บทที่ 441 กลอุบายเฉียบคม
“หากเจ้าความสามารถ คิดจะพาเขากลับทางเหนือด้วยก็สุดแล้วแต่เจ้าเลย แต่ก่อนหน้านั้น อย่ามาขวางเรื่องของข้า” เผยหม่านซีโหลวเอ่ยเสียงนิ่ง
“เรื่องของเจ้า…”
หวงเซียนเอ๋อร์มองดูเล็บตัวเองแล้วเก็บท่าทีอวดดีกลับพลางกล่าวว่า “ข้าว่านะ คนที่เย่อหยิ่งจองหองแบบเจ้า เหตุใดถึงยอมแพ้ให้กับคนที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนกันล่ะ”
“หลายวันมานี้ ข้าลองสอบถามดูแล้ว ถึงแม้สวี่ชีอันจะเป็นอัจฉริยะกวีแห่งยุค แต่กลับไม่เคยฉายแววด้านกลยุทธ์ทางทหาร ข้าจึงสงสัยว่าเว่ยเยวียนอาจเป็นคนเขียนตำราพิชัยสงครามเล่มนั้นต่างหาก ดังนั้นข้าจึงอยากจะไปพบเขาแล้วลองทดสอบดู แน่นอนว่า หากเขาเป็นคนเขียนตำราพิชัยสงครามเล่มนั้นจริงๆ…”
เผยหม่านซีโหลวเงียบงันไปพักหนึ่งก็กำหมัดเบาๆ ในน้ำเสียงมีความตื่นเต้นและคาดหวังเล็กน้อย
“ข้าก็อยากจะสอบถามเกี่ยวกับวิธีการพลิกสถานการณ์ของศึกทางเหนือจากเขาสักสองสามข้อ กลยุทธ์ทางทหารแบบนี้ทุกคนมักจะมีความเห็นแตกต่างกันไป บางทีมันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะในสมรภูมิได้เลย”
หวงเซียนเอ๋อร์หน้ามุ่ย “เกินจริงไปกระมัง”
รถม้าหยุดลง ทั้งสองเลิกม่านขึ้นและลงจากรถ
เหล่าจางผู้เฝ้าประตูเดินนำพวกเขาเข้าประตู เมื่อหวงเซียนเอ๋อร์เข้าสู่จวนสกุลสวี่นางก็มองซ้ายแลขวาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลยนี่นา!”
ช่วงนี้นางตามเผยหม่านซีโหลวไปวิ่งเล่นสังสรรค์อยู่ในจวนของขุนนางเมืองหลวงมากมาย เคยเห็นจวนอันงดงามหรูหราก็มาก แต่รูปแบบและอาคารของจวนสกุลสวี่นั้นถือว่าอยู่ในระดับพอกินพอใช้
พวกเขาเดินผ่านทางเดินที่ปูด้วยหินสีเขียว ด้านหน้าคืออาคารที่มีลักษณะโอ่อ่าและมุมหลังคาสองข้างเชิดขึ้น นี่คือโถงด้านนอกสำหรับรับแขกของจวนสกุลสวี่
ดวงตาของหวงเซียนเอ๋อร์สว่างไสว นางเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดสีดำ คลุมด้วยเสื้อคลุมปักดิ้นเงินดิ้นทองและใส่เครื่องประดับหรูหรากำลังยืนอยู่ที่ประตูโถงด้านนอก
และกำลังมองมาที่พวกเขาด้วยรอยยิ้ม
องคาพยพบนใบหน้าราวกับแกะสลักและเต็มไปด้วยความเป็นบุรุษผู้แข็งกร้าว แต่กลับไม่หยาบกระด้าง พอมองดูดีๆ ก็จะพบว่าความจริงแล้วงดงามมากทีเดียว
เพียงแต่ดวงตาของเขาเฉียบคม ร่างกายกำยำ กล้ามเนื้อเป็นสีข้าวสาลี ทำให้เขาดูแตกต่างจากญาติผู้น้องที่งดงามของตนโดยสิ้นเชิง
‘ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็คู่ควรให้ข้ารักข้าชอบแล้ว’…รอยยิ้มของหวงเซียนเอ๋อร์เผยเสน่หาออกมาโดยไม่รู้ตัว
สวี่ชีอันเคยพบพวกเขาในงานชุมนุมวรรณกรรมมาแล้ว ดังนั้นจึงเพียงกวาดตามอง ไม่ได้จ้องมองอะไรมาก
อืม ปีศาจสาวหวงเซียนเอ๋อร์ยังคงพราวเสน่ห์เช่นเคย! เขาพึมพำอยู่ในใจแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ทั้งสองท่านเชิญด้านใน!”
‘เขาเพียงแค่เหลือบมองข้าเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เผยความลุ่มหลวงตกตะลึงแบบที่บุรุษทั่วไปควรมี แต่ข้ากับเขาเพิ่งเจอกันครั้งแรกมิใช่หรือ…
‘ต้องไม่ใช่เพราะข้าไม่มีเสน่ห์มากพอหรอก แต่เป็นเพราะฆ้องเงินสวี่ผู้นี้อาจจะมีความต้านทานต่อเสน่ห์ความงามที่แรงมากๆ หรือไม่ก็ ข่าวลือที่แพร่ไปทั่วเมืองหลวงเกี่ยวกับเขาและคณิกาสำนักสังคีตนั้น ความจริงเป็นแค่เรื่องหลอกลวงที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นก็ได้’…หวงเซียนเอ๋อร์ที่ฉลาดและมีไหวพริบสังเกตรายละเอียดนี้และเก็บมันไว้ในใจของตนเงียบๆ
‘ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็แสดงว่าฆ้องเงินสวี่ไม่ใช่คนธรรมดา การจะยั่วยวนเขานั้นก็เป็นเรื่องยาก’
‘แบบนี้ก็สนุกดีไม่ใช่หรือ หากแค่โบกมือก็คลานขึ้นเตียงได้ เช่นนั้นก็ไม่ท้าทายน่ะสิ…ได้ยินมาว่ามีสตรีจากสกุลดีไม่รู้ตั้งกี่คนที่ชื่นชมเขาอยู่ด้วย’
‘ฮึ ข้าจะนอนกับคนหนุ่มผู้โดดเด่นที่สุดในต้าฟ่งให้ดู!’
‘ข้าจะต้องเกี้ยวชายหนุ่มที่สตรีนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงใฝ่ฝันขึ้นเตียงให้ได้!’
‘ลองคิดดูสิ ชายหนุ่มผู้โดดเด่นที่สุดในต้าฟ่ง ฆ้องเงินสวี่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่ใฝ่ฝันของสตรีนับไม่ถ้วนในเมืองหลวง แต่กลับถูกชาวต่างแดนเช่นนางลวงขึ้นเตียงได้ แบบนั้นจะสะใจเพียงใดและคงเป็นเรื่องที่สุขใจอย่างยิ่ง’
นอกจากเป็นการเปลี่ยนทัศนคติของสตรีในเมืองหลวงแล้ว เมื่อกลับไปที่เผ่า นางก็ยังสามารถคุยโวต่อหน้าพวกพี่สาวน้องสาว และทำให้พวกจิ้งจอกนั่นอิจฉาริษยาได้อีกด้วย
สวี่ชีอันนำทูตปีศาจทั้งสองเข้าไปในห้องแล้วสั่งให้คนรับใช้ยกชามาให้ จากนั้นก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธานแล้วเอ่ยติดตลก
“รู้ทั้งรู้ว่าข้ากับองค์จักรพรรดิไม่กินเส้นกัน แต่พวกท่านก็ยังมาเยี่ยมเยียน ต้องการจะหาที่ตายให้ข้าหรือนี่”
เนื่องจากสองคนนี้เป็นคนจากเผ่าปีศาจ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยเตือนสตรีในบ้านล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้อย่าออกมาวิ่งเล่นนอกห้อง
เผยหม่านซีโหลวรับมารยาท เขาจิบชาพอเป็นพิธีแล้วเอ่ยติดตลกด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
“บุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งล้วนรู้กันไปทั่วแล้ว ข้าเพียงสงสัยว่าฆ้องเงินสวี่จะจัดการกับมันอย่างไร”
สวี่ชีอันแย้มยิ้มแต่ไม่ตอบกลับ เพียงเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เป็นฆ้องเงินมานานแล้ว”
เผยหม่านซีโหลวหยุดหัวข้อนั้นไว้แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ในวันที่จัดงานชุมนุมวรรณกรรม ข้าได้เห็นตำราพิชัยสงครามของคุณชายสวี่ ราวกับได้เห็นเทพเทวดามาโปรดเชียวล่ะ ความจริงแล้วข้านั้นชื่นชมคุณชายสวี่มานานแล้ว”
หวงเซียนเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ “บ่าวก็เคารพเลื่อมใสคุณชายสวี่มานานแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางนุ่มละมุน ยามเอ่ยพูดราวกับกำลังออดอ้อน
สวี่ชีอันกลับทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางโปรยเสน่ห์ของมนุษย์จิ้งจอกคนงามผู้นี้ ใบหน้าก็เพียงแต้มยิ้มบางๆ
“ความอัจฉริยะของคุณชายเผยหม่านก็ทำให้ข้าประหลาดใจเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าคนจากชนเผ่าภายนอกจะมีปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย ท่านถึงกับสามารถใช้ความอัจฉริยะของตัวเองเอาชนะความเคารพชื่นชมจากต้าฟ่งได้”
หวงเซียนเอ๋อร์ย่นปากแล้วเอ่ยเสียงหวาน “แล้วบ่าวล่ะ บ่าวเอาชนะความชื่นชมของคุณชายได้หรือไม่เจ้าคะ”
เจ้าน่ะหรือ ปีศาจจิ้งจอกอย่างพวกเจ้าเอาชนะความชื่นชมของทั้งวงราชการได้ตั้งนานแล้ว…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ เขาเพียงยิ้มแผ่วเบาให้กับคำพูดหยอกเย้าเช่นนี้
นางจิ้งจอกจากเผ่าจิ้งจอกนั้น ตอนนี้ได้รับคำชมในทางที่ดีจากแวดวงราชการของต้าฟ่งอย่างเป็นเอกฉันท์ มีการพูดถึงแบบส่วนตัวเป็นอย่างมากในวงราชการของเมืองหลวง แม้แต่สวี่เอ้อร์หลางก็ยังได้ยินมา ยามที่คุยกับพี่ใหญ่ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย
“แต่ถึงจะเป็นข้า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับม้าเหล็กของจิ้งกั๋วก็รู้สึกว่าตึงมือเป็นพิเศษ ทหารม้าเหล็กเผ่าเทพนั้นแข็งแรงกำยำ เป็นเรื่องที่ทุกคนในจิ่วโจวล้วนรู้กันดี แต่ความห้าวหาญของบุคคลนั้นเป็นอาวุธที่ใหญ่ยิ่งกว่า” เผยหม่านซีโหลวเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“ที่เรามาเยี่ยมเยียนในคราวนี้ ซีโหลวต้องการขอคำแนะนำจากคุณชายสวี่สักหน่อยน่ะ”
ขอคำแนะนำ? ข้าเป็นแค่ครูพักลักจำเท่านั้น ข้าไม่ได้เป็นคนเขียนตำราพิชัยสงครามซุนจื่อสักหน่อย ซุนจื่อต่างหากที่เป็นคนเขียน ชื่อหนังสือก็บอกไว้ชัดแล้วไม่ใช่หรือ…ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการรบอย่างเจ้าจะมาขอคำแนะนำอะไรจากข้า
สวี่ชีอันพร่ำบ่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเรียบๆ ว่า “ข้าเขียนอยู่ในหนังสือทหารแล้วว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
เมื่อได้ยินคำตอบของเขา รอยยิ้มที่มุมปากของเผยหม่านซีโหลวก็กว้างขึ้นกว่าเดิม จนเกิดความยอมรับในขั้นแรกต่อความสามารถของฆ้องเงินสวี่ผู้นี้ ก่อนเอ่ยช้าๆ ว่า
“ข้าร้อนใจเกินไป อืม จิ้งกั๋วมีทหารม้าสองประเภท ประเภทแรกถูกเรียกว่าทัพเกราะไฟ ซึ่งมาจากเกราะที่ทำจากวัสดุพิเศษบนร่าง พาหนะของพวกเขาคือสัตว์เกล็ดเขาเดียว เป็นสัตว์ประหลาดที่มีคุณภาพการทำศึกค่อนข้างสูงและเป็นพันธุ์ผสมกับสัตว์ประหลาดชื่อ ‘จา’ ของจิ้งกั๋ว สัตว์ร้ายตัวนี้มีพลังแข็งแกร่งจนน่ากลัว เกล็ดของมันมีพลังป้องกันอันน่าสะพรึง ยามที่เขาเดียวบนหัวพุ่งเข้ามาจู่โจม ก็ไม่มีสิ่งใดที่เอาชนะไม่ได้ แม้แต่ทหารม้าหนักที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าอนารยชน เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขาก็ไม่กล้าพูดว่าตนจะชนะแน่นอน เพราะทัพเกราะไฟมีมากถึงสี่หมื่น ส่วนทหารม้าอีกประเภทของพวกเขาก็คือทหารม้าเหล็กทั่วไป”
ทหารม้าหนักที่เกิดจากสัตว์ประหลาดสี่หมื่นตัว มิน่าเล่าถึงสามารถกวาดล้างชนเผ่าปีศาจได้…สวี่ชีอันแอบตกตะลึง
เผยหม่านซีโหลวกล่าวต่อ “แต่ก็ไม่ควรประมาททหารม้าเบาของพวกเขาเช่นกัน พวกมันห้อตะบึงดุจดั่งเพลิง หลังจากทหารม้าหนักจู่โจมเข้ามาแล้ว ทหารม้าเบาก็จะรับหน้าที่จัดการกับกองทัพศัตรูที่แตกพล่าน เมื่อสองฝ่ายร่วมมือกัน อุปสรรคใดๆ ล้วนฝ่าฟันไปได้ทั้งนั้น นอกจากนั้น ทางด้านเหนือส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่ราบลุ่ม ไม่เหมือนกับภาคกลางที่มีภูเขาลำธารหนาแน่น ที่หากหาภูมิประเทศดีๆ ก็สามารถควบคุมกองทัพประหลาดของจิ้งกั๋วได้แล้ว เช่นนั้นขอถามฆ้องเงินสวี่หน่อยเถิดว่า เผ่าเทพทางเหนือของข้าควรจะจัดการอย่างไรดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง