บทที่ 450 รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก (2)
“ราชครูช่างมีสายตาที่เฉียบแหลม!”
สวี่ชีอันอวยก่อนหนึ่งประโยค แล้วจึงกล่าววิเคราะห์ “ผู้นำเต๋านิกายปฐพีกับจักรพรรดิหยวนจิ่งมีความเกี่ยวข้องกันจริง เพียงแต่นี่สามารถชี้ให้เห็นอะไรได้เล่า? ช่วงที่อยู่ฉู่โจว ข้าก็ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”
อีกอย่าง ผู้นำเต๋านิกายปฐพีตอนนี้ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น สมองเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้ายและรังแกหญิงสาว เดิมทีเส้นทางนี้ของเขาไม่จำเป็นต้องสืบก็ได้กระมัง?
ราชครูผู้สง่างามล่มชาติล่มเมือง เหลือบมองเขาเล็กน้อย “การสืบคดีไม่ใช่เรื่องที่เจ้ากำลังดำเนินการอยู่หรือ หากข้าทราบ คงไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปสืบหรอกกระมัง?”
มีเหตุผลยิ่งนัก จนข้าถึงกับกล่าวไม่ออก
ต่อมา ลั่วอวี้เหิงสอบถามเรื่องการบำเพ็ญตนของเขาไม่กี่คำ และชี้แนะการบำเพ็ญพรตกระบี่ใจของเขา หลังจากทราบว่าสวี่ชีอันกำลัง ‘สนใจ’ ด่านนี้อยู่ ลั่วอวี้เหิงไตร่ตรองอยู่นาน กล่าว
“การเดินหมากก็คือการเดินหมาก จิตก็คือจิต ไม่มีความหมาย สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือความเข้าใจของจิต ไม่ใช่ผสานรูปแบบ และวางลำดับความสำคัญสลับกัน”
แต่ข้าไม่มี ‘จิต’ นี่ หากการกินฟรีขึ้นอยู่กับจิต ตอนนี้ข้าคงอยู่จุดสูงสุดของชั้นที่สี่แล้วน้าเล็ก…สวี่ชีอันคอตก
“ยิ่งเร่งยิ่งช้า คนรอบข้างต้องใช้เวลาหลายปี หรือมากกว่าสิบปีกว่าจะเข้าใจ เจ้าบำเพ็ญตนแค่หนึ่งเดือน” ลั่วอวี้เหิงกล่าวตักเตือน “ไม่ต้องรีบร้อน”
หยุดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กล่าวเสริมอีกครั้ง “แต่ข้าคาดหวัง ภายในสองปีนี้ เจ้าจะบำเพ็ญจิตจนสำเร็จ”
หืม? เหตุใดต้องภายในสองปี มีความสำคัญอย่างไรหรือ?…สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าจะสงบใจลง”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า ไม่กล่าวอะไรอีก แปลงกายแสงสีทองและหลบหนีไป
แต่นางไม่ได้กลับไปยังอารามรัตนะ หักเลี้ยวกลางอากาศ ลงสู่ลานเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากบ้านสกุลสวี่มากนัก
ในลานเล็กเต็มไปด้วยดอกไม้สดหลากหลายสีสัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความหวานเยิ้ม ฮูหยินที่ท่าทางธรรมดาคนหนึ่ง เอนตัวอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้วยความสบายใจ กำลังกินส้มที่สุกไว ถึงกระนั้นหน้าตากลับบูดเบี้ยว แต่ก็ยังทนต่อความเปรี้ยวปากอย่างไม่ยอมตาย
“เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่อีกแล้ว หากโดนคนอื่นจับได้จะทำเยี่ยงไร?” มู่หนานจือกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“นอกจากท่านโหราจารย์ ไม่มีใครสามารถมองเห็นข้าได้” ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างราบเรียบ “หากเจ้าคิดว่าท่านโหราจารย์ปรารถนาในความงามของเจ้า เช่นนั้นข้าก็คงไม่มา”
“เช่นนั้นถือว่าข้ายังมีญาณทัสนะอยู่” มู่หนานจือส่งเสียงอืมอืม
ลั่วอวี้เหิงไม่สนใจนาง เดินตรงไปยังถังน้ำ เหลือบมองรากบัวเก้าสีที่เติบโตเป็นอย่างดี พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ช่วงนี้ใช้ชีวิตได้ไม่เลว” นางเคลื่อนสายตา พินิจพระมเหสี
“รู้สึกว่าเอวจะหนาเสียแล้ว” พระมเหสีหยิกไปที่เอวเล็กของตนเอง กล่าวอย่างโมโห “ต้องโทษเจ้าโจรหมาสวี่ชีอันนั่น มักจะพาข้าออกไปกินมื้อใหญ่อยู่ตลอด”
ลั่วอวี้เหิงหัวเราะ เมื่อก่อนตอนที่นางเป็นพระชายาของไหวอ๋อง อาหารอันโอชะล้วนมีพร้อมทุกอย่าง นางกลับไม่ชอบกิน แต่ตอนนี้กลายเป็นฮูหยินน้อยธรรมดาในตลาด กินอาหารพื้นๆ การเจริญอาหารกลับดีกว่าแต่ก่อนเสียอีก
ติดอยู่ในจวนอ๋องเป็นเวลายี่สิบปี ในที่สุดนางก็เป็นอิสระแล้ว ความเปล่งปลั่งบนใบหน้าก็ต่างออกไป
นางในตอนนี้ หากเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา จะต้องเป็นหญิงสาวที่น่าประทับใจที่สุดในใต้หล้าเป็นแน่
ลั่วอวี้เหิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “หากสวี่ชีอันออกจากเมืองหลวง เจ้าจะตามเขาไปหรือไม่?”
พระมเหสีรีบส่ายหน้า ปฏิเสธ “แน่นอนว่าไม่ไปอยู่แล้ว ข้ามีสิทธิ์อะไรที่จะต้องติดตามเขา ข้าไม่ใช่อนุภรรยาตัวน้อยของเขาเสียหน่อย ข้าเพียงแค่ยืมเงิน และอาศัยบ้านเขาชั่วคราวก็เท่านั้น”
ลั่วอวี้เหิงพึงพอใจกับคำตอบนี้มาก กล่าวราบเรียบ “จำคำกล่าวของเจ้าไว้ หากเจ้ากลับคำ ข้าจะส่งเจ้าขายให้แก่หอคณิกาเสีย”
มู่หนานจือกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าจะทำอะไรนะ!”
ลั่วอวี้เหิงไม่สนใจนาง
พระมเหสีโยนส้มลูกหนึ่งออกไป “ให้เจ้าชิม วันนี้ข้าไปซื้อมาจากตลาด แพงทีเดียว”
ลั่วอวี้เหิงโบกมือ ส่งส้มกลับไป ไม่มองแม้แต่นิด “ข้าไม่กิน”
พระมเหสีก็กล่าว “จุ๊ๆ ช่างอิจฉาหญิงสาวที่ไม่ต้องเข้าห้องน้ำเช่นเจ้าเสียจริง”
ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “การพูดจาของเจ้าตอนนี้ ดูเหมือนฮูหยินในตลาดที่หยาบคายคนหนึ่ง”
พระมเหสีหัวเราะแหะแหะ
…
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันกำลังไตร่ตรองว่าจะค้นหาจุดอ่อนของผู้นำเต๋านิกายปฐพีได้อย่างไร
“ผู้นำเต๋านิกายปฐพีจะสืบไม่ได้อย่างแน่นอน ก่อนอื่นข้าไม่ทราบว่านิกายปฐพีอยู่ที่ใด หากทราบก็ไปไม่ได้ นักบวชเต๋าจินเหลียนอาจรายงานข้าให้ส่งหัวคนไป แต่ตอนนี้ ชีพจรมังกรด้านนั้นจะไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะอันตรายเกินไป ไม่ได้รับผลประโยชน์อันใด
“บันทึกประจำวันก็อ่านหมดแล้ว ไม่มีเบาะแสสำคัญอะไร ข้าควรสืบอย่างไร? ไม่สิ ข้าต้องการสืบอะไรอยู่กันแน่?”
สวี่ชีอันทบทวนเบาะแสและลู่ทางความคิดของตนเอง ครั้งแรก เขาสืบจักรพรรดิหยวนจิ่งเพราะอีกฝ่ายสนับสนุนอ๋องสยบแดนเหนือสังหารหมู่ การให้ไม่สมดุลกับการได้รับ ปัญหานี้มีปัญหายิ่ง
สืบเป็นเวลานาน จักรพรรดิหยวนจิ่งมีปัญหาใหญ่จริงๆ แต่มีปัญหาอะไร สวี่ชีอันไม่มีคำตอบและทิศทางที่ชัดเจน
“สิ่งที่ข้าต้องทำคือไขความลับของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ยาวิญญาณ การค้ามนุษย์ ชีพจรมังกร สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นเบาะแส แต่ขาดไปเส้นหนึ่ง ที่จะเชื่อมโยงพวกเขาให้ต่อกัน ในยาวิญญาณ มีเงาของผู้นำเต๋านิกายปฐพี ขณะเดียวกันชีพจรมังกรก็มีเงาของผู้นำเต๋านิกายปฐพีเช่นเดียวกัน…
“ความคิดของลั่วอวี้เหิงถูกต้องแล้ว บางทีผู้นำเต๋านิกายปฐพีอาจจะเป็นเส้นเชื่อมโยงของทุกอย่างเส้นนี้ก็เป็นได้ แต่ข้าจะค้นหาจุดเริ่มต้นได้อย่างไร?
“ข้าเองก็กำลังเข้าใจผิด หากต้องการตามหาจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จะต้องเริ่มต้นจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีเอง ก็สามารถเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาเคยทำได้ ไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสียหน่อย”
ทันใดนั้นเขาก็รีบออกจากจวน ขี่แม่ม้าน้อยและรีบตรงไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที
เมื่อมาถึงปากประตูที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็ทิ้งบังเหียน และสะบัดเสื้อคลุม เข้าไปยังที่ทำการเหมือนกลับบ้าน
ทหารที่เฝ้าประตูก็ไม่ได้ห้าม แถมยังหยิบบังเหียนดูแลม้าให้เขาอีก
หลังจากเข้ามาที่ทำการ มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวจอมหื่นกามสองคนนั่น บางทีอาจจะไปเดินลาดตระเวน และไปหอคณิกาเพื่อฟังดนตรีแล้ว
ยังดีหลี่อวี้ชุนฆ้องเงินที่เป็นคนดีมีความรับผิดชอบ เมื่อเห็นสวี่ชีอันมาเยี่ยม หลี่อวี้ชุนดีใจยิ่ง ทั้งดึงเขาเข้าไปด้านในอย่างดีใจ ก่อนจะมองผ่านเขาไปด้านหลัง
“วางใจ แม่นางมอมแมมนั่นไม่ได้ตามข้ามา” สวี่ชีอันเข้าใจท่านนี้เป็นอย่างดี
“ไม่ อย่ากล่าว อย่ากล่าวออกมา…”
หลี่อวี้ชุนใช้แรงโบกมือ “จนถึงตอนนี้ เมื่อข้านึกถึงนาง ยังคงขนลุกไปทั้งตัวอยู่เลย”
ดูเหมือนจงหลีจะทิ้งความเจ็บปวดอย่างหนักในใจให้แก่พี่ชุนเสียแล้ว บาดแผลนั้นใหญ่เท่ากับห้องนอนสองห้องและห้องโถงหนึ่งห้อง…สวี่ชีอันไม่ได้กล่าวเรื่องไร้สาระ เสนอจุดประสงค์การมาเยี่ยมของเขาออกไป
“หัวหน้า ข้าอยากจะดูคำสารภาพของพ่อค้าเร่ของผิงหย่วนป๋อเมื่อตอนนั้นเสียหน่อย”
“ได้ ข้าจะให้คนไปหยิบมาให้เจ้า” หลี่อวี้ชุนไม่ได้ถามอะไรมาก กวักมือเรียกเจ้าพนักงานมา สั่งให้เขาไปหยิบที่คลังเอกสาร
สำนวนคดีประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องให้แม้กระทั่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปหยิบเอง แค่ส่งเจ้าพนักงานไปก็เพียงพอแล้ว
ทั้งสองนั่งลงดื่มชาและพูดคุยกัน หลี่อวี้ชุนกล่าว “จริงสิ กว่างเสี้ยวจะแต่งงานสิ้นปีนี้ ฤกษ์ยามก็ได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว”
“เรื่องดีนี่!”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา ในใจกล่าวในที่สุดจูกว่างเสี้ยวก็สามารถหลุดพ้นจากซ่งถิงเฟิงสหายเลว และออกจากถนนเส้นเล็กที่ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งอย่างไม่มีวันหวนกลับได้เสียที
ในระหว่างไปสืบคดีที่อวิ๋นโจวเมื่อปีก่อน จูกว่างเสี้ยวเคยบอกว่ารอหลังจากคดีที่อวิ๋นโจวจบลง จะกลับมาเมืองหลวงเพื่อแต่งงานกับคู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็ก
ข้าต้องจ่ายเงินอีกแล้วหรือนี่…ภายใต้รอยยิ้มของสวี่ชีอัน เก็บซ่อนการพูดจาโผงผางตามสัญชาตญาณ ที่มาจากอดีตชาติไว้
จะว่าไปแล้ว เรื่องที่น่าเสียเปรียบที่สุดของชาติที่แล้วก็คือไม่ได้แต่งงาน เพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัย เพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้น เพื่อนสมัยเด็กต่างแต่งงานกันไปทีละคน ต้องจ่ายเงินแล้วจ่ายเงินเล่า ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้กลับไปแล้ว
คิดแล้วก็ปวดใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง