บทที่ 444 ครึ่งชีวิต
สวี่ชีอันเดินเข้าไปหาอย่างจำใจ ยังไม่ทันเข้าใกล้ อาสะใภ้ก็ประชิดตัวเข้ามาเสียเอง นางคว้ามือของเขาไปกุมแน่น แล้วพูดอย่างร้อนรนใจ
“เอ้อร์หลางจะไปรบได้อย่างไร ไก่สักตัวเขายังไม่เคยฆ่าด้วยซ้ำ เขาเป็นเพียงปัญญาชนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ องค์จักรพรรดิส่งเขาไปออกรบเช่นนี้ มะ ไม่เท่ากับส่งเขาไปตายหรอกหรือ”
พูดไป นางก็เริ่มสะอึกสะอื้น
สวี่หลิงเยวี่ยที่อยู่ในห้องโถงขณะนี้ ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงหน้างดงามของนาง เผยความกังวลใจต่อสวัสดิภาพของเอ้อร์หลางผ่านเรียวคิ้วกิ่งหลิวที่ขมวดมุ่น
“ท่านแม่ ข้าเป็นถึงบัณฑิตขั้นเจ็ด ขั้นเจ็ดเชียวนะ ท่านพ่อก็เพิ่งจะถึงขั้นเจ็ดเอง” สวี่ฉือจิ้วพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“มีประโยชน์อันใดเล่า พ่อของเจ้าเคยบอกกับข้าว่าปัญญาชนขั้นเจ็ด ก็เป็นแค่ไก่อ่อนไม่ต่างอะไรจากทหารขั้นเก้า” อาสะใภ้ตวาดแหวด้วยความโมโห
สวี่เอ้อร์หลางเถียงไม่ออกไปชั่วขณะ
สวี่ชีอันลูบหลังมือของอาสะใภ้เพื่อปลอบโยน จากนั้นก็กล่าวขึ้น “ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เสียทีเดียว ถ้าอับจนหนทางจริงๆ ก็ลาออกจากราชการเสีย”
“ลาออก!” อาสะใภ้ปาดน้ำตา
ในสายตาของสตรีเช่นนาง สงครามนั้นคือหายนะไม่ต่างจากฟ้าถล่มดินทลาย ในฐานะแม่คนหนึ่งนางยอมให้ลูกชายทิ้งอนาคต ยังดีกว่าถูกส่งไปสนามรบ
“ไม่ได้!”
สวี่ซินเหนียนตัดบทอย่างแข็งกร้าว ในฐานะปัญญาชนแห่งสำนัก จะถอนตัวจากสงครามเพราะรักตัวกลัวตายได้อย่างไร
อาสะใภ้ทรุดนั่งบนเก้าอี้ เอ่ยด้วยน้ำตาหลั่งริน “เจ้าเกิดมาจากท้องแม่ ความสามารถเจ้ามีมากน้อยเพียงใดมีหรือแม่จะไม่รู้ หากเจ้าเก่งกล้าสามารถอย่างพี่ใหญ่ของเจ้า แม่คงไม่ต้องสนใจ แต่นี่เจ้าเป็นปัญญาชนไร้ประโยชน์ เจ้าน่ะเก่งแต่ปาก แต่จะให้จับดาบไปตีรันฟันแทงกับผู้อื่น เจ้าทำได้เสียที่ไหน
“ในตระกูลคนรองมีเจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว หากเจ้ามีอันเป็นไป แม่ แม่ก็อยู่ต่อไปไม่ได้…”
สวี่หลิงเยวี่ยปลอบมารดาของตน พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ท่านแม่ ข้าร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามมาแล้ว สมรภูมิก็เป็นสนามเหย้าของข้า เป็นที่ที่ข้าฝึกฝนมา ตอนนี้โอกาสดีๆ ไม่ได้เข้ามาบ่อยครั้งนะขอรับ” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นี่เจ้าโง่หรือไร”
อาสะใภ้กรีดร้อง “ไอ้จักรพรรดิชาติชั่วนั่นมันอยากให้เจ้าตาย มันจงเกลียดจงชังหนิงเยี่ยน จนอยากให้ตระกูลของเราตกตายทั้งตระกูล เจ้าโง่เง่าเสียจนอาสาไปตายเองเชียวหรือ”
นางร่ำไห้ ภายใต้ความเดือดดาล ใบหน้าของนางแฝงด้วยความเคียดแค้นที่หาได้ยาก
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า สวี่ชีอันก็ตกตะลึง ความจริงแล้วอาสะใภ้รู้ดีถึงสถานการณ์ของจวนสกุลสวี่ รู้ว่าหลานชายของตนทำให้จักรพรรดิเคืองขุ่น ทั้งตระกูลถุกเพ่งเล็ง ตกอยู่ในวิกฤตอันตราย
แต่นางไม่เคยแสดงความกังวลในเรื่องนี้ออกมา และไม่เคยบ่นหลานชายจอมแส่สักครั้ง ไม่ใช่เพราะนางโง่เขลา แต่เพราะนางเห็นหลานชายเพียงคนเดียวที่เลี้ยงมากับมือเป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นลูกชายคนหนึ่งของนาง
บางคนปากบอกว่าไม่เห็นเจ้าในสายตา แต่ในใจนั้นรักและหวงแหนเจ้าสุดหัวใจ
สวี่ชีอันออกมาจากห้องโถงเงียบๆ ให้ข้ารับใช้นำแม่ม้าน้อยออกมา ก่อนจะห้อตะบึงไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที
…
ชั้นเจ็ดหอเฮ่าชี่
ภายในห้องน้ำชา สวี่ชีอันกล่าวพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด “เว่ยกง ไอ้จักรพรรดิหยวนจิ่งชาติชั่วนั้นไม่เลิกรังควานข้าเสียที มันเห็นว่าชื่อเสียงของข้าสูงส่ง ทั้งยังมีเจ้าสำนักจ้าวโส่ว ท่าน และท่านโหราจารย์คอยหนุนหลัง ก็เลยไม่แตะต้องข้า แต่หันไปเล่นงานฉือจิ้วแทน”
เหตุใดสวี่ชีอันจึงไปไม่จากเมืองหลวง แต่กลับอาจหาญสืบเรื่องของจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างลับๆ น่ะหรือ ก็เพราะมีลูกพี่ตัวเป้งทั้งสามคนคอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง
นอกจากนี้เขายังทำตัวไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ไม่หาเรื่องจักรพรรดิหยวนจิ่งต่อหน้า
แต่เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจักรพรรดิหยวนจิ่งจะชำระบัญชีกับเขา จักรพรรดิองค์นี้เป็นพวกเหลี่ยมจัด ทั้งยังมีความอดทนอดกลั้นสูงพอที่จะรอคอย เช่นเดียวกับครั้งนี้
สวี่ชีอันไม่กลัวจักรพรรดิหยวนจิ่ง ห่วงแต่อารองและเอ้อร์หลางมากกว่า หากจักรพรรดิหยวนจิ่งคิดจะโยนความผิดไปให้พวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น
เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ “เจ้ามีความคิดอย่างไร”
สวี่ชีอันกล่าวเป็นการหยั่งเชิง “เว่ยกงพอจะช่วยทัดทานได้หรือไม่”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เช่นนี้ ก็ยากจะปฏิเสธ”
สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ข้าเองก็อยากร่วมทัพกับเอ้อร์หลางด้วย และคอยปกป้องเขาอยู่เบื้องหลัง แต่สังหรณ์ใจว่าหากข้าไปจากเมืองหลวง ครอบครัวของข้าจะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ข้าจึงทำได้เพียงมาขอพึ่งพาเว่ยกง
“เว่ยกงเป็นกุนซือในการศึกครั้งนี้ โปรดช่วยข้าดูแลเอ้อร์หลางด้วยเถิด”
ท่านโหราจารย์และจ้าวโส่วปกป้องเขาได้ แต่ลูกพี่ทั้งสองคนนั้นจะยอมเป็นองครักษ์ ปกป้องครอบครัวของเขาหรือ?
สวี่ชีอันไม่มั่นใจในเรื่องนี้ มีเพียงเว่ยเยวียนคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่เขาเชื่อใจ
ท่านโหราจารย์และจ้าวโส่วเห็นเขาเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่ง จึงจดจำเพียงตัวเขา หาใช่ครอบครัวของเขา เว่ยเยวียนเห็นเขาเป็นคนสนิทและคนสำคัญ ดังนั้นเว่ยเยวียนจึงสามารถดูแลครอบครัวของเขาได้
เว่ยเยวียนจิบชาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะส่งสวี่ซินเหนียนไปประจำทางเหนือ ไปอยู่กับเจียงลวี่จงและหยางเยี่ยนที่สนิทสนมกับเจ้าที่สุด อีกทั้ง ฉู่หยวนเจิ่นก็จะขึ้นเหนือเช่นกัน”
สวี่ชีอันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา “ที่แท้ท่านก็จัดสรรเรียบร้อยตั้งแต่แรกแล้วหรือ ท่านส่งฉู่หยวนเจิ่นไปเข้าร่วมทัพ ก็เพื่อปกป้องเอ้อร์หลางใช่หรือไม่”
ท่านพ่อ!
เว่ยเยวียนเหยียดยิ้มพร้อมกล่าว “นั่นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ความสามารถของฉู่หยวนเจิ่นหาตัวจับยาก ปล่อยให้ไปเตร็ดเตร่ในยุทธภพมันน่าเสียดายเกินไป เขายังคงเป็นปัญญาชนผู้มีหัวใจเพื่อปวงชนใต้หล้า เพียงแต่ไม่พอใจกับการบำเพ็ญธรรมของฝ่าบาท จึงลาออกไปปลีกวิเวก
“ขอเพียงยังมีจิตมุ่งมั่น ก็ไม่อาจปฏิเสธข้าได้ อัจฉริยะชั้นดีเช่นนี้ ไม่ใช้งานก็เสียของหมด”
ฉู่หยวนเจิ่นก็เป็นมนุษย์เครื่องมือเฒ่าสินะ…สวี่ชีอันพูดในใจ
เว่ยเยวียนถามทันที “เจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับข้าอีกหรือไม่”
ดูเหมือนเขาจะตั้งตารอนิดๆ
สวี่ชีอันหัวเราะแหะๆ ก่อนจะลุกขึ้น และแสดงความเคารพ “ขอเว่ยกงมีชัย”
เว่ยเยวียนยิ้มอย่างไม่เต็มใจ ดูท่าทางจะผิดหวังเล็กน้อย
“สวี่ชีอัน!”
ขณะที่เขากำลังจะจากไป เสียงของเว่ยเยวียนก็ดังไล่หลังมา “ใต้หล้าจิ่วโจวนั้นซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด ไปเถิด ไปตามทางของเจ้าเสีย”
สวี่ชีอันนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่รีรอให้เว่ยเยวียนได้อธิบาย ก็หันกลับไปมองเขาครั้งหนึ่ง “ขอรับ!”
เมื่อออกมาจากหอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา และส่งข้อความส่วนตัวไปหาฉู่หยวนเจิ่น
หมายเลขสาม ‘พี่ฉู่ เมื่อครู่กรมทหารเพิ่งมาส่งข่าว บอกว่าข้าเองก็ต้องไปออกรบเช่นเดียวกับท่าน’
หมายเลขสี่ ‘เว่ยเยวียนก็เรียกเจ้าด้วยหรือ เช่นนั้นญาติผู้พี่ของเจ้าต้องไปด้วยหรือไม่’
ฉู่หยวนเจิ่นตกใจมาก ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงเหิงหย่วน หากสวี่ชีอันไม่อยู่ปกปักเมืองหลวง ลำพังหมายเลขหนึ่ง สอง และห้า สามคนจะช่วยเหลือเหิงหย่วนออกมาได้อย่างไร
หมายเลขสาม ‘เป็นพระราชโองการจากจักรพรรดิหยวนจิ่ง ต่างจากท่าน’
สวี่ชีอันไม่ได้แช่งชักหักกระดูกจักรพรรดิหยวนจิ่ง เพราะฉู่หยวนเจิ่นต้องเข้าใจอย่างแน่นอน ในเมื่อเขาฉลาดเป็นกรดเสียขนาดนั้น
หมายเลขสี่ ‘ไม่มีปัญหา ข้าจะดูแลเจ้าเอง’
คำนี้แหละที่รอคอย! สวี่ชีอันส่งข้อความต่อทันที ‘ข้าจะมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้กับพี่ใหญ่เป็นการชั่วคราว อืม ตามนี้ก็แล้วกัน ข้ามีเรื่องที่ต้องทำอีก’
เขาตัดบทการสนทนาส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่เปิดโอกาสให้ฉู่หยวนเจิ่นไถ่ถาม
เฮ้อ เกิดเป็นคนต้องซื่อสัตย์ไว้ อย่าเที่ยวโอ้อวดบนโลกอินเทอร์เน็ตให้มากนัก ไม่ระวังจะต้องขายขี้หน้าประชาชี…สวี่ชีอันทอดถอนใจ
…
อีกด้านหนึ่ง ณ จวนสกุลสวี่
หลังจากที่สวี่ผิงจื้อได้รับข่าวจากราชการแล้ว ก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที ตอนนี้เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สีหน้ามืดมน ไม่พูดไม่จาสักคำ
“ตาเฒ่า เจ้ารีบไปกล่อมไอ้ลูกไม่รักดี ให้รีบลาออกจากราชการเลยนะ” อาสะใภ้พูดไปฟูมฟายไป
“ฝ่าบาทใช้แผนร้ายชัดๆ” สวี่ผิงจื้อถอนหายใจ
จะออกจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน หรือไปออกรบ อย่างแรกหมดอนาคต อย่างหลังเฉียดตาย
สวี่ผิงจื้อเคยมีประสบการณ์ออกรบในสงครามด่านซานไห่ จึงรู้ดีว่าที่ตนรอดชีวิตกลับมาได้ เป็นเพราะโชคช่วยล้วนๆ สงครามทางตอนเหนือนั้นไม่อันตรายหรือรุนแรงเทียบเท่าสงครามด่านซานไห่อย่างแน่นอน
แต่สวี่เอ้อร์หลางไม่ใช่ทหาร ขาดกลวิธีเอาตัวรอดในสงคราม
สวี่ซินเหนียนนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ เขาถูกพี่ใหญ่ทุบตีมาแล้ว ไม่อยากถูกบิดาทุบตีอีกคน
ทั้งครอบครัวกำลังโศกเศร้า
อาสะใภ้สะอื้นไห้ตลอดเวลา สวี่หลิงเยวี่ยได้แต่เอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ข้าเห็นพี่ใหญ่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ คงจะไปหาทางช่วยอยู่ ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยนะเจ้าคะ รอพี่ใหญ่กลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ” สวี่หลิงเยวี่ยปลอบประโลมเสียงอ่อนโยน
“ก็คงทำได้เพียงรอฟังข่าวจากต้าหลางเท่านั้น”
อาสะใภ้เช็ดน้ำตา มองออกไปนอกห้องโถงเป็นพักๆ และกล่าวอย่างร้อนใจ “แต่ว่าต้าหลางจะมีหนทางแก้ไขหรือ เขาไม่ใช่ขุนนางอีกต่อไปแล้ว ซ้ำยังก่อเรื่องให้จักรพรรดิหมองใจอีก”
สีหน้าของสวี่ผิงจื้อมืดมน พูดไม่ออก
ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงหวานใสของสวี่หลิงอินดังมาจากข้างนอก “พี่หย่าย…”
ทั้งบ้านหัวขวับไปมองนอกห้องโถงทันที และแน่นอนว่าเห็นสวี่ชีอันก้าวถอยหลังก้าวใหญ่ และเตะน้องสาวที่วิ่งเข้ามาหาเขาจนลอยละลิ่วกับตา
สวี่หลิงอินลอยไปตกในอ้อมแขนของลี่น่า นางยิ้มแป้นอย่างชอบใจ เห็นได้ชัดว่าสนุกกับการทะยานผ่านเมฆอย่างยิ่ง
สวี่ชีอันออกแรงเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่ก่อนสองศรีพี่น้องก็เล่นกันอย่างนี้มาโดยตลอด
“ต้าหลาง!”
“พี่ใหญ่!”
สมาชิกครอบครัวสี่คนในห้องโถงลุกพรวด และมองไปทางสวี่ชีอัน
อาสะใภ้กล่าวอย่างร้อนรน “ต้าหลาง เจ้ามีวิธีทำให้เอ้อร์หลางไม่ต้องไปออกรบบ้างหรือไม่”
สวี่ชีอันส่ายหน้าน้อยๆ “ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เช่นนี้ ก็ยากจะปฏิเสธ”
เมื่อเห็นใบหน้าชดช้อยของอาสะใภ้ที่เก็บซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่ได้ และอารองที่สีหน้าซีดเผือด เขาก็รีบพูดต่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง