ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 443

บทที่ 443 เปิดใช้งานคุณสมบัติใหม่หนังสือปฐพี

หลังจากกลับมาที่จวนสกุลสวี่ เขาก็ใช้เวลาทั้งช่วงเช้าศึกษาจิตดาบทั้งหลายที่ถูกรวบรวมอยู่ในคัมภัร์ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’

หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ปีนขึ้นไปบนหลังคา อาบแดด และงีบหลับอย่างสบายใจ

การปราบปีศาจสาวเมื่อคืนเขาต้องใช้ ‘คาถามหาอำนาจมังกรสวรรค์’ เพื่อสะกดปีศาจสาวให้อยู่หมัดตลอดคืน

ปีศาจสาวร้องห่มร้องไห้ขอความเมตตา แต่ในที่สุดฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งก็เป็นฝ่ายชนะ

ลำพังการต่อสู้ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวฆ้องเงินสวี่ก็ได้รับบาดเจ็บหนักเอาการ เขาจึงต้องงีบหลับสักครู่ เพื่อเติมพลังงาน

ในโลกนี้มีปีศาจสาวมากมายนับพัน การกำจัดปีศาจพิทักษ์ความดีงามถือเป็นหน้าที่ของผู้เที่ยงธรรม

จงหลีนั่งกอดเข่าอยู่ข้างเขา รูปร่างของศิษย์พี่จงอ้อนแอ้น บั้นท้ายอวบอิ่ม แต่ชุดคลุมผ้ากระสอบที่นางสวมอยู่เป็นประจำบดบังสิ่งที่สวรรค์ประทานให้นาง

บางครั้งเวลาที่นางนั่งในท่าที่โดดเด่นเช่นนี้ เสน่ห์เย้ายวนตามฉบับหญิงสาววัยสะพรั่งของนางก็จะเผยออกมา แม้จะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจก็ตาม

“ดูเหมือนว่า ‘จิต’ ของเจ้าจะติดอยู่ในช่วงคอขวดเสียแล้ว” จงหลีเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ศิษย์พี่หญิงก็คือศิษย์พี่หญิงจริงๆ แม้เบื้องหน้าจะทำตัวน่าสงสาร เพื่อขอความเมตตาและเห็นใจจากข้า แต่ก็ยังเป็นศิษย์พี่ที่น่าเคารพยกย่อง สายตาแหลมคม พูดได้ตรงเผงเลย”

สวี่ชีอันปิดเปลือกตาแสร้งหลับไป พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ

“ซะที่ไหนล่ะ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าพูดเสียหน่อย” จงหลีเอ่ยพึมพำ

สวี่ชีอันตกใจอย่างแรง เขาทะลึ่งตัวลุกขึ้น และถามด้วยสายตาลุกโชน “บอกมาเลย ผู้ชายคนแรกของเจ้าเป็นใคร”

จงหลีจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า “หา?”

นางอธิบายด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “ข้าไม่เคยพยายามเพื่อให้เจ้าเมตตาหรือว่า…เห็นใจ”

สวี่ชีอันโล่งอก เขาล้มตัวลงนอนต่อ “อ๋อ เจ้าหมายถึงเช่นนี้เอง”

ตราบใดที่เจ้ายังเป็นศิษย์พี่หญิงผู้มีสายตากว้างไกล พูดจาตรงประเด็นต่อไป เช่นนั้นเราก็เป็นสหายที่ดีต่อกันได้

จงหลีเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสับสน แต่ก็ยังตามความคิดของเขาไม่ทัน จึงย้อนกลับที่หัวข้อก่อนหน้านี้

“แม้ว่าข้าจะเป็นโหรแต่ก็พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับทหารบ้าง ทหารฝึกฝนจิต ซึ่งเป็นกระบวนการมองเห็นจิตดั้งเดิมของตนเอง คนที่ใช้ดาบตลอดทั้งปีใช่ว่าจะเข้าใจจิตดาบได้อย่างถ่องแท้ คนใช้กระบี่ก็ใช่ว่าจะรู้แจ้งในจิตแห่งกระบี่เช่นกัน มันไม่เป็นเช่นนั้น

“หากเจ้าต้องการหยั่งรู้ในเจตจำนง ก่อนอื่นเจ้าก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าตนเองใช้ดาบไปเพื่อการใด เจ้ารักดาบมากเพียงใด และเจ้าเต็มใจที่จะยกดาบเป็นเพื่อนคู่กายตลอดชีวิตหรือไม่”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “เช่นนั้นข้าไม่ต้องการ ชาตินี้ข้าขอเป็นเพื่อนคู่กายของสาวสวยจะดีกว่า ถ้าเป็นไปได้ ขออย่าจำกัดจำนวนด้วย”

จงหลีเมินคำพูดของเขา แล้วกล่าวต่อ “ส่วน ‘จิต’ ของเจ้า คือการผสมผสานเคล็ดวิชาอันหลากหลาย นี่เป็นจิตที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด มันมีพื้นฐานมาจาก ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ก็จริง แต่ดาบเดียวตัดฟ้าดินไม่ใช่จิตวิญญาณของมัน เจ้าจำเป็นต้องดึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณออกมา”

ดึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณออกมาหรือ? จิตวิญญาณของหอคณิกา หรือจิตวิญญาณของพวกกินฟรีล่ะ?

สวี่ชีอันถาม “เช่นนั้นควรทำอย่างไรล่ะ”

จงหลีส่ายหน้า “ไม่รู้ ข้าเองไม่ใช่ทหาร”

ไม่ใช่ทหาร แต่ยังมีหน้ามาพล่ามเป็นวรรคเป็นเวรนะ…สวี่ชีอันโมโห จึงยกมือขึ้นฟาดก้นงามงอนนุ่มเด้งของนางไปหนึ่งที

ถึงแม้จะตบเบาๆ แต่สะโพกของจงหลีกลับลื่นไถลไปตามสันหลังคา กลิ้งหลุนๆ ไปมาบนแผ่นกระเบื้อง ก่อนจะร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นเบื้องล่าง ราวกับถูกผลักอย่างรุนแรง

“ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่หญิง…ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”

สวี่ชีอันตกใจจนหน้าถอดสี

จงหลีร้องโอดโอยก่อนจะลุกขึ้นและกระชับเสื้อคลุมผ้ากระสอบของนางให้แน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ในโลกที่แสนหนาวเหน็บแห่งนี้ มีเพียงเสื้อคลุมเท่านั้นที่จะมอบความอบอุ่นแก่นาง

หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว สวี่ชีอันที่กำลังเล่นหมากเรียงห้าตัวกับสวี่หลิงอินก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา เขาเลิกสนใจเด็กน้อยผู้โง่เขลาข้างกาย แล้วหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ

จากนั้นก็เปิดอ่านข้อความ

หมายเลขสี่ ‘เกิดเรื่องขึ้นกับข้านิดหน่อย ข้าคงไม่สามารถร่วมสืบคดีของเหิงหย่วน และจักรพรรดิหยวนจิ่งกับเจ้าได้แล้ว’

สวี่ชีอันใจเต้นแรง เขาส่งข้อความลงไป ‘เจ้าต้องไปจากเมืองหลวงหรือ?’

นี่เป็นเหตุผลที่เรียบง่าย ไม่ว่าจะตามหาเหิงหย่วนหรือจักรพรรดิหยวนจิ่ง ล้วนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ยังมีเวลาเหลือเฟือให้ไปทำอย่างอื่นก่อน

การที่ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวเช่นนี้ ก็แสดงว่าตัวเขากำลังจะไปจากเมืองหลวงในอนาคตอันใกล้ และไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาในเร็ววัน

หมายเลขสี่ ‘ใช่แล้ว วันนี้เจียงลวี่จงจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาหาข้า บอกว่าเว่ยเยวียนต้องการให้ข้าไปออกรบ’

หากชิ้นส่วนหนังสือปฐพีสามารถส่งเครื่องหมายได้ ตอนนี้สวี่ชีอันจะส่งเครื่องหมายตกใจ และส่ง ! ไปด้วย

ฉู่หยวนเจิ่นไม่เคยมีประสบการณ์นำทัพออกรบด้วยซ้ำ เว่ยกงเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า

หมายเลขสอง ‘เว่ยเยวียนเป็นเทพแห่งสงครามจริงๆ หรือนี่? ให้เจ้าไปออกรบ สู้ส่งข้าไปแทนเสียยังจะดีกว่า อย่างน้อยข้าก็เคยนำทหารไปปราบกบฏที่อวิ๋นโจว’

ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวที่คิดเช่นนั้น…สวี่ชีอันรู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย

หมายเลขสี่ ‘โอ้ ตอนนั้นที่ข้าได้เป็นจอหงวน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามมาโดยตรง แต่ก็เคยอ่านตำราการทหารมาไม่น้อย เคยศึกษายุทธการครั้งใหญ่หลายต่อหลายครั้ง เช่น ยุทธการด่านซานไห่ ข้าจะไปหรือไม่ไปออกรบ มันขึ้นอยู่กับความต้องการของข้า หาใช่ประเด็นที่ว่าข้าทำได้หรือไม่ แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจตำราพิชัยสงครามเลยสักนิด แต่อย่างน้อยข้าก็ยังเทียบชั้นกับยอดฝีมือขั้นสี่ได้ก็แล้วกัน

‘ข้าละทิ้งท้องพระโรง และออกท่องยุทธภพมานานแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงราษฎรคนหนึ่ง ไม่สนใจที่จะกลับไปรับราชการอีก แต่นี่เขากลับเชิญให้ข้าไปออกทัพด้วย พวกเจ้าคิดว่าเว่ยเยวียนเพ้อเจ้อหรือไม่’

เอ่อ ความคิดของเว่ยกงนั้นยากแท้หยั่งถึงจริงๆ…สวี่ชีอันส่งข้อความไต่ถามไป ‘แล้วเจ้าตกลงหรือไม่’

หมายเลขสี่ ‘ข้ารับคำไปแล้ว’

หมายเลขหนึ่ง “…”

หมายเลขสอง “…”

หมายเลขสาม “…”

หมายเลขห้า “…”

ฉู่หยวนเจิ่นอธิบายด้วยอย่างแข็งกร้าว ‘ข้าไม่คิดจะหวนกลับไปเป็นขุนนางอีก ข้าเพียงแต่คิดว่าหากข้าใช้ดาบท่องไปในยุทธภพ คอยปราบปรามอธรรม ก็กำจัดคนชั่วได้เพียงหยิบมือ ลำพังตัวคนเดียวจะขจัดคนโฉดชั่วได้สักเท่าไรเชียว

‘อันที่จริงปณิธานของข้ายังคงเป็นการรับใช้ประชาชนต้าฟ่ง หากเข้าร่วมสงครามและพิชิตสำนักพ่อมดได้ ย่อมเป็นบุญกุศลครั้งใหญ่หลวง’

‘ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังกระแนะกระแหนถึงข้า’…หลี่เมี่ยวเจินบ่นในใจ

ที่พูดมายาวเหยียดเมื่อครู่ ก็เพื่อยกย่องตัวเองสินะ? สวี่ชีอันก่นด่าในใจ

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสนองเป็นเวลานาน ฉู่หยวนเจิ่นก็ส่งข้อความว่า ‘พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร’

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเป็นเชิงประจบประแจง ‘ยอดเยี่ยมเลย’

หมายเลขสอง ‘ยอดเยี่ยมเลย’

หมายเลขหนึ่ง ‘ยอดเยี่ยมเลย’

หมายเลขห้า ‘ยอดเยี่ยมเลย’

พวกเจ้าสามคนดูประจบประแจงยิ่งกว่าข้าเสียอีก…สวี่ชีอันกลอกตา

ฉู่หยวนเจิ่นค่อยๆ หายไปเงียบๆ ไม่โวยวายอะไรอีก

ในตอนนี้เอง นักบวชเต๋าจินเหลียนที่นิ่งเงียบมานานก็ส่งข้อความมา

‘ช่วงนี้ข้าต้องเก็บตัวเพื่อย่อยเมล็ดบัว อาจจะไม่ได้รับข้อความจากพวกเจ้าสักระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้การสื่อสารของพวกเจ้าล่าช้า อาตมาจะมอบสิทธิ์ให้กับพวกเจ้าอย่างหนึ่ง

‘จากนี้เป็นต้นไป ตราบใดที่พวกเจ้านำจิตเดิมใส่ลงไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พวกเจ้าก็สามารถเลือกคนที่ต้องการส่งข้อความให้เป็นการส่วนตัวได้ ไม่ต้องเรียกหาข้าอีก’

พูดจบ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เงียบหายไป ไม่ส่งข้อความมาอีก

ท่านผู้นำเต๋า ในที่สุดท่านก็เบื่อหน่ายกับบทบาทมนุษย์เครื่องมือแล้วหรือ…จิตนึกคิดของสวี่ชีอันสั่นไหว พลังจิตแทรกซึมลึกลงไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

เขาเข้าไปในโลกกระจกที่พร่ามัวอีกครั้ง และเห็นลำแสงสีต่างๆ แปดดวงเรียงรายตรงหน้าเขา ลำแสงทั้งแปดได้แก่สีแดง สีดำ สีเขียว สีขาว สีเหลือง รวมถึงแสงที่ขมุกขมัวมองเห็นสีเฉพาะไม่ชัดเจนอีกสี่ดวง

ไม่จำเป็นต้องระบุจงเจาะ ในฐานะผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าลำแสงที่อยู่ริมขวาสุดดวงแรก คือหมายเลขหนึ่ง

หมายเลขหนึ่งตัวตนลึกลับ ข้าน่าจะทดสอบเขา (หรือนาง) เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย…สวี่ชีอันรวบรวมจิตเดิม และสำรวจลำแสงที่เป็นตัวแทนของผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหมายเลขหนึ่ง

‘เพียะ!’

ทันใดนั้น ชิ้นส่วนของหมายเลขหนึ่งก็ควบแน่นเกิดเป็นพลังวิญญาณขนาดใหญ่ และสลายจิตเดิมของเขาจนแตกซ่าน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง