บทที่ 435 ทุกฝ่าย
ทั่วทั้งสถานที่เงียบเชียบกระทั่งได้ยินเสียงเข็มหล่น หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ความตกใจและประหลาดใจอย่างขีดสุดก็ปะทุขึ้นในจิตใจของทุกคน จากนั้น เสียงแสดงความเห็นก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ความโกลาหลครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดๆ ก่อนหน้านี้มาก
หนังสือทางทหารที่สามารถโน้มน้าวเผยหม่านซีโหลวผู้ยโสโอหัง ทำให้จางเซิ่นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับตบโต๊ะชื่นชม กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ผลงานของสวี่ซินเหนียน แต่เป็นของบุคคลที่มีชื่อเกือบจะเป็นสิ่งต้องห้าม…
อดีตฆ้องเงินสวี่ชีอันเป็นผู้เขียน?
“ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้เขียนหนังสือทางทหาร นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…เขาไม่ใช่แม้แต่ปัญญาชน”
“ฆ้องเงินสวี่ เขาเป็นเพียงแค่ทหารคนหนึ่ง…”
แม้ว่าสวี่ชีอันจะไม่ได้รับตำแหน่งทางราชการแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคุ้นเคยในการเรียกเขาว่าฆ้องเงินสวี่
บรรดาบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงต่างก็ลุกฮือ ข้าพูดคำ เจ้าพูดคำ แสดงมุมมองและความคิดเห็นของตนเอง จนกระทั่งไม่สนใจฤกษ์อีกต่อไป
คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระและยากที่จะเชื่อ ไม่ใช่เพราะดูถูกสวี่ชีอัน แต่เพราะเรื่องราวไม่สมเหตุสมผล ทำให้ผู้คนตกใจ ทำให้ผู้คนสับสน ทำให้ผู้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เวลานี้เอง มีบัณฑิตในราชวิทยาลัยหลวงกล่าวเสียงดังว่า “พวกเจ้าอย่าลืมว่าฆ้องเงินสวี่เป็นนักกวี ตอนแรกใครจะไปคิดว่าเขาจะสร้างผลงานชิ้นเอกอันน่าทึ่งออกมาได้?”
คำพูดของเขาดึงดูดให้เหล่าบัณฑิตเห็นพ้องต้องกันในทันที ตะโกนเสียงดังสนั่น ราวกับต้องการพูดโน้มน้าวสหายร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่ไม่กล้าเชื่อ
“ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่ปัญญาชน แต่เขาแต่งกวีได้ แล้วทำไมจะเขียนตำรายุทธ์ไม่ได้? นอกจากนี้ พวกเจ้าลืมไปแล้วรึ ฆ้องเงินสวี่เคยผ่านสนามรบมาแล้ว ที่อวิ๋นโจววันนั้น เขาสกัดกั้นกองทัพกบฏกว่าแปดพันคนด้วยตัวคนเดียวจนแทบสิ้นลม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บัณฑิตคนอื่นๆ ก็นึกขึ้นได้เช่นกัน ใช่แล้ว ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยผ่านสนามรบมาก่อน เขาสกัดกั้นกองทัพกบฏนับพันที่อวิ๋นโจวด้วยตัวคนเดียว
“ฆ้องเงินสวี่คืออัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างแท้จริง”
“ใช่ ฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่ปัญญาชน ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากบนโลก”
“ช่างน่ารังเกียจ ทำไมคนเช่นนี้ถึงเดินบนสายวิทยายุทธ์ สวี่…ไม่ใช่มนุษย์แล้ว”
คำชมของบัณฑิตแห่งราชวิทยาลัยหลวงปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่งชั่วขณะ
แม้กระทั่งบัณฑิตที่อดกลั้นมานานก็ยังตะโกนยั่วยุเสียงดังว่า “เผยหม่านซีโหลว เจ้าพูดว่าเจ้าศึกษาเล่าเรียนด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ ช่างบังเอิญเสียจริง ฆ้องเงินสวี่ของพวกเราก็ศึกษาเล่าเรียนด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จเช่นกัน ข้าต้องยอมรับว่าเจ้ามีพรสวรรค์มาก แต่ยอดภูเขาสูงยังมีที่สูงกว่า และฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งของพวกเรา ก็คือยอดภูเขานั้นที่เจ้าไม่มีวันข้ามขึ้นไปได้”
ทุกคนคล้อยตามกันทันที
สีหน้าของเผยหม่านซีโหลวสงบนิ่ง ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
ชายหนุ่มที่มีรูม่านตาแนวตั้งกำหมัดแน่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก เขาอยากจะลงมือฆ่าปัญญาชนเหล่านี้ให้สิ้นเรื่อง แต่ก็พยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ
เขาใกล้บ้าแล้วกระมัง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เป็นไปด้วยดี ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามแผนของศิษย์พี่เผยหม่าน นอกจากปราชญ์ขงจื๊อผู้มีคุณธรรมสูงส่งที่มีจุดจบไม่ดีนักคนนั้น ไม่ว่าปัญญาชนคนใดที่นี่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์พี่เผยหม่านสักคน
สวี่ชีอันที่มาเพียงแต่ชื่อ และไร้ซึ่งการปรากฏตัว จู่ๆ ก็ขัดขวางแผนของศิษย์พี่เผยหม่านอย่างไม่คาดคิด ทำให้พวกเขาคว้าน้ำเหลว
หวงเซียนเอ๋อร์กัดริมฝีปาก แววตานุ่มลึกสั่นระริก ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
ผู้เขียนตำรายุทธ์กลับกลายเป็นพี่ใหญ่ของเขา สวี่ต้าหลางต้องมอบหนังสือพิสดารเช่นนี้ให้เขาแน่นอน สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องลึกซึ้งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มากนัก…หลังจากหวางซือมู่ตกตะลึงและไม่รู้สึกผิดหวัง ก็ทั้งรู้สึกลึกซึ้งและยินดีกับความสัมพันธ์ระหว่างเอ้อร์หลางกับพี่ชายใหญ่ของเขา
ลำพังความสามารถของเอ้อร์หลางเพียงคนเดียว เขาค่อนข้างดูอ่อนแอในสายตาของท่านพ่อ แต่หากมีพี่ชายใหญ่คอยสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง ท่านพ่อก็จะไม่ดูหมิ่นเอ้อร์หลาง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็ชายตามองท่านพ่อเล็กน้อย สมุหราชเลขาธิการหวางกำลังมองสวี่เอ้อร์หลางอย่างลึกซึ้งตามที่คาดไว้จริงๆ
หวางซือมู่แอบดีใจอย่างลับๆ นอกจากนี้ เรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมในวันนี้ ชื่อเสียงของเอ้อร์หลางก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ชั่วขณะนั้น ฮว๋ายชิ่งแทบอดใจไม่ไหวที่จะหันไปมองทหารรักษาพระองค์บางคนที่ด้านหลัง แต่นางควบคุมความปรารถนาในจิตใจของตนเองอยู่ ทำให้ลำคอแข็งและนั่งด้วยท่าทางที่เข้าใจยาก
ความอยากรู้อยากเห็นในจิตใจสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเข้าใจตำราพิชัยสงครามด้วยรึ? เขียนตำรายุทธ์? ตั้งแต่รู้จักเขามา ก็ไม่เคยเห็นเขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามเลยสักครั้ง หรือว่าเว่ยกงเป็นผู้เขียนหนังสือนั่น? และยืมมือเขาส่งมอบให้สวี่เอ้อร์หลาง…
องค์หญิงองค์โตผู้เฉลียวฉลาดนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น นางสงสัยว่าเว่ยเยวียนคือผู้เขียนตำรายุทธ์เล่มนี้
ฮว๋ายชิ่งเม้มริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องไปที่ตำรายุทธ์ในมือของจางเซิ่นอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่เยือกเย็นราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง แทบจะลุกไหม้ด้วยไฟปรารถนาใคร่รู้
เป็นหนังสือที่เขียนโดยสุนัขรับใช้…ยายตัวร้ายฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน ใบหน้ารูปไข่จุดประกายความสดใสให้กับโลกใบนี้ สวี่เอ้อร์หลางแสดงตัวออกมา นางก็รู้สึกโล่งใจ ในที่สุดก็มีคนที่สามารถปราบปรามคนเผ่าอนารยชนที่หยิ่งผยองได้ นอกจากนี้ ยังทำให้ไร้ความคับข้องใจอีกต่อไป
ทันทีที่ได้ยินว่าสวี่ชีอันเป็นผู้เขียนตำรายุทธ์ ยายตัวร้ายก็มีกำลังฮึกเหิมขึ้นมา จิตใจเบิกบานและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะผิดฤกษ์ นางก็คงจะเป็นเหมือนนกกระจอกตัวหนึ่ง ที่กระพือปีกบินร้องจิบๆ อยู่รอบตัวสวี่ชีอัน
มหาราชครูยกยิ้มด้วยความปลื้มปีติ ใบหน้าชราเบิกบานราวกับดอกไม้ “ต้าฟ่งของข้าคือเขตกำเนิดของอัจฉริยะบุรุษ ยังมีคนรุ่นหลังที่ทำให้ผู้คนรู้สึกทึ่งในความเก่งกาจ”
เขากล่าวแล้วก็มองไปที่จางเซิ่นที่ยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นประติมากรรม และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “จางจิ่นเหยียน ส่งตำรายุทธ์มาให้ข้าดู”
จางเซิ่นกลับมารู้สึกตัวทันที ก่อนจะส่งตำรายุทธ์ไปให้มหาราชครู
มหาราชครูกระชับไม้เท้า หลังจากกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ชายชราก็หรี่ดวงตาที่พร่าเลือนอ่านตำรายุทธ์เล่มนั้น
ไม่ถึงสิบห้านาที มหาราชครูที่อ่านไปเพียงสองบท จู่ๆ ก็ปิดหนังสือดัง ‘ปัง’ มือของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น และกล่าวด้วยความเคร่งขรึมว่า
“หนังสือเล่มนี้ไม่สามารถเผยแพร่ได้ ไม่สามารถให้เผ่าอนารยชนคัดลอกได้ นี่คือตำรายุทธ์ของต้าฟ่ง ย่อมไม่สามารถเผยแพร่สู่ภายนอกได้”
นี่…
ชั่วพริบตาเดียว บรรดาผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหาร บัณฑิตหัวกะทิของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แน่นอนว่ารวมทั้งฮว๋ายชิ่งและคนอื่นๆ ต่างก็มองตำรายุทธ์ที่อยู่ในมือของมหาราชครูด้วยความกระตือรือร้นและปรารถนามากขึ้นเรื่อยๆ
…
ขันทีหนุ่มวิ่งมาที่ประตูห้องบรรทมด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ แทนที่จะก้มศีรษะลงตามปกติ เขากลับมองเข้าไปด้านในด้วยท่าทีตื่นเต้น
แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นที่เดือดดาลอยู่ในจิตใจของเขา
ขันทีชราเหลือบตามองจักรพรรดิหยวนจิ่งที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิด้วยเนื้อตัวสั่นระริก ก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไปจากห้องบรรทมอย่างเงียบๆ และขมวดคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ขันทีหนุ่มกระซิบบางอย่างที่ข้างหู
ขันทีชราเบิกตาโพลงอย่างทันทีทันใดด้วยสีหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง เขาก้มศีรษะลง พลางกลับไปอยู่ข้างๆ จักรพรรดิหยวนจิ่ง และกล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อม…กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา และตอบรับง่ายๆ ว่า “อืม” ด้วยท่าทางไม่สนใจ
“มีสถานการณ์ใหม่เกิดขึ้นที่ฝั่งงานชุมนุมวรรณกรรมพ่ะย่ะค่ะ หลังจากจางเซิ่นยอมรับความพ่ายแพ้ ซู่จี๋ซื่อแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินสวี่ซินเหนียนก็แสดงตัวออกมา และโต้แย้งเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามกับเผยหม่านซีโหลวพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมตาขึ้น
ขันทีชรากล่าวต่อไปว่า “เผยหม่านซีโหลวยอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจพ่ะย่ะค่ะ”
จักรรรดิหยวนจิ่งมีท่าทีตกตะลึง ราวกับไม่เคยคาดคิดมาก่อน หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวช้าๆ ว่า “สวี่ซินเหนียนเป็นลูกศิษย์ของจางเซิ่น วิชาเอกคือตำราพิชัยสงคราม คิดไม่ถึงว่าเขาจะแตกฉานเช่นนี้ หาได้ยากจริงๆ ถึงแม้ลูกศิษย์คนนี้จะเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน แต่ก็เป็นซู่จี๋ซื่อของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เขาเอาชนะเผยหม่านซีโหลว ก็สามารถเป็นที่ยอมรับได้”
สวี่ชีอันเป็นคนริเริ่มที่จะลาออกจากราชการ แต่ต่อมาจักรพรรดิหยวนจิ่งก็มีพระราชกฤษฎีกากีดกันตำแหน่งบรรดาศักดิ์และตำแหน่งทางราชการของเขา ขับไล่เขาออกจากราชสำนัก
สวี่ซินเหนียนเป็นญาติผู้น้องของไอ้ทาสหมานั่น และตอนนี้ก็เอาชนะเผยหม่านซีโหลวได้แล้ว เมื่อคนนอกพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องพาดพิงถึงสวี่ชีอันที่มีความเก่งกาจอันท่วมท้นเหมือนกัน หลังจากนั้นก็จะกล่าวโทษว่าเขา ‘กดขี่’ ผู้จงรักภักดี
นี่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่เป็นผลดี
อย่างไรก็ตาม ฐานะซู่จี๋ซื่อของสวี่ซินเหนียนที่เขาเป็นคนแต่งตั้ง ก็เป็นเพราะสายตาที่เฉียบแหลมของเขาเช่นกัน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
กล่าวโดยรวมแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งค่อนข้างโล่งใจ เมื่อเทียบกับเรื่องซุบซิบนินทาที่พ่ายแพ้ให้กับเผยหม่านซีโหลว นั่นถึงจะเป็นการเสียหน้าอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง