บทที่ 434 งานชุมนุมวรรณกรรม (2)
แก่นของงานชุมนุมวรรณกรรมนี้ ที่แท้คือต้าฟ่งต้องการทำลายภาพลักษณ์ของเผยหม่านซีโหลว และบีบบังคับให้เขาพ่ายแพ้ยับเยิน
แต่วิธีการไม่ค่อยดีนัก ไอ้หมอนี่พูดจาฉะฉาน คารมคมคายมาก เข้ายึดครอง ‘สัจจะ’ ที่จำเป็นต้องส่งกองกำลังออกไป
ชั่วพริบตาเดียว สวี่ซินเหนียนก็พบว่าผู้บัญชาการทหารจำนวนมากมีท่าทีกระตือรือร้นที่จะลองดู ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ขมวดคิ้วและเงียบไป
ต่อให้จะรู้จักข้อบกพร่องของตนเองเป็นอย่างดี ผู้บัญชาการทหารที่เอาแต่ตำหนิผู้อื่นกลุ่มนี้ก็ยังจะประมาท และคิดจะโต้เถียง? แม้ว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์ในการนำทัพอย่างโชกโชน ก็เถียงสู้เผยหม่านซีโหลวไม่ได้ โธ่เอ๊ย ทหารหยาบคาย…
“ปกติตอนอยู่ที่ท้องพระโรง พวกขุนนางชั้นสูงเหล่านี้ปากคอเราะร้ายมากไม่ใช่รึ ตอนที่มหาราชครูตีมือข้า ก็สามารถอธิบายได้ไม่ใช่หรืออย่างไร เหตุใดไม่มีใครพูดอะไรเลย” ยายตัวร้ายกล่าวด้วยความวิตกกังวล
“มหาราชครูจะลงสนามได้อย่างไร เขาคือผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ลำดับอาวุโสต่างกันเกินไป ถึงแม้จะชนะก็ไม่สมศักดิ์ศรี ผู้คนจะพูดได้ว่าต้าฟ่งอาศัยอำนาจของผู้อาวุโสกลั่นแกล้งผู้น้อย ขุนนางชั้นสูงก็เช่นกัน นอกจากนี้ ถ้าขุนนางชั้นสูงลงสนาม ข้ากล้ารับประกันเลยว่า เผยหม่านซีโหลวจะมีความคิดริเริ่มที่จะแข่งขันด้านวิชาความรู้กับพวกเขาแน่นอน…”
เป็นเรื่องยากสำหรับฮว๋ายชิ่งที่จะอธิบายคำพูดมากมายให้น้องสาวที่โง่เขลาฟัง
“วิชาความรู้ของขุนนางชั้นสูง นอกจากปราชญ์มหาสำนักจำนวนหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ล้วนใช้การไม่ได้”
ยายตัวร้ายเบิกตาโพลง และบ่นพึมพำว่า “งั้นจะทำอย่างไรดี? ข้าโกรธจะตายแล้ว”
สีหน้าของบัณฑิตราชวิทยาลัยหลวงหนักอึ้ง บรรดาบัณฑิตหัวกะทิของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเช่นกัน สีหน้าของทุกคนดูไม่ดีอย่างยิ่ง
สมุหราชเลขาธิการหวางถอนหายใจ “ความฉลาดปราดเปรื่องของเผยหม่านซีโหลวน่าทึ่งมาก ทำให้ข้าประหลาดใจได้จริงๆ”
ท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของขุนนางหนุ่มแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินตอนที่เข้าสู่สถานที่ในตอนแรก ช่างแตกต่างกับท่าทีเงียบขรึมและเอาจริงเอาจริงในตอนนี้อย่างชัดเจน
หวางซือมู่หันไปมองสวี่เอ้อร์หลางบ่อยครั้ง และคาดหวังให้เขายืนแสดงตัวออกมา
สมุหราชเลขาธิการหวางสังเกตเห็นแววตาของลูกสาวจึงกล่าวว่า “เหตุใดวันนี้เอ้อร์หลางเงียบเช่นนี้เล่า?”
หวางซือมู่ขมวดคิ้ว
ในขณะที่ทุกคนกำลังน้ำท่วมปากและครุ่นคิดเกี่ยวกับมาตรการรับมือ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นเหนือทะเลสาบลู่ และจางเซิ่นที่สวมเสื้อคลุมขงจื๊อและมงกุฎขงจื๊อก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป
หลังจากนั้น เขาก็ตกลงมาที่พื้นผิวทะเลสาบ
แสงสว่างส่องประกายอีกครั้ง จางเซิ่นปรากฏตัวขึ้นในศาลาพักร้อน ท่าทางของเขายังหลงเหลือความกลัวอยู่เล็กน้อย
สิ่งที่เขาคุยโวโอ้อวดจะต้องเป็น สถานที่ที่ข้าอยู่ไม่ใช่สำนักอวิ๋นลู่ หรือทะเลสาบลู่ ดังนั้นจึงเกือบตกลงไปในทะเลสาบแล้ว…สวี่ชีอันวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดอยู่ในใจ
“ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางมาแล้ว”
“ในที่สุดท่านจางก็มา ข้ารู้ว่าท่านจางต้องไม่พลาด”
บรรดาศิษย์ที่อยู่รอบๆ ต่างโห่ร้องดีใจขึ้นมาด้วยความโล่งใจ
ขุนนางชั้นสูงหัวเราะขึ้นมา คนที่มีมิตรภาพกับจางเซิ่นต่างก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่จิ่นเหยียน ท่านมาแล้ว”
จางเซิ่นพยักหน้าด้วยความเฉยเมย เมื่อเห็นราชครู ก็รีบโค้งคำนับทันทีทันใด “ศิษย์จางเซิ่น คำนับมหาราชครูขอรับ”
มหาราชครูตอบรับ “อืม” ในที่สุดใบหน้าที่บึ้งตึงมาโดยตลอดก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “จางจิ่นเหยียน หนุ่มผมขาวท่านนี้ต้องการขอคำแนะนำเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามกับเจ้า เจ้าจงชี้แนะเขาเสีย”
บรรยากาศภายในศาลาพักร้อนครึกครื้นขึ้นอย่างกะทันหัน
จางเซิ่นมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่เผยหม่านซีโหลวผู้มีผมขาวราวกับหิมะ และกล่าวว่า “เจ้าคือเผยหม่านซีโหลว ผู้เขียนหนังสือพิธีเป่ยไจรึ?”
เผยหม่านซีโหลวยืนขึ้นเป็นครั้งแรก พลางโค้งคำนับและกล่าวว่า “ข้าทำความเคารพท่านจางของรับ”
จางเซิ่นโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องพิธีรีตองให้มาก เจ้าต้องการดวลตำราพิชัยสงครามกับข้ารึ?”
ในศาลาเงียบลงชั่วขณะ ทุกคนต่างก็มองฉากตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
หวงเซียนเอ๋อร์นั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง พลางจ้องปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ท่านนี้
ชายหนุ่มที่มีรูม่านตาแนวตั้งยับยั้งความเย่อหยิ่งของตนเองลง ยอดฝีมือระดับสี่ของระบบลัทธิขงจื๊อท่านนี้ คือ ‘ศัตรู’ ในงานชุมนุมวรรณกรรมครั้งนี้ของศิษย์พี่เผยหม่าน ถึงแม้เขาจะดูถูกปัญญาชน แต่ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ไม่อยู่ในขอบเขตของการถูกดูหมิ่น
แม้ว่าระบบลัทธิขงจื๊อจะเสื่อมโทรมมาเป็นเวลาหลายปี แต่อำนาจและความยิ่งใหญ่ยังคงอยู่
“ข้าความรู้น้อย รู้เพียงงูๆ ปลาๆ อยากให้ท่านชี้แนะด้วยขอรับ” รอยยิ้มของเผยหม่านซีโหลวทั้งอ่อนโยนและมั่นใจ ราวกับวางแผนมาเป็นอย่างดี
จางเซิ่นกลอกตาไปมาราวกับเบื่อหน่าย
“เจ้าทำตัวเป็นอันธพาลไม่ใช่รึไง ข้าไม่ได้นำทัพมายี่สิบกว่าปีแล้ว แทบจะลืมไปแล้วว่าสวมชุดเกราะนอนบนหมอนนั้นรู้สึกอย่างไร ข้าพูดไปพูดมาก็เป็นเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว เจ้าจะคุยเรื่องตำราพิชัยสงครามอะไรกับข้า ทำไมเจ้าไม่ไปหารือเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามกับเว่ยเยวียนล่ะ ตาเฒ่าผู้นี้นั่งบัญชาการอยู่ที่ท้องพระโรง มีบุตรในเงามืดอยู่ทุกที่ทั่วใต้หล้า วางแผนกลยุทธ์ตลอดยี่สิบปีไม่เคยหยุดนิ่ง รอวันที่การสะสมบรรลุผลและปะทุออกมา”
เผยหม่านซีโหลวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านกล่าวเช่นนี้ ก็ทำตัวเป็นอันธพาลเช่นกันไม่ใช่รึ?”
ชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งอดที่จะแทรกแซงไม่ได้ เขากล่าวด้วยความเย็นชาว่า “เหตุใดเจ้าไม่ปล่อยให้ศิษย์พี่เผยหม่านดวลกับท่านโหราจารย์เล่า”
คราวนี้ เผยหม่านซีโหลวไม่ได้ตำหนิชายหนุ่ม และถามด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นข้าจะไม่ขอคำแนะนำเกี่ยวกับตำราพิชัยสงคราม อันที่จริง ข้าชื่นชมตำราทางทหารของท่านมานานแล้ว ได้ยินว่าท่านเชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม ตำรากลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง และได้รับการยกย่องชื่นชมจากทุกคน หลังจากเรียนรู้จากตำราท่านแล้ว ข้าเองก็เขียนตำราทางทหารขึ้นมาเล่มหนึ่งเช่นกัน ตำราเล่มนี้ใช้เวลาเขียนหลายปี ไม่เพียงแต่ผสมผสานกับตำราพิชัยสงครามของเมืองหลวงเท่านั้น ยังมียุทธวิธีการทำสงครามของทหารม้าเผ่าอนารยชนอีกด้วย ขอท่านได้โปรดชี้แนะ”
ในขณะที่พูด ก็หันไปมองชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งที่อยู่ข้างๆ
เสวียนอินเปิดกล่องไม้ขนาดเล็กที่อยู่ข้างเท้า พลางหยิบตำราเล่มหนาที่มีชื่อว่า บันทึกทางทหารเป่ยไจ ออกมาจากกล่อง
ทางด้านต้าฟ่ง ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน ว่าบุคคลนี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม แต่ยังเขียนตำราทางทหารด้วย?
ปัญญาชนให้ความสนใจกับการเขียนชีวประวัติเสริมภาพลักษณ์ แม้แต่ผู้มีวิชาความรู้ขั้นสูง ก็ยังต้องรอบคอบในการเขียนตำราเป็นอย่างมาก ตำราหนึ่งเล่มมีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขเป็นเวลาหลายปี ถึงจะสามารถเผยแพร่สู่สาธารณะ และกระจายข่าวเป็นกว้างขวาง
สำหรับเรียงความหรือบันทึกบางส่วน อันที่จริงยังไม่นับว่าเป็น ‘ตำรา’ ในเวลานี้
ตัวอย่างเช่น สวี่ชีอันอ่านตำราต้าโจวเก็บข้อสงสัยที่สำนักอวิ๋นลู่ ก็คือบันทึกย่อ ยังเรียกว่าตำราไม่ได้
ดังนั้น ทุกคนจึงเชื่อครึ่งหนึ่ง สงสัยครึ่งหนึ่งสำหรับคำพูดของเผยหม่านซีโหลว
สีหน้าของมหาราชครูจมมืดลงอย่างเห็นได้ชัด
สมุหราชเลขาธิการหวางและผู้อาวุโสอื่นๆ ที่อยู่ในสถานที่ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไปตามๆ กัน และเริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ด้วยความเคารพต่อตำรา จางเซิ่นยื่นสองมือออกไปรับด้วยท่าทีเอาจริงเอาจัง สายลมในทะเลสาบพัดมาอย่างกะทันหัน หน้าตำราสั่นสะเทือนและพลิกผ่านอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของจางเซิ่นเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทุกคนที่อยู่ในสถานที่เห็นความตกตะลึง ตามด้วยความชื่นชม จนกระทั่งความตื่นเต้นในสายตาของเขา
เผยหม่านซีโหลวถามว่า “ท่านคิดว่า ตำราเล่มนี้เป็นอย่างไร?”
จางเซิ่นไม่ตอบในทันที เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ยอดเยี่ยม”
“ตำราเล่มนี้แบ่งออกเป็นสามตอน ตอนแรกคือยุทธวิธีในการทำสงคราม บรรยายว่าตำราพิชัยสงครามเป็นอย่างไร สงครามเป็นอย่างไร ต่อให้เป็นผู้ที่ไม่เคยผ่านสงครามมาก่อน ก็สามารถเข้าใจได้ว่าสงครามคืออะไร มีการจับจุดสำคัญและชี้สาระสำคัญออกมาแล้ว ตอนที่สองคือการกบฏ การยุทธไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว เฉกเช่นน้ำซึ่งหามีรูปลักษณะอันแน่นอนไม่ กองทัพที่สามารถชิงชัยตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของศัตรู คือกองทัพแห่งเทพ อธิบายได้ดีมาก สิบสองกลยุทธ์การจู่โจม ทำให้คนถึงกับต้องตบโต๊ะชื่นชม ที่หาได้ยากกว่านั้นคือตอนที่สาม การจัดกองกำลังและรูปแบบการรบอย่างรอบคอบ บรรยายแนวทางการจัดกองทหารหลากหลายรูปแบบสำหรับการร่วมมือกันระหว่างนักรบและทหารธรรมดา ทำให้ทหารธรรมดาสำแดงประโยชน์ออกมาได้อย่างเต็มที่”
เผยหม่านซีโหลวเป็นปัญญาชนที่น่าทึ่งจริงๆ ยุทธวิธีในการทำสงคราม จางเซิ่นแพ้แล้ว ลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับแนวคิดและความเข้าใจ และเขาก็ไม่ใช่คนที่ตายโดยไม่ยอมรับความผิดพลาด
จะว่าไป หากแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรมแล้ว คนที่เสียหน้ามากที่สุดคือจักรพรรดิหยวนจิ่งและราชสำนัก สำนักอวิ๋นลู่ถูกขับไล่ออกจากราชสำนักนานแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องฝืนใจตนเองเพื่อไว้หน้าพวกขี้เมาหยำเปแห่งราชวิทยาลัยหลวง
จางเซิ่นถอนหายใจอย่างหนัก “ตำรากลยุทธ์และยุทธวิธีทางทหารหกประการของคนแก่อย่างข้า ไม่ดีเท่าตำราพิชัยสงครามเป่ยไจเล่มนี้ของเจ้า ข้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ”
“ว่ากันว่าปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่มีคุณธรรมอันสูงส่ง สมคำร่ำลือตามที่คาดไว้ไม่ผิดจริงๆ”
เผยหม่านซีโหลวยิ้มด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง
ทำไมเขาถึงเลือกจางเซิ่นเป็นบันไดสู่เป้าหมาย? มีเหตุผลสามประการ จางเซิ่นมีชื่อเสียงมากพอ จางเซิ่นอยู่อย่างสันโดษมานานกว่ายี่สิบปี จางเซิ่นเป็นปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ เขาย่อมแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาและยังมีคุณธรรมเป็นหลักประกัน ตราบใดที่ตำราทางการทหารของตนเองสามารถโน้มน้าวฝ่ายตรงข้ามได้ จางเซิ่นย่อมไม่ทำผิดมโนธรรมอย่างแน่นอน
สุภาพชนสามารถถูกหลอกได้ ด้วยเหตุผลนี้เอง
ในศาลาพักร้อนเงียบสงัด ทุกคนต่างก็เสียความรู้สึก
เสวียนอินชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ว่ากันว่าต้าฟ่งเจริญรุ่งเรืองด้านการบริหารปกครองด้วยกฎหมายและวิชาการ เต็มไปด้วยผู้มากความรู้ ดูๆ ไปแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่าศิษย์พพี่เผยหม่านของข้า ศิษย์พี่ รอท่านกลับไปแดนเหนือแล้ว ท่านจะเป็นฆ้องเงินสวี่แห่งเผ่าเทพของพวกเรา”
เขาหมายถึงจะเป็นที่ชื่นชอบและเคารพยกย่องเฉกเช่นสวี่ชีอัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงที่อยู่นอกศาลาพักร้อนก็ทั้งอับอายทั้งโกรธ อยากจะตอบโต้ แต่กลับรู้สึกละอายที่จะพูด การด่ากระทบรังแต่จะทำให้ยิ่งน่าอายมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงขบเคี้ยวเขี้ยวฟันด้วยความโกรธ
บรรดาบัณฑิตหัวกะทิของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินต่างก็หน้าแดงด้วยความอับอาย
ในสาขาวิชาการอื่นๆ พวกเขายังสามารถอภิปรายและโต้วาทีได้ แต่ในด้านสงครามและการต่อสู้ บัณฑิตหัวกะทิเหล่านี้ไม่เคยแม้แต่ผ่านสนามรบ จึงไม่มีสิทธิ์พูดแม้แต่น้อย การพูดถึงยุทธวิธีทางการทหารบนกระดาษมีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะ
หวงเซียนเอ๋อร์หัวเราะขึ้นมา ไม่รู้ว่าดีใจหรือเยาะเย้ยกันแน่
“งานชุมนุมวรรณกรรมนี้ไม่มีความหมายอะไรแม้แต่น้อย หากข้ารู้ก่อนก็คงไม่มา” มีผู้หญิงบ่นพึมพำขึ้นมา
พวกนางมาด้วยความคาดหวังและกระตือรือร้นที่จะได้เห็นเผ่าอนารยชนพ่ายแพ้ยับเยิน ไม่ใช่มาเห็นเผ่าอนารยชนแข่งขันกับปัญญาชนของต้าฟ่งอย่างดุเดือด
ฮว๋ายชิ่งถอนหายใจยาว นางเป็นผู้หญิง ไม่เหมาะสมที่นางจะลงสนามนี้ มิเช่นนั้น มันจะกลายเป็นการตบหน้าบรรดาปัญญาชนของต้าฟ่ง และสำหรับยุทธวิธีทางการทหาร นางก็เคยอ่านตำราทางทหารมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เผยหม่านซีโหลวเป็นนายน้อยของกลุ่มผมขาว เขาผ่านสงครามมานักต่อนัก ประสบการณ์ด้านการทำสงครามก็โชกโชน ระดับของเขาต้องสูงกว่านางมากอย่างแน่นอน
“ประคองข้ากลับ!”
มหาราชครูหยิบไม้เท้าเคาะที่พื้นสามครั้ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความผิดหวัง
…
ในห้องบรรทม
ขันทีชราวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าวิตกกังวล
ม่านถูกลดระดับลง จักรพรรดิหยวนจิ่งที่อยู่บนตั่งเหลือบตามองเขา แต่กลับไม่พูดอะไร
ขันทีชรากล่าวกระซิบว่า “จางเซิ่น ยอมแพ้แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
‘เพียะ!’
จักรพรรดิหยวนจิ่งโยนตำราใส่ใบหน้าของขันทีชรา
…
ในศาลาพักร้อน ริมทะเลสาบลู่
เผยหม่านซีโหลวโค้งคำนับทุกทิศทางด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เป็นการชนะที่ปราศจากความหยิ่งผยอง “ขอบคุณสำหรับการชี้แนะของทุกท่าน สมแล้วที่ต้าฟ่งเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองด้านการบริหารปกครองด้วยกฎหมายและวิชาการ จนทำให้ผู้คนใฝ่หาที่จะมาถึง”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกราวกับถูกเยาะเย้ย ไม่สิ นี่คือการเยาะเย้ย
สีหน้าของมหาราชครูจมมืดราวกับทะเลลึก และเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว
ขุนนางชั้นสูงทยอยลุกขึ้นทีละคน และเดินออกไปจากโต๊ะอย่างเงียบๆ
‘ปึก!’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง