บทที่ 442 แค่นี้หรือ?
คำพูดของสวี่ชีอันราวกับเทวดามาโปรด เปิดความคิดของเผยหม่านซีโหลวออกทันใด
ในบรรดาสามก๊กของทางตะวันออกเฉียงเหนือนั้น เมืองหลวงของจิ้งกั๋วอยู่ด้านเหนือสุดและมีพรมแดนติดกับอาณาเขตของเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิมในทางเหนือ ตอนนี้ทหารม้าเหล็กของจิ้งกั๋วแทบจะถูกส่งออกมาหมดแล้ว การป้องกันภายในจะต้องอ่อนลงอย่างแน่นอน
นี่คือสิ่งที่เหมาะแก่การลอบโจมตีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากต้องการอ้อมเข้าไปโจมตีเมืองหลวงของจิ้งกั๋ว เช่นนั้นก็ต้องทำเงื่อนไขอย่างหนึ่งให้สำเร็จ นั่นก็คือ ต้องมีอาวุธโจมตีเมือง
ก่อนหน้านี้เผยหม่านซีโหลวไม่เคยคิดถึงกลศึกนี้มาก่อน นั่นก็เพราะปีศาจและอนารยชนทั้งสองเผ่าไม่เชี่ยวชาญด้านการทำศึกล้อมเมือง แต่ตอนนี้แตกต่างไปแล้ว เมื่อมีกองทัพของต้าฟ่งเข้าร่วมด้วยและมีทั้งปืนใหญ่ หน้าไม้ กับปืนยิงกำแพงเมือง
การจะบุกทะลวงเมืองหลวงของจิ้งกั๋วที่มีการป้องกันอ่อนแอก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
เผยหม่านซีโหลวมองไปยังสวี่ชีอันแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
“แผนนี้เป็นไปได้ แต่ต้องคว้าโอกาสให้ถูกจังหวะ จิ้งกั๋วรู้อยู่แล้วว่าเมืองหลวงของตนขาดการป้องกัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว กองทัพของเหยียนกั๋วและคังกั๋วยังไม่เคลื่อนไหว หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาก็คือร่มกำบังที่จิ้งกั๋วกล้าเรียกออกมาแน่”
หือ? แผนนี้ยังใช้การไม่ได้อีกเหรอ…สวี่ชีอันนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้ยินเผยหม่านซีโหลวกล่าวต่อ
“แต่ถ้าหากกองทัพของต้าฟ่งแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปรวมกับกองกำลังของเผ่าเทพของข้า ส่วนอีกกลุ่มบุกออกไปจากตะวันออกเฉียงของต้าฟ่ง เพื่อสู้กับคังกั๋วและเหยียนกั๋ว หากเป็นเช่นนี้ สองก๊กนั้นจะต้องห่วงตัวเองและถอนกำลังที่จัดวางอยู่ในจิ้งกั๋วแน่ และด้วยตรรกะเดียวกัน พวกพ่อมดขั้นสูงในเมืองจิ้งซานอันเป็นเมืองฐานหลักของสำนักพ่อมดจะออกมาต่อกรกับกองทัพต้าฟ่งที่กล้ารุกรานแคว้น หรือว่าจะยังป้องกันเมืองหลวงของจิ้งกั๋วตาใสกันล่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว
“กองทัพของทั้งเหยียนและคังต้องกลับมาป้องกันเมืองโดยมีพ่อมดขั้นสูงเข้าร่วมด้วย และหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น พวกเราก็จะสามารถลอบโจมตีเมืองหลวงของจิ้งกั๋วได้แน่ เพราะไม่ว่าจะเป็นคังหรือเหยียน หรือต่อให้เป็นพ่อมดขั้นสูงของสำนักพ่อมดก็ดี ล้วนแต่ยากจะวิ่งมาช่วยเหลือจิ้งกั๋วได้ทันในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีระยะทางหลายพันลี้ เช่นนั้น พอเมืองหลวงใกล้จะล่มสลาย ทหารม้าของจิ้งกั๋วจะยังรุกรานอยู่ที่ชายแดนเหนือหรือจะกลับไปช่วยกันล่ะ”
เผยหม่านซีโหลวยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ในหัวของเขาถึงขั้นคิดกลยุทธ์การตีเมืองแล้วจิ้งกั๋วส่งทหารม้ากลับมาช่วยเหลือได้เป็นชุดๆ แล้ว
เผยหม่านซีโหลวยืนขึ้นอย่างเคร่งขรึมแล้วรวบมือคำนับ “คุณชายสวี่ ท่านเป็นปรมาจารย์การศึกที่แท้จริง ดวงตาของข้าสว่างไสวดุจดั่งคบเพลิงแล้ว ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ”
ที่แท้ความคิดแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาของข้ากลับยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยหรือ นี่ข้าเป็นอัจฉริยะแห่งการศึกหรือเปล่าเนี่ย? สวี่ชีอันตกตะลึงเมื่อได้ยิน
เผยหม่านซีโหลวกล่าวต่อว่า “หลังพลบค่ำ ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นที่หอเทียนเซียงเพื่อต้อนรับคุณชายสวี่โดยเฉพาะ หวังว่าคุณชายสวี่จะให้เกียรติมา”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ได้”
เขาลุกขึ้นยืนตามแล้วเดินไปส่งสองคนจากเผ่าปีศาจและอารนารยชน แต่ไม่รู้ว่าหวงเซียนเอ๋อร์จงใจหรือไม่ เอวยามเดินกลับบิดไปมาดูมีเสน่ห์อย่างมาก อีกทั้งสะโพกของนางก็เป็นทรงโค้งชวนหวั่นไหว
ช่างเป็นคนงามที่เป็นเลิศทั้งหน้าตาและรูปร่างเสียจริง…สวี่ชีอัน เซียนแห่งหอคณิกาแสดงความคิดเห็นเงียบๆ
…
ในห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งปูด้วยผ้าไหมสีเหลืองและมีฎีกากองหนาวางอยู่ข้างๆ
เขาเพียงเปิดอ่านพวกมันบางส่วน ซึ่งมาจากเว่ยเยวียนนั่นเอง
เว่ยเยวียนเป็นผู้นำของการออกศึกครั้งนี้ นี่เป็นเรื่องที่กำหนดเอาไว้นานแล้ว
ไม่ใช่ว่าต้าฟ่งไม่มีคนที่เชี่ยวชาญในการนำทัพ แต่ในเมื่อมีเทพสงครามชั้นยอดอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องเสียเวลาปวดหัวเพิ่มด้วยเล่า
ในฎีกา เว่ยเยวียนให้เขียนความเห็นของตนกำกับไว้ เขาต้องการระดมพลหนึ่งแสนสองหมื่นคน โดยให้ทัพสองหมื่นนายไปยังแดนเหนือ เพื่อรวมกับกองกำลังคุ้มกันห้าหมื่นนายของฉู่โจว
กำลังพลเจ็ดหมื่นนายนี้จะช่วยเหลือเผ่าปีศาจและอนารยชนที่แดนเหนือเพื่อต่อกรกับทหารม้าเหล็กไร้ใดเทียมของจิ้งกั๋ว
ส่วนทหารอีกหนึ่งแสนนั้นเขาจะเป็นคนนำทัพด้วยตัวเอง โดยจะให้ออกเดินทางจากสามเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วบุกเข้าไปในดินแดนของคังกั๋วและเหยียนกั๋ว เพื่อตรงไปยังเมืองหวงหลงจิ้งซานตรงๆ
แน่นอนว่า ทหารหนึ่งแสนจะต้องระดมมาจากเมืองต่างๆ เพราะในค่ายทหารใหญ่ทั้งสามแห่งของเมืองหลวงสามารถมอบให้ได้มากสุดหนึ่งหมื่น มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เนื่องจากจำเป็นต้องเหลือไว้ป้องกันเมืองหลวงด้วย
จักรพรรดิหยวนจิ่งอ่านฎีกาอย่างเงียบๆ เขาไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ชาในถ้วยเย็นลงและร้อนขึ้น และเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นอีกครั้ง หลังจากเปลี่ยนชาไปสามครั้ง เขาจึงยกพู่กันขึ้นและอนุมัติ
หลังสิ้นสุดการพิจารณา สถาบันใหญ่อย่างราชสำนักก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กรมทหารและเว่ยเยวียนรับผิดชอบในการจัดสรรกำลังพล ขณะที่กรมการคลังรับผิดชอบเรื่องเสบียงและเงินทอง
ตอนนี้ขุนนางแต่ละคนท้องพระโรงล้วนแต่เคยเข้าร่วมการรบที่ด่านซานไห่เมื่อปีนั้นทั้งสิ้น จึงไม่ได้แปลกใหม่กับเรื่องการศึก
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ข่าวการศึกที่แดนเหนือถูกส่งมายังเมืองหลวง บุคคลยิ่งใหญ่เหล่านี้ก็ล้วนคาดเดาในใจได้แล้ว จึงแอบเตรียมตัวอยู่เงียบๆ
จักรพรรดิหยวนจิ่งเปิดอ่านสาส์นฉบับที่สองซึ่งมาจากกรมทหาร บนนั้นเขียนรายชื่อแม่ทัพและตำแหน่งต่างๆ ที่จะส่งไป หลังจากกวาดตามองรอบหนึ่ง เขาก็ยิ้มเยาะออกมา
“พวกปุ๋ยคอกที่หวังจะใช้โอกาสนี้มาสร้างผลงานทางทหารให้ตัวเองแท้ๆ เชียว ใช่น่ะสิ ออกรบพร้อมกับเว่ยเยวียน ผลงานจะไม่เท่ากับได้มาเปล่าๆ หรอกหรือ”
เขายกพู่กันด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ขณะกำลังจะอนุมัติก็พลันหยุดชะงักเสียก่อนแล้วเอ่ยว่า “ญาติผู้น้องคนนั้นของสวี่ชีอันก็เป็นลูกศิษย์ของจางเซิ่นและฝึกฝนด้านตำราพิชัยสงครามมาเป็นหลัก ใช่หรือไม่”
ขันทีเฒ่าตกอกตกใจ “กระหม่อม กระหม่อมจำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะขึ้นมา “แต่ข้าจำได้ นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย อัจฉริยะจากสำนักอวิ๋นลู่ผู้ฝึกตำราพิชัยสงครามมาด้วย อีกทั้งข้าก็เป็นผู้ที่ชื่นชมบุคคลมีความสามารถ เช่นนั้นก็ให้โอกาสเขาไปออกทัพแล้วกัน อ่า ถ้าหากเขาไม่ยินยอม ข้าก็จะยึดตำแหน่งซู่จี๋ซื่อของเขาเสีย แล้วโยนเขาทิ้งไว้ในซอกมุมก็เป็นพอ”
จากนั้นจึงเพิ่มคำว่า ‘สวี่ซินเหนียน’ ลงไปอีกสามคำ
…
สำนักโหราจารย์
ท่านโหราจารย์นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสุรา มือของเขาถือแก้วสุราแล้วมองดูโลกมนุษย์ด้วยท่าทางกึ่งเมากึ่งตื่น
เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดดังขึ้น ชายในชุดสีครามเดินขึ้นมายังแท่นแปดทิศผู้เดียว แขนเสื้อกว้างของเขาโบกสะบัดไปตามจังหวะก้าว
“มาแล้วหรือ”
ท่านโหราจารย์หัวเราะด้วยเสียงแหบชรา
“ข้าอยากจะมาเยี่ยมเยียนตาเฒ่าอย่างเจ้าก่อนออกรบเสียหน่อย”
เว่ยเยวียนเดินเข้ามาแล้วหยุดอยู่ข้างๆ ท่านโหราจารย์พร้อมกับมองดูเมืองหลวงด้วยท่าทางราวกับชมบุปผา จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ดูมาห้าร้อยปีแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือ”
“ไม่เบื่อ!”
ท่านโหราจารย์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถดึงดูดสายตาข้าได้ ซึ่งเจ้า เว่ยเยวียน ก็เป็นหนึ่งในนั้น ถูกบังคับให้เข้าไปในวังโดยที่ไม่เต็มใจ นี่ยังไม่ถือเป็นอะไร ทหารขั้นสามสามารถงอกแขนขาได้ใหม่หากถูกตัด นี่จึงทำให้เจ้ากลับมาเป็นชายแท้ได้อีกครั้งอย่างง่ายดาย
“เว่ยเยวียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องที่เอาชนะได้ยากที่สุดในชีวิตของคนเราคืออะไร ก็คือตัวของเจ้าเองอย่างไรเล่า ชีวิตของเราถูกผูกติดอยู่กับความรู้สึก ทั้งสงสาร โศกเศร้า และน่าสังเวช การฝึกตนที่ละทิ้งตัวเองของเจ้านั้น ในสายตาข้าคือการทำลายเพียงชั่วครู่แล้วลุกขึ้นมาใหม่ ในเมื่อเจ้าไม่กราบข้าเป็นอาจารย์ แต่ขอเพียงไม่ละทิ้งจิตใจที่มีต่อสายวิทยายุทธ์ ข้าก็สามารถช่วยให้เจ้าไปสู่ขั้นหนึ่งได้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีไม่กี่คนหรอกนะ แต่เจ้ากลับปกป้องสตรีผู้นั้นที่อยู่ในวังและปล่อยให้พรสวรรค์ของตัวเองเสียไปอย่างไร้ค่า ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ จนเสียโอกาสที่จะไปสู่จุดสูงสุดแล้ว”
เว่ยเยวียนยืดตัวสูงแล้วเงยหน้ารับลม ก่อนยิ้มออกมา
“รู้หรือไม่ว่าทำไมตอนนั้นข้าถึงไม่กราบเจ้าเป็นอาจารย์ เพราะเจ้ากับข้าไม่ใช่คนที่เดินทางเดียวกันอย่างไรเล่า ในโลกนี้มีคนแสวงหาชีวิตยืนยาว มีคนแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย และมีคนแสวงหาจุดสูงสุดของวิทยายุทธ์ แต่สิ่งที่ข้าแสวงหาก็คือหญิงสาวใต้ร่มไม้ที่แย้มยิ้มราวบุปผาตอนที่ข้ายังเยาว์วัยต่างหาก”
ท่านโหราจารย์ไม่พูดอะไรอีก เขาเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าคราม
มนุษย์ แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนก็ไม่อาจมองเห็นท้องฟ้าสูงและดวงดาวที่เปล่งประกายแสงเจิดจรัสได้
…
“สวยงามมากจริงๆ ในโลกนี้ ดาวชีวิตของเว่ยเยวียนถึงขั้นเป็นหนึ่งในดวงดาวที่สุกสกาวที่สุด เดิมที่เขาควรจะสว่างเจิดจรัส แต่เป็นเพราะความรู้สึก จึงทำให้ผู้คนเสียดาย”
ในภูเขาแห่งหนึ่ง ชายผู้สวมชุดขาวยืนอยู่บนยอดสูงสุดแล้วมองขึ้นไปบนฟ้าพลางพึมพำกับตัวเอง
ข้างโหรชุดขาวมีชายในชุดสีม่วงยืนอยู่ ท่าทางของเขางามสง่าและไว้หนวดยาว แฝงด้วยความน่าเกรงขามของผู้มีตำแหน่งสูงมาเป็นเวลานาน
“หากเว่ยเยวียนสามารถมารับใช้ใต้บัญชาของข้าได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะทำไม่สำเร็จ”
ชายชุดม่วงถอนหายใจ “หยวนจิ่งเป็นจักรพรรดิ แต่กลับคิดแต่เรื่องความเป็นอมตะ ทำเรื่องที่ขัดกับวิถีสวรรค์เช่นนี้ หากต้าฟ่งไม่ล่มสิถึงแปลก”
โหรชุดขาวยิ้มออกมา “อย่าได้ดูถูกหยวนจิ่งเชียว…”
หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็ยืนเอาไพล่มือไว้ข้างหลังแล้วเอ่ยว่า “มองไปทั้งต้าฟ่งและแม้แต่จิ่วโจว ผู้เดียวที่สามารถนำทัพไปถึงแท่นหลักของสำนักพ่อมดได้ เห็นจะมีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้นแล้ว นอกจากเขาก็ไม่มีผู้ใดอีก ไม่มีผู้ใดอีกเลย เจ้าเฒ่าซาหลุนอากู่มีชีวิตมานานเกินไป ครั้งนี้ถ้าเว่ยเยวียนทำให้เขาจบสิ้นได้ เช่นนั้นจะเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงปราดมองโหรชุดขาวคราหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อ “เชียนเอ๋อร์สิ้นแล้ว สิ้นด้วยน้ำมือของสวี่ชีอัน นี่เป็นสิ่งที่เจ้าวางเอาไว้สินะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง