บทที่ 434 งานชุมนุมวรรณกรรม (1)
งานชุมนุมวรรณกรรมจัดขึ้นที่ริมทะเลสาบลู่ในเขตพระราชฐาน มีการปลูกศาลาพักร้อนอย่างง่ายที่ริมทะเลสาบ ซึ่งมีพื้นที่ขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้หลายร้อยคน
ดวงอาทิตย์ช่วงปลายฤดูร้อนยังคงร้อนแรง แต่ริมทะเลสาบกลับอากาศเย็นสบาย
เดิมทีราชวิทยาลัยหลวงเป็นผู้จัดงานชุมนุมวรรณกรรม และผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ก็คือบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวง
แต่เมื่อมีเผยหม่านซีโหลวผสมปนเปเข้ามา และสร้างกระแสเสียงใหญ่โตเช่นนี้ บุคคลที่เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมก็แตกต่างออกไปทันที บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงยังคงสามารถเข้าร่วมได้ แต่เป็นเพียงรอบนอก ไม่สามารถเข้าไปในศาลาพักร้อน
งานชุมนุมวรรณกรรมจะจัดขึ้นตอนบ่าย เพราะเช่นนี้ ขุนนางทุกคนในราชสำนักจึงสามารถใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อพักผ่อน ก่อนที่จะเข้าร่วมงานที่ยิ่งใหญ่
เข้าใกล้เวลาบ่าย เหล่าบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงที่สวมชุดและมงกุฎนักปราชญ์ก็ถูกทหารรักษาพระองค์ที่สวมเกราะและอาวุธครบมือกีดกันอยู่บริเวณรอบๆ
“นี่คืองานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวิทยาลัยหลวงของพวกเราจัดขึ้น เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้พวกเราเข้าไป?”
“บทบาทระหว่างเจ้าบ้านและแขกจะสลับกันได้อย่างไร”
“ไม่เพียงแต่มีทหารรักษาวังควบคุมพื้นที่ แม้แต่โหรของสำนักโหราจารย์ก็มาด้วย ทั้งหมดก็เพื่อเตรียมตัวป้องกันไม่ให้ผู้มีเจตนาไม่ดีเข้ามาในงานชุมนุมวรรณกรรม หรือว่า…หรือว่าฝ่าบาทก็จะเสด็จเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมด้วยรึ?”
ขณะที่พูด รถม้าคนหนึ่งก็แล่นเข้ามา และหยุดลงที่สนามด้านนอกทะเลสาบลู่ คนที่ลงมาจากรถม้าคือผู้มีอำนาจและผู้บัญชาการทหารจำนวนหนึ่ง
เดิมทีพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานชุมนุมวรรณกรรม ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘ให้คำแนะนำตำราพิชัยสงคราม’ ต่างหาก
ไม่ใช่เพียงแต่พวกเขา ยังมีผู้หญิงในตระกูลและลูกหลานของพวกเขาอีกด้วย
“รีบดูเถิด ขุนนางชั้นสูงมาแล้ว เจ้ากรมหกชั้นศาล รองเจ้ากรม ปราชญ์มหาสำนักแห่งราชวัง…”
“ข้าคาดเดามาก่อนแล้วว่าจะมีคนใหญ่คนโตมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเยอะเช่นนี้ งานชุมนุมวรรณกรรม ทำไมเป็นเช่นนี้ไปล่ะ”
“เพื่อนรัก เจ้าไม่เข้าใจ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเป็นงานชุมนุมวรรณกรรม แต่เบื้องหลังของงานชุมนุมวรรณกรรม ว่ากันถึงแก่นแท้แล้วก็คือเรื่องการเจรจาต่อรอง ไม่มีเรื่องเล็กน้อยระหว่างสองประเทศ บรรดาขุนนางชั้นสูงมาเพื่อสร้างแรงกดดัน”
“ก็แค่คนป่าเถื่อน กล้ามาเจรจาถึงเมืองหลวง ช่างไม่รู้ความลึกของฟ้าดินเสียจริง ประเดี๋ยวมาดูกันว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นจะสั่งสอนเขาอย่างไร”
หลังจากผู้บัญชาการทหาร คือขุนนางในราชสำนักระดับสามขึ้นไป อย่างเช่น เจ้ากรมอาญา เจ้ากรมทหาร และบรรดาปราชญ์มหาสำนักของพระราชวัง
ในหมู่ขุนนางบางส่วนก็พาผู้หญิงในตระกูลมาด้วย อย่างเช่น หวางซือมู่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง นางสวมชุดกระโปรงสตรีสีชมพูอ่อน แต่งหน้าอย่างประณีตและงดงามอย่างยิ่ง
“บุคคลสำคัญในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็มาด้วย น่าสนใจ บรรดาปัญญาชนกลุ่มนี้คือผู้มากความรู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ ภายหลังพวกเขาจะจู่โจมกลุ่มของเผยหม่านซีโหลวอย่างแน่นอน…”
ดวงตาของบัณฑิตราชวิทยาลัยหลวงเปล่งประกายขึ้นมา
กลุ่มขุนนางหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวเข้ามาในสถานที่ด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง
สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน คือสถานที่ที่รวบรวมบัณฑิตหัวกะทิ ถึงแม้บุคคลสำคัญกลุ่มนี้จะไม่มีอำนาจอยู่ในมือ อายุก็ยังน้อย แต่พวกเขาคือหนึ่งในกลุ่มที่มีความรู้มากที่สุดของต้าฟ่ง
พวกเขาอยู่ในวัยหนุ่มที่มีระดับความจำ การรับรู้ และสติสัมปชัญญะสูงที่สุดในช่วงของชีวิต
มีพวกเขาเข้าร่วมงาน ความมั่นใจของบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
หลังจากบรรดาผู้สูงศักดิ์ของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินนั่งลงประจำที่นั่ง ก็สนทนากันเสียงเบา
“ข้าอ่านสารานุกรมเป่ยไจแล้ว นับว่ายังพอมีระดับอยู่บ้าง แต่ทว่า กลับมีเนื้อหาทั่วไปและไม่ละเอียด”
“สำหรับข้า ช่างไม่ละเอียดเอาเสียเลย แต่สำหรับบัณฑิตทุกคนใต้หล้า มันกลับลึกซึ้งมาก”
“บุคคลนี้เก่งจริงๆ หากเป็นสาขาเฉพาะด้าน ข้าก็ยังพอเอาชนะเขาได้ แต่พูดถึงความรู้ทั้งหมดที่ได้เรียนรู้มา ข้าสู้ไม่ได้จริงๆ”
“ใช่แล้ว หากพูดถึงตำราพิชัยสงคราม ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินของพวกเรา ไม่มีใครเหนือกว่าฉือจิ้วแล้วกระมัง”
ทันใดนั้น สายตากลุ่มหนึ่งก็จ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่งดงามราวกับภาพวาด
สวี่ซินเหนียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่สหายร่วมสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน บรรดาผู้เรืองอำนาจและขุนนางที่อยู่ไม่ไกลก็ได้ยินชื่อเสียงของเขา
นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว วิชาเอกของข้าคือตำราพิชัยสงคราม…ขณะที่เขากำลังจะพยักหน้า ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังออกมาจากกลุ่มผู้เรืองอำนาจ “คนที่เผยหม่านซีโหลวขอคำแนะนำคือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่น อาจารย์คงไม่ด้อยไปกว่าบัณฑิตกระมัง”
สวี่ซินเหนียนรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย จึงกล่าวเสียงดังว่า “นักปราชญ์กล่าวว่า การเรียนไม่เกี่ยวกับอายุ ผู้บรรลุเข้าใจก็เป็นอาจารย์ได้ ใครบอกว่าบัณฑิตไม่มีทางรู้ดีไปกว่าอาจารย์แน่นอน?”
ผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารต่างหัวเราะดังลั่น เมื่อรู้ว่าเขาคือญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน มีบางคนหัวเราะตามอำเภอใจและใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
สวี่ซินเหนียนคนนี้ก็ยังพอมีความรู้ แต่นอกจากใช้ปากด่าคนแล้ว ด้านอื่นๆ ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ไม่นับว่าโดดเด่นอะไร
จู่ๆ เขาก็พูดว่าบัณฑิตสามารถเอาชนะอาจารย์ได้ ช่างน่าขันจริงๆ
เอ๋? ด่าคน?
บรรดาผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารที่ตอบโต้เมื่อสักครู่ ต่างก็หยุดหัวเราะอย่างทันทีทันใด
สวี่ซินเหนียนจิบชาหนึ่งอึก ก่อนจะลุกขึ้นอย่างสำรวม
…
สวี่ชีอันที่สวมชุดเกราะอ่อนและเหน็บดาบไว้ที่เอว ตามรถม้าของฮว๋ายชิ่งและหลินอันมายังสถานที่นี้ รถม้าหรูค่อยๆ จอดลงที่ข้างถนน ฮว๋ายชิ่งและยายตัวร้ายที่สวมชุดกงจวงแบบเรียบง่ายและชุดกระโปรงยาวสีแดงเพลิงลงมาจากรถม้าพร้อมๆ กัน
หลังจากนั้น พวกนางก็ทยอยยกมือขึ้นมาบังแสงแดดอันร้อนแรง หลังจากนั้นขันทีก็ถือเศวตฉัตรไปบังแดดให้องค์หญิงทั้งสองท่านอย่างรวดเร็ว
ยายตัวร้ายหันกลับมา พลางกวาดสายตามองฝูงชนครั้งหนึ่ง นัยน์ตาดอกท้อใสแป๋วมีความสับสนเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าสุนัขรับใช้เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นใครไปแล้ว
‘อำพรางตัวดีมากทีเดียว…’ ยายตัวร้ายรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะนางมักจะเห็นคำอธิบายอย่างเช่น ‘คนที่ชอบกันก็จะมีใจตรงกัน’ ในหนังสือบทละครพื้นเมือง
ทันทีที่องค์หญิงทั้งสองเข้ามาในสถานที่ ก็เห็นสวี่ซินเหนียนยืนแสดงความเห็นด้วยความกระตือรือร้นอยู่ข้างโต๊ะ ปากก็ด่าทอผู้เรืองอำนาจด้วยความโกรธ
บรรดาผู้เรืองอำนาจและผู้บัญชาการทหารโกรธจัด พูดกันทีละประโยคสองประโยครุมด่าสวี่ซินเหนียน ผู้ชายคนนั้นก็เหลือเกิน เขายังคงยืนหยัดอย่างกล้าหาญและยกประโยคอันเฉียบขาดขึ้นมาพูด
ผู้บัญชาการทหารจำนวนไม่น้อยเริ่มพับแขนเสื้อขึ้นแล้ว
ขุนนางผู้สูงศักดิ์ดื่มชา พลางดูฉากการแสดงที่อยู่เบื้องหน้าอย่างสบายๆ
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว และกล่าวตำหนิว่า “กำเริบเสิบสานนัก!”
รูปลักษณ์เมื่อนางโกรธยังเต็มไปด้วยความสง่างาม ฮว๋ายชิ่งพยายามระงับอารมณ์อย่างขีดสุด ไม่เพียงแต่สวี่ซินเหนียนที่หยุดด่า แม้กระทั่งบรรดาผู้บัญชาการทหารระดับสูงที่คำรามด้วยความโกรธก็ยังยุติการวิพากษ์วิจารณ์
บรรดาขุนนางชั้นสูงและผู้เรืองอำนาจทยอยลุกขึ้น และโค้งคำนับ “ถวายบังคมองค์หญิงทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งพ่นลมหายใจด้วยความเย็นชา ก่อนจะพายายตัวร้าย และทหารรักษาพระองค์สองคนเข้าไปประจำที่นั่ง
สวี่ซินเหนียนจิบชาเพื่อเพิ่มความชุ่มคอ จากนั้นก็มองไปทางหวางซือมู่ตรงที่นั่งด้านซ้ายบน ซึ่งนางก็บังเอิญมองมาที่เขาเช่นกัน
เมื่อวานนี้ หวางซือมู่ตั้งใจไปหาเขาเป็นพิเศษ โดยหวังว่าเขาจะแสดงความสามารถในงานชุมนุมวรรณกรรมได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีและเพิ่มความน่าเชื่อถือของเขา
คุณหนูใหญ่ตระกูลหวางไม่ได้คาดหวังว่าสวี่เอ้อร์หลางจะพลิกสถานการณ์ในงานชุมนุมวรรณกรรมจนทุกคนต้องทึ่ง
เพราะการปรากฏตัวของจางเซิ่น ท่านจางคืออาจารย์ของสวี่เอ้อร์หลาง มีเขาลงสนามก็เพียงพอแล้ว
สวี่เอ้อร์หลางยิ้มให้นาง ยิ้มบางๆ เช่นเดียวกับหลังจากได้ยินเมื่อวานนี้
เวลานี้เอง บัณฑิตที่อยู่รอบนอก เหล่าทหารรักษาวังก็กล่าวตะโกนแสดงความเคารพขึ้นมา “ถวายบังคมองค์รัชทายาท องค์ชายสาม องค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ…”
ทุกคนในศาลาพักร้อนหันไปมองด้านข้าง เห็นองค์รัชทายาทกำลังประคองชายชราผมขาวและถือไม้เท้าคนหนึ่ง เดินไปตามทางที่ถูกล้อมรอบด้วยทหารรักษาวังตรงมายังศาลาพักร้อน
“มหาราชครู?”
ฮว๋ายชิ่งโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ
และยายตัวร้ายก็ก้มศีรษะคำนับโดยจิตใต้สำนึก นางถูกชายชราท่านนี้ตีมือตั้งแต่ยังเยาว์
มหาราชครูไม่ได้มุ่งเป้าไปที่หลินอัน แต่คนที่มหาราชครูมุ่งเป้าคือเหล่าบัณฑิตห่วยๆ
องค์รัชทายาทประคองมหาราชครูเข้าไปในศาลาพักร้อน
บรรดาขุนนางชั้นสูงยืนขึ้นทีละคน ก่อนจะโค้งคำนับแสดงความเคารพ
ในด้านของความอาวุโส ขุนนางทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นศิษย์น้องของมหาราชครู
สวี่ซินเหนียนแสดงความเคารพตามสหายร่วมงาน พลางพิจารณาชายชราที่ถูกองค์รัชทายาทประคองไว้ ถึงแม้เขาจะมีผมสีขาว แต่กลับยังคงอุดมสมบูรณ์ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหย่อนยาน ดวงตาก็ขุ่นเล็กน้อย แต่ภาพลักษณ์ของชายชราท่านนี้กลับมีเอกลักษณ์อย่างมาก
เขาจำได้ว่าเจ้าสำนักจ้าวโส่วเคยบอกว่า มหาราชครูคือปัญญาชนเพียงคนเดียวที่ปลูกฝังจิตวิญญาณอันซื่อตรงจนถึงทุกวันนี้
สามมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์นี้ล้วนมียศระดับหนึ่ง แต่กลับไม่มีอำนาจที่แท้จริง เดิมทีมหาราชครูถูกคาดหวังว่าจะได้เป็นผู้ควบคุมคณะขุนนาง เพียงแต่ตอนนั้นจักรพรรดิบำเพ็ญธรรม ไม่ดูแลจัดการการเมืองและกิจการของราชสำนัก มหาราชครูจึงหยิบไม้เรียวตีจักรพรรดิ เขาจึงถูกปิดกั้นหน้าที่การงาน หลังจากนั้น เขาก็ไม่มีวาสนาในความเจริญก้าวหน้าทางตำแหน่งราชการอีก และตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู้อยู่ในวัง
‘คิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งมหาราชครูก็ยังมา…’ สวี่ซินเหนียนกล่าวในใจ
มหาราชครูพ่นลมหายใจเย็น พลางกวาดสายตามองราชวิทยาลัยหลวง และกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าอยู่สันโดษมาหลายปี เพิ่งรู้ว่าราชวิทยาลัยหลวงแต่ละยุคยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ”
ใบหน้าและหูของบรรดาราชวิทยาลัยหลวงแดงก่ำ
ขุนนางชั้นสูงที่มาจากราชวิทยาลัยหลวงเช่นเดียวกันก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย
หน้าของราชสำนัก ก็คือหน้าของพวกเขา
ชายหนุ่มชาวอนารยชนคนหนึ่งส่องแสงโดดเด่นอยู่ในเมืองหลวง หากเป็นด้านศิลปะการต่อสู้ก็ไม่ใช่ประเด็นอะไร เดิมทีคนเผ่าอนารยชนคือนักรบที่หยาบคายและป่าเถื่อน แต่กลับมีชื่อเสียงเลื่องลือด้วยวิชาความรู้
ต้องรู้ว่า ความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์คือวัฒนธรรม คุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้
ลัทธิขงจื๊อเป็นระบบของเผ่ามนุษย์ในเมืองหลวง เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นความภาคภูมิใจของผู้คนนับไม่ถ้วน
เมื่อเห็นบรรยากาศค่อนข้างคุกรุ่น ฮว๋ายชิ่งก็ลุกขึ้นและผลักองค์รัชทายาทออกไปจากมหาราชครู นางประคองชายชราเข้าประจำที่นั่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “มหาราชครู เผยหม่านซีโหลวมีความสามารถอันน่าทึ่ง แค่โต้แย้งกันเกี่ยวกับสี่ตำราห้าคัมภีร์ ราชวิทยาลัยหลวงคงทำอะไรเขาไม่ได้กระมัง”
“คนที่มีความรู้กว้างขวางและเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้งนั้นหาได้ยาก แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป มีจางเซิ่นออกหน้า ข้าเดาว่าทุกอย่างมั่นใจได้” มหาราชครูตบหลังมือของฮว๋ายชิ่ง และยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าพระองค์เป็นชาย คนเผ่าอนารยชนผู้นั้นคงไม่มีโอกาสโอ้อวดอำนาจในเมืองหลวงเป็นแน่”
ชายชรามาร่วมสนุกในครั้งนี้ก็เพราะไม่เชื่อในความชั่วร้าย ต้าฟ่งของข้ามีคนที่โดดเด่นและดาวรุ่งมากมาย จะไม่มีใครสามารถปราบคนเผ่าอนารยชนที่ศึกษาปราชญ์มาเพียงผิวเผินได้จริงๆ รึ?
เสียงหัวเราะผ่อนคลายเบาๆ ดังมาจากด้านนอกศาลาพักร้อน และกล่าวปฏิเสธว่า “นักปราชญ์กล่าวว่า การศึกษาไม่มีแบ่งชนชั้น จะสถานภาพสูงหรือต่ำก็ศึกษาได้ มหาราชครู คำก็พูดว่าคนอนารยชน สองคำก็พูดว่าคนอนารยชน ท่านได้รักษาคำสอนของนักปราชญ์ไว้ในใจหรือไม่?”
ที่ด้านนอกศาลาพักร้อน เผยหม่านซีโหลวที่มีผมสีขาวเต็มศีรษะ พร้อมกับหวงเซียนเอ๋อร์ผู้มีจริตอันงดงามของสตรี และชายหนุ่มผู้มีรูม่านตาแนวตั้งแสนเย็นชา เดินเข้ามาในศาลาพักร้อนอย่างฮึกเหิม
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นเผ่าอื่น และเป็นแขก แต่กลับเดินด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับตนเองเป็นเจ้าของงานชุมนุมวรรณกรรมนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง