม
สวี่ชีอันที่ไม่เคยล้อเล่นกับหัวใจของหญิงสาว เขากลับยิ่งชื่นชอบเรือนร่างของหญิงสาวมากกว่า
ก่อนออกจากเขตพระราชฐาน สวี่ชีอันก็หันกลับไปมอง เห็นราชวังที่ยิ่งลึกลงไปอีก
หากโลกภายนอกมีเส้นทางลึกลับที่นำไปสู่วังหลวงจริงๆ เช่นนั้นจะเป็นที่ใด?
ไต้ซือเหิงหย่วนพบความลับอะไรบางอย่างอีกครั้ง คนที่บังคับจักรพรรดิหยวนจิ่งก่อเรื่องเสียเป็นเรื่องราวใหญ่โตถูกจับกุม
…
บนเวทีภายนอกราชวิทยาลัยหลวง มีบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสีขาวยืนอยู่บนนั้น อธิบายอย่างสมจริงสมจัง ถึงองค์ความรู้ในการประชุมในครั้งนี้จนน้ำลายกระเด็น
“คนของแดนเหนือนั้นชื่อเผยหม่านซีโหลวมีความรู้อย่างมาก โต้วาทีกับเหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ถึงหลักพระคัมภีร์และนโยบายทางการเมือง อย่างไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง เมื่อเหล่าขุนนางที่มีตำแหน่งสูงของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหมดหนทาง ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น จางจี่เหยียนของสำนักอวิ๋นลู่ก็มาถึง…”
ด้านล่างเวที กลุ่มคนฟังด้วยความเพลิดเพลิน เวลานี้ก็ถอนหายใจในที่สุด และพากันหัวเราะกล่าว
“เมื่อปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่มา เช่นนั้นเพราะมั่นใจเกินไป คนของแดนเหนือนั่นจะหยิ่งผยองไม่ออกเชียวหรือ”
“ใช่ ใครไม่ทราบบ้างว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่มีความรู้สูงส่ง สูงเหมือนกับหอดูดาว”
บัณฑิตสวมชุดขงจื้อที่อยู่บนเวทีส่ายหน้า กล่าวอย่างจนใจ “ไม่ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็แพ้เช่นกัน ใครจะคิดว่าคนของแดนเหนือนั่นจะหยิบตำราพิชัยสงครามเล่มหนึ่งออกมา หลังจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นเห็น ถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ”
ประชาชนที่อยู่ด้านล่างเวทีโมโหไม่หยุด และโกลาหลอย่างดุเดือด
“แม้แต่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็พ่ายแพ้?”
“แพ้ให้กับคนจากแดนเหนือจริงๆ หรือ ช่างน่าชิงชังนัก ปัญญาชนต้าฟ่งต่างไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์”
“น่าโมโหยิ่งนัก มากกว่าสมณทูตสำนักพุทธของปีที่แล้วเสียอีก”
ประชาชนในตลาดด่าทออย่างไม่สนใจอะไร
บัณฑิตที่อยู่บนเวทีทำท่ากดมือลง “ทุกคนใจเย็นๆ เอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งโวยวาย หากแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรมแล้ว เหตุใดข้าถึงยังยืนอยู่ตรงนี้อีกเล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่รวมตัวกันรอบๆ ไม่เพียงแต่ไม่เงียบเท่านั้น แต่กลับส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“เร็วเข้าเร็วเข้า อย่าอุบไว้”
“ปราชผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็แพ้แล้ว เช่นนั้นเป็นผู้ใดที่ชนะคนของแดนเหนือกันแน่?”
บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงยิ้มกล่าว “อย่ารีบร้อน ฟังข้ากล่าวต่อ เวลานั้น มีใต้เท้าหนุ่มของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินท่านหนึ่งยืนขึ้นมา บอกว่าต้องการโต้วาทีตำราพิชัยสงครามกับเผยหม่านซีโหลว ใต้เท้าหนุ่มท่านนี้ชื่อสวี่ซินเหนียน เป็นน้องชายของฆ้องเงินสวี่…”
เขาอธิบายอย่างสมจริงสมจังว่าสวี่ซินเหนียนหยิบตำราพิชัยสงครามออกมา และทำให้เผยหม่านซีโหลวชื่นชมด้วยความเลื่อมใสอย่างไร
หลังจากได้ยินเช่นนี้ คนรอบข้างก็ส่งเสียงเชียร์และปรบมือ อวดว่าพี่น้องต่างสุดยอดทั้งคู่ และชมว่าพี่น้องบ้านสกุลสวี่ทั้งสองต่างเป็นคนที่โดดเด่นไม่หยุด
บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงจงใจหยุด เพื่อดูผู้คนชมเชยสวี่ซินเหนียนอย่างน่าขยะแขยง รอจนพอได้ที่แล้ว เขาก็เปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน กล่าวเสียงดัง “พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าผู้ใดคือคนเขียนตำราพิชัยสงคราม?”
เหล่าชาวบ้านหยุด และมองเขาอย่างงุนงง
บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงกล่าวเสียงดัง “คือฆ้องเงินสวี่ ซือขุยฆ้องเงินสวี่ของพวกเราต้าฟ่ง”
ทุกใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและปีติยินดี
ต้องขอบคุณการยกย่องอย่างยิ่งใหญ่และการโฆษณาชวนเชื่อที่เหล่าบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงมีต่อสวี่ชีอัน ข่าวคราวที่สวี่ชีอันใช้ตำราพิชัยสงครามเล่มเดียว จนทำให้คนของแดนเหนือชื่นชมด้วยความเลื่อมใสแพร่ออกทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ประชาชนที่อยู่ในตลาดทั้งหลายไม่สนใจความรู้ของเผยหม่านซีโหลว เพียงทราบว่าระยะเวลาไม่กี่วันมานี้คนของแดนเหนือคนนี้ยิ่งผยองยิ่งนัก แม้แต่ราชวิทยาลัยหลวงต่างยอมแพ้
เดิมพวกเขาคาดหวังให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ออกหน้า และเอาชนะความเย่อหยิ่งของคนของแดนเหนือ สุดท้ายข่าวคราวที่แพร่กระจายกลับเป็น ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ก็พ่ายแพ้เช่นกัน
คนที่ได้ยินข่าวคราวนี้มีทั้งประหลาดใจทั้งโมโห รู้สึกเศร้าและเสียดายที่ไม่ได้สิ่งตามความคาดหวัง แต่หลังจากนั้น ราวกับเปลี่ยนจากโกรธเป็นยินดี ฆ้องเงินสวี่ให้น้องชายทำหน้าที่แทน หยิบตำราพิชัยสงครามออกมา ทำให้คนของแดนเหนือเลื่อมใสในพริบตาเดียว
ตำนานลึกลับของฆ้องเงินสวี่ ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งเรื่องแล้ว
นักเล่าเรื่องตบโต๊ะชมเปาะ ในที่สุดพวกเขาก็มีหัวข้อเรื่องใหม่แล้ว แม้เหล่าประชาชนต่างรู้สึกให้ความสนใจอย่างยิ่ง ต่อเรื่องราวพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ และเรื่องการต่อต้านกบฏแปดพันนายเพียงลำพัง แต่สุดท้ายก็ฟังซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน
ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถเล่าเรื่องที่ต่างออกไปได้แล้ว
…
สวี่ชีอันและหลินอันจากไปไม่นาน ฮว๋ายชิ่งก็ตามออกจากเขตพระราชฐาน นั่งรถม้าสุดหรูหราราคาแพงลิ่วมาถึงปากประตูที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว
หลังจากถ่ายทอดการรายงาน ฮว๋ายชิ่งก็ดึงกระโปรงขึ้น ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม เดินไปยังหอเฮ่าชี่ชั้นเจ็ดเพื่อพบเว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนยืนอยู่หน้าแผนที่คานอวี๋ จ้องอย่างพินิจ ไม่ได้หันกลับมา ยิ้มกล่าว “เหตุใดองค์หญิงจึงมีเวลาว่างมาหากระหม่อมที่นี่ได้”
ฮว๋ายชิ่งคารวะหนึ่งครั้ง เมื่อนางอยู่ต่อหน้าเว่ยเยวียน จะคิดว่าตนเองคือรุ่นหลังเสมอ และไม่หยิบเอาฐานะองค์หญิงมาเล่นตัว
“ข้ามาเพราะต้องการตำรา” เสียงของนางเย็นชา
เว่ยเยวียนหันกลับมาที่โต๊ะ หยิบพู่กัน กล่าว “กระหม่อมให้ตำราที่เขียนด้วยลายมือแก่องค์หญิงหนึ่งเล่ม พระองค์ต้องการตำราอะไรหรือ ไปหยิบเอาที่คลังเอกสารก็ได้”
ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกายด้วยความปรารถนา “ข้าต้องการตำราพิชัยสงครามเล่มนั้น เว่ยกง เจ้าเก่งกาจด้านการทหาร กลับไม่เคยเขียนเพื่อเผยแพร่เลย ช่างเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าเสียดายเสียจริง หากตอนนี้ตำราของท่านออกมาให้เห็น คงเป็นเกียรติของต้าฟ่ง”
เว่ยเยวียนส่ายหน้าช้าๆ และกล่าวอย่างอ่อนโยน “ตำราเล่มนั้นข้าไม่ได้เป็นคนเขียน”
ไม่ใช่? สีหน้าฮว๋ายชิ่งแข็งทื่อขึ้นทันใด ดวงตามองเว่ยเยวียนอย่างง่วงงุน ไม่นานนัก รูม่านตาของเธอก็กลับมาจดจ่ออีกครั้ง ความรู้สึกที่อยู่ในใจราวกับการสะท้อนของกระแสน้ำ
‘ตำราพิชัยสงครามนั้นสวี่ชีอันเป็นคนเขียนจริงๆ ด้วย เขาเก่งกาจด้านการทหารเช่นนี้ เหตุใดเมื่อก่อนจึงไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ แถมยังปิดบังอย่างล้ำลึกเช่นนี้’…
นางทั้งประหลาดใจ ทั้งคับแค้นใจเล็กน้อย สวี่ชีอันตั้งใจไม่อธิบาย และจงใจทำให้นางอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าเว่ยเยวียน
เว่ยเยวียนยิ้มกล่าว “บอกตามตรง ข้ามีความคิดอยากพาเขาลงสนามสู้รบเล็กน้อย อัจฉริยะเช่นนี้ ขัดเกลาไม่กี่ปี ต้าฟ่งก็จะมีผู้นำที่มีความสามารถอีกหนึ่งคน”
ฮว๋ายชิ่งยับยั้งอารมณ์ ฉีกยิ้มกล่าว “ลอบพาไปก็ได้”
เว่ยเยวียนหลับตา กล่าวเสียงเบา “ไม่พาไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง