บทที่ 433 ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เผยหม่านซีโหลว (2)
วันรุ่งขึ้น คณะทูตปีศาจเข้าวังไปพบนักบุญ ผ่านประตูอู่ ข้ามสะพานจินสุ่ยและไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิที่ตำหนักกระดิ่งทอง
ตลอดทาง หวงเซียนเอ๋อร์ไม่มีความประหม่าในการเข้าเฝ้าจักรพรรดิแม้แต่น้อย นางใช้ท่าทางเขินอายหลอกล่อทหารรักษาพระองค์ ขุนนางชั้นสูงและผู้ชายทุกคนระหว่างทาง
เมื่อเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทอง ทั้งสองฝั่งเป็นข้าราชการระดับสูง จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนเหนือเก้าอี้มังกร
หวงเซียนเอ๋อร์เก็บท่าทางโปรยเสน่ห์เล็กน้อย แต่ยังคงเข้าเฝ้าจักรพรรดิด้วยท่าทางออดอ้อน
จากนั้นทั้งสองเผ่าปีศาจกับอนารยชนก็ถวายเครื่องบรรณาการให้จักรพรรดิหยวนจิ่ง นอกจากเครื่องบรรณาการแล้ว ยังมีหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกที่หน้าตางดงามอีกสามคน ซึ่งมีคุณภาพสูงสุด
เวลาเผ่าพันธุ์อื่นถวายเครื่องบรรณาการ ในเครื่องบรรณาการย่อมมีหญิงงามเป็นเรื่องปกติ
เมื่อขันทีชราขับบทกวีเสร็จ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตรัสอย่างพึงพอใจว่า
“ได้ยินว่าสงครามทางเหนือนั้นราวกับไฟป่า ข้าเป็นกังวลมาก ทว่าฤดูเก็บเกี่ยวใกล้มาถึงแล้ว ประชาชนต่างก็ยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยว ข้าจึงไม่อาจส่งกองกำลังขึ้นไปทางเหนือได้ ข้าจะรวบรวมหนังสือการทหารที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินให้และหวังว่ามันจะช่วยพวกเจ้าต่อต้านศัตรูภายนอกได้”
เผยให้เห็นความยากลำบากของราชสำนักก่อน ฤดูเก็บเกี่ยวใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว จึงไม่เหมาะจะทำสงคราม จากนั้นก็ส่งหนังสือการทหารไป เพื่อแสดงความแข็งแกร่งทางการทหารของต้าฟ่ง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอให้ต้าฟ่งกับเผ่าเทพของกระหม่อมทำพันธสัญญากันตลอดไป เพื่อสัมพันธไมตรีจะคงอยู่ตลอดกาล” เผยหม่านซีโหลวคุกเข่าลงบนพื้นอย่างเคารพนอบน้อม
หลังเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้า เผยหม่านซีโหลวก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องขอความช่วยเหลือสักประโยคจนกระทั่งจากไป
จิตใจช่างสงบนิ่งนัก!
ขุนนางในราชสำนักต่างก็ประหลาดใจ เยาะเย้ยและสัพยอก
ในมุมมองของพวกเขา ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่หยาบคายกว่าทหาร การขอร้องอย่างเร่งรีบในท้องพระโรงให้ราชสำนักส่งกองทัพไปช่วยจึงเป็นวิธีการเปิดที่ถูกต้อง
คิดไม่ถึงว่าเผยหม่านซีโหลวผู้นี้จะมีจิตใจที่สงบนิ่ง แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สุดท้ายเขาก็ยังต้องเปิดปากและแสดงความสุขุมออกมาในท้องพระโรง ซึ่งไม่ค่อยสลักสำคัญนัก
หลังออกจากวัง ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรง เสวียนอินก็กลั้นไม่ไหวอีกต่อไปและรีบถามว่า
“พี่ใหญ่เผยหม่าน ท่านบอกว่าตำราพิชัยสงครามของต้าฟ่งนั้นเลอะเทอะไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านต้องการเอาชนะพวกเขาในเขตแดนที่พวกเขาภาคภูมิใจมากที่สุดและได้รับความเคารพหรอกหรือ เหตุใดเมื่อสักครู่ท่านถึงไม่พูดอะไรเลย”
หวงเซียนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก
“เจ้าโอ้อวดให้คนเหล่านั้นดูจะมีความหมายอะไร แม้ว่าจะโอ้อวดจนถึงสรวงสวรรค์ พวกเขาก็เมินเฉย”
นางหันไปมองเผยหม่านซีโหลวและถามว่า “ท่านวางแผนจะจัดการผู้ใดก่อน”
เผยหม่านซีโหลวเอ่ยเสียงเรียบ “ราชวิทยาลัยหลวง!”
…
พ้นยามบ่ายไปก็มีข่าวจากราชวิทยาลัยหลวงว่า หัวหน้าคณะทูตเผ่าอนารยชน เผยหม่านซีโหลวไปเยี่ยมเยียนราชวิทยาลัยหลวง ประลองความรู้กับมหาเสนาธิการและชนะ
‘ชายผู้นี้ฉลาดล้ำลึก ข้าไม่อาจเทียบได้…’ มหาเสนาธิการประเมิน
เขาไม่ได้จากไปในทันที เขาบรรยายที่ราชวิทยาลัยหลวงอย่างโจ่งแจ้งและทิ้งหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ ที่ตัวเองเขียนไว้ที่ราชวิทยาลัยหลวง
‘เป็นแค่คนป่าเถื่อนยังจะเขียนหนังสืออีกหรือ’
ตอนแรกบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงก็โกรธจัด แต่เมื่อเสียงวิจารณ์ของหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ บ่มเพาะขึ้น เสียงด่าทอก็ค่อยๆ สงบลงและตกตะลึงกับความรู้ของคนป่าเถื่อนมากยิ่งขึ้น
หนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ นั้นมีจำนวนมาก ความกว้างขวางของเนื้อหากับสาระสำคัญก็น่าทึ่งและไม่ใช่สิ่งที่สามารถเรียบเรียงได้ในชั่วข้ามคืน
ปกติหนังสือระดับนี้มีเพียงราชสำนักเท่านั้นที่จะเรียบเรียง เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะถูกเรียบเรียงโดยชายหนุ่มเผ่าอนารยชนคนเดียว
อาศัยหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียว เผยหม่านซีโหลวก็สามารถติดอันดับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้
สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจมากที่สุดคือในหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ หลายเล่มบันทึกประวัติศาสตร์ของเผ่าปีศาจกับเผ่าอนารยชนไว้อย่างละเอียด ที่มาและวิวัฒนาการของทั้งสองเผ่า โดยเฉพาะรายละเอียดของประวัติศาสตร์แปดร้อยปีในยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าหนังสือประวัติศาสตร์ที่ต้าฟ่งเรียบเรียงเลย
เขาตบราชวิทยาลัยหลวงกับปัญญาชนของต้าฟ่งเสียงดังก้อง
เผยหม่านซีโหลวมีชื่อเสียงมากมายไปชั่วขณะ
“ไม่น่าเชื่อ เผ่าอนารยชนที่หยาบคายมีนักวิชาการเช่นนี้ด้วยหรือ”
“เผยหม่านซีโหลวเป็นคนของกลุ่มผมขาว ซึ่งกลุ่มผมขาวเลื่องชื่อด้านความเฉลียวฉลาด แต่คนที่เหมือนกับเขานั้นมีน้อยมากๆ”
“หากข้าสามารถเขียนหนังสือเล่มนี้ได้ ข้าต้องได้บันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน คนป่าเถื่อนผู้นี้เก่งเกินไปแล้ว”
“น่าละอายยิ่งนัก ตอนที่ข้าอายุเท่าเขา ข้ายังศึกษาเล่าเรียนอยู่เลย ตอนนี้ข้าอายุมากแล้ว จึงไม่มีเรี่ยวแรงจะเขียนหนังสืออีก”
“คนคนนี้ช่างน่ารังเกียจ ก่อนอื่นเขาประลองความรู้กับมหาเสนาธิการ หลังจากนั้นก็แสร้งทำเป็นทิ้งหนังสือ ‘พิธีเป่ยไจ’ ไว้อย่างเอื้อเฟื้อ นี่เป็นการตบหน้าปัญญาชนของต้าฟ่งของพวกเรา”
เป็นเพราะตัวตนในฐานะเผ่าอนารยชนและความรู้ของอีกฝ่าย จึงแสดงให้เห็นถึง ‘ความไร้ความสามารถ’ ของปัญญาชนของต้าฟ่ง เพราะปัญญาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำผลงานเช่นนี้ออกมาได้
“หากมีใครในหมู่ผู้เยาว์มีความรู้เทียบเท่ากับคนคนนี้ คงมีเพียงองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเท่านั้น”
“องค์หญิงฮว๋ายชิ่งศึกษาเล่าเรียนที่ราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่ตามลำดับ ทว่าคนคนนี้เกิดในเผ่าอนารยชนและไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ใครสูงกว่าใครต่ำกว่ามองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
การมาเยือนเมืองหลวงของคณะทูตปีศาจนั้นได้รับความสนใจอย่างมาก ไม่เพียงแต่ข้าราชการกับนักปราชญ์เท่านั้นที่ให้ความสนใจ ประชาชนในเมืองหลวงก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
เดิมทีหัวข้อสนทนาของพวกเขาคือราชสำนักควรส่งกองทัพไปช่วยปีศาจหรือไม่และข่าวที่คนป่าเถื่อนทางเหนือมีความรู้ก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปยังภัตตาคาร หอนางโลมและสถานที่อื่นๆ
“ไร้สาระ คนป่าเถื่อนต่ำช้าจะไปมีความรู้และทำให้มหาเสนาธิการแห่งราชวิทยาลัยหลวงยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร ไอ้โง่คนไหนกุข่าวลือขึ้นมา”
สำหรับข่าวลือดังกล่าว คนที่ได้ยินต่างก็ไม่มีใครเชื่อและพากันดูถูกดูแคลน
ในสายตาของประชาชน ราชวิทยาลัยหลวงเป็นสถานศึกษาหลวงและเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะด้านวรรณกรรม
สถานะของปัญญาชนจึงสูงมาก
แต่ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากข่าวได้รับการยืนยัน เสียงก่นด่าก็ดังไปทั่วตลาด หลังเวลาอาหาร ประชาชนในเมืองหลวงก็ไม่คุยกันอีกว่าจะส่งกองทัพไปหรือไม่ แต่พากันโจมตีราชวิทยาลัยหลวงและก่นด่าพวกเขาว่าทำให้ศักดิ์ศรีของอาณาจักรเสื่อมเสีย ทำให้ต้าฟ่งเสื่อมเสีย
รับแต่เงินเดือนไม่ยอมทำงาน พวกคนไร้ประโยชน์
“ฆ้องเงินสวี่เป็นทหารยังสามารถเป็นนักกวีของต้าฟ่งได้ เห็นได้ชัดว่าปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงย่ำแย่เพียงใด พวกคนไร้ประโยชน์”
“คำพูดนี้ฟังดูแล้วเหมือนเจ้ากำลังดูถูกฆ้องเงินสวี่”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแค่โกรธพวกคนไร้ประโยชน์ในราชวิทยาลัยหลวง”
“ช่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก พ่ายแพ้ให้กับคนป่าเถื่อนด้านความรู้ ช่างน่าอัปยศอดสู ต้าฟ่งของข้าไม่เหลือใครแล้วหรือ”
…
ศาลาพักม้า
ชายหนุ่มผู้มีม่านตาตั้งตรง เสวียนอินกลับมาจากข้างนอก บนบ่าแบกกล่องหนังสือกล่องเล็กไว้ เขาจงใจวางมันลงอย่างแรง เดินไปทางเผยหม่านซีโหลวกับหวงเซียนเอ๋อร์ที่อยู่ในลานและหัวเราะเสียงดัง
“พวกนักวิชาการไร้ประโยชน์แห่งราชวิทยาลัยหลวง ข้าเพียงแค่บอกว่าจะยืมหนังสือให้พี่ใหญ่เผยหม่าน พวกเขาก็ไม่กล้าขวางข้าแล้ว ข้างนอกก่นด่าพี่ใหญ่อย่างหนัก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขากลัว กลัวความรู้ของท่าน”
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าการเรียนนั้นไร้ประโยชน์ แต่สามารถทำลายความฮึกเหิมของเผ่ามนุษย์ด้านการเรียนได้ ช่างรู้สึกดีและอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ
“เพียงแค่แลกเปลี่ยนหนังสือเท่านั้น แค่แลกเปลี่ยนหนังสือเท่านั้น…”
เผยหม่านซีโหลวหยิบหนังสือในกล่องขึ้นมาราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า
“มหาเสนาธิการอะไรนั่นเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุด แม้แต่เขาก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ดูเหมือนปัญญาชนของเผ่ามนุษย์ก็มีแค่นี้” เสวียนอินหัวเราะเสียงดัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง