บทที่ 440 พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
หวางซือมู่หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้นางตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติกับแก้วเหล้า มันเป็นสีบุษราคัมที่เจือจนปนสีแดงเล็กน้อย
เมื่อมองแวบแรกหวางซือมู่คิดว่ามันเป็นถ้วยหยกธรรมดา แต่กลับพบว่ามันคือแก้วกระเบื้องเคลือบ
สีเหมือนหยก แต่มีสีแดงเข้มเหมือนเลือดอยู่ข้างใน…มือของหวางซือมู่สั่น และเหล้าหวานของอาสะใภ้ก็หกลงบนโต๊ะและชุดของนาง
“ตายแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ระวังถึงเพียงนี้”
อาสะใภ้รีบโยนเหยือกและถ้วยทิ้งไปข้างๆ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเหล้าบนชุดของหวางซือมู่
‘แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกร?!’
หวางซือมู่ตกตะลึง แก้วกระเบื้องเคลือบเดิมทีนั้นเป็นของล้ำค่า แค่แก้วกระเบื้องเคลือบสีเลือดมังกรดินเผาที่หายากมากในแดนประจิม อีกทั้งผลิตออกมาจำนวนน้อย
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างแดนประจิมกับที่ราบตอนกลางใกล้ชิดกัน แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรมักถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการ และกระจายลงสู่ที่ราบภาคกลาง ซึ่งมักจะนำมาทำเป็นภาชนะและแก้วเหล้า เมื่อฝ่าบาทมีงานเลี้ยงให้แก่พวกขุนนางถึงจะหยิบมาใช้
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างแดนประจิมและที่ราบภาคกลางค่อยๆ ห่างเหินกันมากขึ้น แก้วกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรไม่ได้กระจายไปสู่ที่ราบตอนกลางเป็นเวลาหลายปี และในเมืองหลวงเริ่มหายากมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเก็บไว้ที่บ้าน บางครั้งอาจจะหยิบออกมาใช้เอง
แต่ไม่ใช่สำหรับงานเลี้ยงอย่างแน่นอน
นางชำเลืองมองอย่างรวดเร็วและพบว่าโต๊ะเต็มไปด้วยกระเบื้องเคลือบเลือดมังกรครบชุด มูลค่าของพวกมันสามารถซื้อจวนสกุลสวี่ได้ถึงสองหลัง
หลังจากที่อาสะใภ้เช็ดทำความสะอาด นางยังคงรินเหล้าให้ และพูดว่า “เจ้าเหนื่อยใช่หรือไม่?”
มีความกังวลในน้ำเสียงของนาง
‘จุ๊ๆ หรือนี่คือการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่ง? นางมองข้าออกอย่างทะลุปรุโปร่ง สิ่งที่นายหญิงบ้านสกุลสวี่ต้องการให้ข้าทราบหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่?…’
หวางซือมู่เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร นางสะดุ้งเล็กน้อยและตระหนักว่านายหญิงบ้านสกุลสวี่เคารพและเห็นคุณค่าในตัวนาง
“มาสิ ลองชิมอาหารเหล่านี้ดู ทุกจานล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะของจวนสกุลสวี่ของเรา เจ้าไม่สามารถหาทานข้างนอกได้”
อาสะใภ้แนะนำอาหารทุกจานบนโต๊ะอย่างอบอุ่น แสดงบทบาทนายหญิงและแม่ยายในอนาคตอย่างเต็มที่
มีบางจานที่หวางซือมู่ไม่เคยทานมาก่อน ทำให้ดวงตาของนางเปล่งประกาย
เป็ดย่างหนังบางกรอบ ห่อด้วยแป้งบางๆ อร่อยและอิ่มท้อง หน้าตาอาหารดูไม่น่าทาน แต่รสชาตินุ่มในปาก หัวสิงโตน้ำแดงรสชาติเค็มปานกลาง หอม กรอบแต่ไม่มันเยิ้มจนเกินไป…
‘แม้ว่าจวนสกุลสวี่จะเป็นตระกูลที่ ‘มาใหม่’ แต่ไม่ควรมองข้ามเรื่องการเงิน…’ ขณะที่หวางซือมู่คิดแบบนี้ สายตาของนางหรี่ลง จ้องตรงไปที่ถ้วยลายครามขนาดเล็กที่ใส่ซุปไก่!
ในใจคิดว่า ผิดแล้ว!
หวางซือมู่มาจากตระกูลขุนนาง นางมีพรสวรรค์และมีความสามารถในการวิเคราะห์งานศิลปะ นางเห็นอย่างรวดเร็วว่าถ้วยกระเบื้องบนโต๊ะนั้นไม่ธรรมดา และแต่ละชิ้นเป็นของโบราณ
เป็นแหล่งรวบรวมโบราณวัตถุล้ำค่า…
นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว ใครกันจะใช้ของเก่าพวกนี้เป็นข้าวของเครื่องใช้ในประจำวันได้?
บรรยากาศการรับประทานอาหารอันเงียบสงบ คุณหนูหวางตกใจ
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว หวางซือมู่ก็หันไปสังเกตบรรดาญาติผู้หญิงที่โต๊ะ ‘แม่นางซูซูไม่ได้มาร่วมโต๊ะทานอาหารเย็น ซึ่งหมายความว่าแม้ว่านางจะแต่งงานเข้ามาในบ้านสกุลสวี่ นางก็เป็นได้แค่อนุภรรยา
หลี่เมี่ยวเจินมีบุคลิกที่อ่อนโยนและอบอุ่น ซึ่งสอดคล้องกับสถานะเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์
สวี่หลิงอินและแม่นางเผ่าพันธุ์กู่จากซินเจียงตอนใต้คนนี้ ทำให้หวางซือมู่ประหลาดใจ ในใจคิดว่าทานอาหารแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ไม่กลัวสำลักหรือร้อนเลยหรือ หรือว่าพวกเขาแสดงละครให้ข้าดูอยู่?
คงเป็นเรื่องน่ากลัวมาก หากแม่นางคนนี้สามารถแสดงละครได้ถึงขนาดนี้
แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อการแสดง คนอย่างนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ที่เข้มงวดในการปกครองครอบครัว จะยอมทนกับท่าทางที่หยาบคายแบบนี้ได้อย่างไร…’
หวางซือมู่ที่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาหารมื้อนี้ก็จบลง
นางสรุปในใจ ‘แม้ว่านายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่จะยอดเยี่ยม แต่นางก็ไม่ใช่นายหญิงที่ก้าวร้าว ตรงกันข้าม นางเป็นคนอ่อนโยนและตรงไปตรงมาเหมือนกับหญิงสาว
ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมาก
สวี่หลิงเยวี่ยสืบทอดมาตรฐานของแม่ได้ไม่เกินสามหรือสี่คะแนนเท่านั้น ในมุมมองของหวางซือมู่ นางเป็นยอดฝีมือแต่ไม่ใช่คู่แข่ง
สำหรับน้องสาวแห่งบ้านสกุลสวี่ นางยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบเลย’
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว หวางซือมู่เห็นเสี่ยวโต้วติงกำลังเล่นอยู่ที่ลานบ้าน นางจึงพบโอกาสที่จะออกมาตามลำพัง ถือจานเค้กในมือ พร้อมกวักมือเรียก และพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“หลิงอิน มาหาพี่ตรงนี้สิจ๊ะ”
สวี่หลิงอินเมื่อเห็นอาหาร รีบเดินเข้ามา
นางเป็นเด็กชอบกินมาก ตราบใดที่มีอาหารจะสามารถควบคุมนางได้ง่าย…หวางซือมู่ดีใจมากและพูดเบาๆ “ข้าได้ยินจากพี่สาวของเจ้าว่าเจ้าถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกหรือ?”
สวี่หลิงอินจดจ่ออยู่กับเค้กและพูดอย่างเจ็บปวดขณะกินไปด้วย “มีเด็กอ้วนตัวเล็กขโมยอาหารของข้า…”
นางประกาศเสียงดังทันที “ข้าถูกแกล้งโดยไม่มีเหตุผล ช่วยข้าเอาคืนหน่อย”
สวี่หลิงเยวี่ยไม่ได้โกหก มีคนรังแกนางจริงๆ นั่นเป็นสาเหตุที่นางไม่ไปโรงเรียน เด็กน้อยที่น่าสงสาร…หวางซือมู่ลูบศีรษะของนางและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“แล้วเจ้ายังอยากไปโรงเรียนอีกหรือไม่?”
เสี่ยวโต้วติงส่ายหัว
“ถ้าให้พี่สอนหนังสือเจ้าล่ะ ดีหรือไม่?”
เสี่ยวโต้วติงเหลือบมองที่ขนมและพยักหน้า
หวางซือมู่ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ นางสามารถสอนความรู้บางอย่างให้กับเด็กน้อยได้อย่างรวดเร็ว รอนางกลับถึงบ้าน เด็กน้อยจะแสดงความรู้ใหม่ๆ ออกมา ‘โดยไม่ได้ตั้งใจ’
นายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่จะต้องถามอย่างแน่นอน และสวี่หลิงอินจะบอกนางถึงสิ่งที่ข้าแอบสอนให้นางอ่านหนังสือ
จากนั้น หลังจากนายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ทราบจะต้องขอบคุณข้า แต่ข้าก็จะไม่รับความดีความชอบนั้น…“มาสิ ข้าจะสอนเลขให้เจ้า”
…
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินแล้ว สวี่ซินเหนียนขี่ม้าออกจากเขตพระราชฐานและรีบกลับบ้าน
เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ในใจ ด้วยนิสัยของหวางซือมู่ค่อนข้างแข็งแกร่งและแน่วแน่ แต่แม่ของเขานั้นเป็นคนที่หากพอใจหรือไม่พอใจอะไรจะแสดงออกทางสีหน้าทันที
ถ้าหวางซือมู่ลองเชิงอะไรบางอย่างและทำให้แม่ไม่พอใจ เกรงว่าแม่คงจะแสดงความไม่พอใจออกมาทันที
นอกจากนี้ ในบ้านยังเต็มไปด้วยปีศาจและผี รวมทั้งหลิงอิน ลี่น่า เทพธิดานิกายสวรรค์ ผีสาวซูซู และพี่ชายคนโตที่นิสัยผีเข้าผีออก…
สวี่เอ้อร์หลางรู้สึกว่าเขาต้องกลับมาควบคุมสงครามครั้งนี้อีกครั้ง
หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์ ก็เดินไปรอบๆ ห้องโถงทั้งด้านนอกและด้านใน เขาไม่เห็นหวางซือมู่ แต่กลับพบสาวใช้สองคนของนางยืนอยู่ในห้องโถง
ถามไปว่า “แล้วนายหญิงล่ะ?”
“อยู่ที่ลานบ้านเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างสุภาพ
สวี่เอ้อร์หลางเดินออกจากห้องโถงด้านใน หันไปทางลานบ้าน และพบว่าหวางซือมู่นั่งอยู่ที่โต๊ะหิน ราวกับบุปผากระดาษที่ไร้ชีวิตชีวา นั่งตะลึงงัน
สวี่หลิงอินยืนอยู่ข้างๆ กินขนมและเหลือบมองที่พี่สะใภ้ในอนาคต พลางคิดว่าหากกินเสร็จแล้ว จะหนีไปอย่างรวดเร็ว
‘หัวใจของสวี่เอ้อร์หลางหนักอึ้ง พลางคิดว่า เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ ข้ามาช้าไปใช่หรือไม่…’
“ซือมู่ ซือมู่…”
เขาเดินไปหา และเขย่าไหล่ของหวางซือมู่เบาๆ
หวางซือมู่เงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาที่ไม่แสดงอะไร มองเขาอย่างว่างเปล่า
ไม่กี่วินาทีต่อมา หวางซือมู่ก็หลุดออกมาจากความโศกเศร้า จับมือเขาแน่นแล้วพูดด้วยน้ำตา “เอ้อร์หลาง น้องสาวของเจ้าโกรธข้า!”
“เจ้ากับหลิงเยวี่ยทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ?”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้ว ในสมองของเขานึกถึงความเป็นไปได้ขึ้นมาทันที หวางซือมู่และสวี่หลิงเยวี่ยทะเลาะกัน บนใบหน้าของสวี่หลิงเยวี่ย มีคำว่า หาก ‘เสียใจ’ ก็ไปบอกพี่ใหญ่เถอะ
พี่ใหญ่ต้องพูดอะไรที่น่ารำคาญ เพื่อทำให้หวางซือมู่โกรธมากแน่ๆ พี่ใหญ่คนนี้เป็นคนที่มีนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
หวางซือมู่ส่ายหัวมองไปที่สวี่หลิงอินที่ไร้หัวใจ และสะอื้นออกมา “นางต่างหากล่ะ…ข้าอุตส่าห์เห็นใจอยากจะสอนเลขให้นาง แต่นาง นางแค่อยากจะกวนประสาทข้า”
สวี่เอ้อร์หลางสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองดูนางด้วยท่าทีที่ไม่เข้าใจ “เจ้า เหตุใดเจ้าถึงหาเรื่องใส่ตัว? พวกหนุ่มๆ ของสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น หลี่เต้าฉาง ฉู่หยวนเจิ่น พวกเขาต่างก็เคยถูกหลิงอินกวนประสาทมาแล้ว นับประสาอะไรกับเจ้า?”
หวางซือมู่ไม่เชื่อและพูดว่า “แต่ แต่ว่าหลิงเยวี่ยบอกว่า ที่หลิงอินไม่ไปโรงเรียนเพราะนางถูกรังแกที่โรงเรียน และนี่ก็เป็นความจริงด้วย ข้าก็เลยคิดที่จะช่วยสอน…”
ดูเหมือนว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและหยุดพูด
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ
บนสันเขาในระยะไกล สวี่ชีอันหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้
หลี่เมี่ยวเจินเตะเขา แต่ตัวเขาเองก็ลำบากที่จะหยุดหัวเราะเช่นกัน
“ข้า ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดฉู่หยวนเจิ่นถึงโกรธขนาดนั้น ฮ่าฮ่า เจ้าบ้านั่นพยายามสอนเลขให้กับหลิงอินด้วย ไม่ไหว ไม่ไหว ข้าหัวเราะจนปวดท้องไปหมด…”
สวี่ชีอันจับท้อง หัวเราะจนน้ำตาไหล ในที่สุดเขาก็รู้ว่าฉู่หยวนเจิ่นกำลังเผชิญกับอะไรในสำนักอวิ๋นลู่
“น้องสาวคนโตของเจ้าใจดำจริงๆ” หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง