ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 454

สรุปบท บทที่ 454 แต่ละฝักฝ่าย (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 454 แต่ละฝักฝ่าย (1) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 454 แต่ละฝักฝ่าย (1) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 454 แต่ละฝักฝ่าย (1)

เวลานี้เอง ฮว๋ายชิ่งก็รู้สึกว่าในหัวมีเสียงระเบิดดัง ‘ตู้ม’ ขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกตื่นตระหนกแบบที่ถูกผู้คนล่วงรู้ความลับที่ตนปกปิดไว้ลึกที่สุดอย่างไร้ปรานี จนก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นมา

‘เขา เขารู้ว่าข้าคือหมายเลขหนึ่งและรู้ตัวตนของข้ามานานแล้วหรือ?!’

‘สองสามวันนี้เขาแอบส่งจดหมายให้ข้าไม่หยุด อยากจะขอนัดพบข้าหลายต่อหลายครั้งแต่ข้าก็ปฏิเสธเสียงแข็งไป เขา…ตอนนั้นเขาจะคิดอย่างไร จะต้องแอบยิ้มอยู่ในใจแน่ ไม่สิ เขาอาจถึงขั้นหัวเราะออกมาเลยแน่ๆ…’

‘เขาไม่เพียงแต่รู้ตัวตนของข้าเท่านั้น แต่ยังป่าวประกาศต่อหน้าหลี่เมี่ยวเจินอีกด้วย…’

ใบหน้างดงามประณีตของธิดาคนโตแห่งองค์จักรพรรดิแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อเทียบจากความฉลาดเฉียบแหลมของนาง นี่ถือเป็นสีหน้าที่ย่ำแย่ที่สุดเลยก็ว่าได้

ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินก็เบิกกว้างขึ้นเช่นกัน ปากเล็กๆ ก็อ้าค้างจนสามารถใส่ไข่ไก่ลงไปได้ นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินข่าวอันสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้

‘หมายเลขหนึ่งคือฮว๋ายชิ่ง คือองค์หญิงของราชวงศ์ คือธิดาคนโตแห่งจักรพรรดิหยวนจิ่ง!’

หลังจากตกตะลึง หลี่เมี่ยวเจินก็นึกถึงคำพูดติดปากของตนที่ชอบโพล่งขึ้นมาในพรรคฟ้าดิน ทั้ง ‘ข้าจะแทงจักรพรรดิหยวนจิ่งให้ตายไปเลย’ ‘จักรพรรดิหยวนจิ่งตายหรือยัง’ ‘จักรพรรดิหยวนจิ่งจะตายเมื่อไหร่กัน!’

หนังศีรษะของเทพธิดานิกายสวรรค์ชาหนึบ ขนที่คอลุกพรึบเกรียวกราว นางพลันเกิดความคิดที่อยากจะพุ่งตัวออกจากห้องแล้วกระโดดลงไปในบ่อน้ำ

อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีให้ได้

ดวงตาของฮว๋ายชิ่งสั่นไหว นางฟื้นคืนกลับมามีท่าทีเยือกเย็นดังเดิมแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “รู้ตั้งแต่เมื่อใดหรือ บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ คุณชายสวี่”

…ฮว๋ายชิ่งช่างเป็นคนสองบุคลิกจริงๆ! สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อเล็กน้อยแล้วกระแอมไอออกมา จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่กระโตกกระตาก

“รู้จากเรื่องในช่วงนี้นี่แหละ อืม อย่างเช่นพระองค์ทรงใช้ความฉลาดสั่งให้หลินอันไปยืมหนังสือมาจากหอสมุดหลวง”

ขณะที่พูด สวี่ชีอันก็เหลือบมองหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดในใจว่า ดีจริงๆ ทุกคนจะได้มาอับอายไปพร้อมๆ กัน

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า สีหน้านิ่งสงบ “คุณชายสวี่เป็นคนฉลาดจริงๆ สมแล้วที่เป็นปัญญาชนผู้ร่ำเรียนวิชาปราชญ์ ไม่แพ้พี่ใหญ่ของเจ้าที่ขวางกองทัพแปดพันด้วยตัวคนเดียวในอวิ๋นโจวคนนั้นเลย”

สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ “ชมเกินไปแล้วๆ พระองค์ต่างหากที่เป็นผู้ที่ฉลาดเฉลียวที่สุดในพรรคฟ้าดิน ใช้ภาพล่าสัตว์ในฤดูสารทมาดึงดูดความสนใจในการล่าสัตว์ของหลินอันแล้วซ่อนตัวเองไว้อย่างดี”

ฮว๋ายชิ่งหน้าไม่เปลี่ยนสี “คุณชายสวี่เก่งกาจจริงเชียว คนอื่นเล่ารู้หรือไม่”

“ยะ อย่าพูดเลย…” หลี่เมี่ยวเจินปิดหน้าเงียบๆ

สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งเงียบไปพร้อมกัน ต่างก็ตั้งหน้าตรงไม่พูดอะไร

ขอแค่เราไม่อาย คนอื่นก็จะอายแทน

สวี่ชีอันมองหน้าธิดาคนโตของจักรพรรดิผู้มีสีหน้าสงบนิ่งไม่ตะลึงลาน ในใจก็เอ่ยพึมพำอยู่สองสามประโยค

ถ้าไม่ใช่เมื่อกี้เห็นเจ้าอึ้งงันไปละก็ ข้าก็คิดจริงๆ แล้วว่าเจ้าเป็นพวกไม่ละอายและไร้มโนธรรม…

หลี่เมี่ยวเจินกระแอมไอแล้วมองดูพวกเขา ก่อนเอ่ยแนะนำขึ้นมา “เรื่องในวันนี้ก็ให้พวกเราสามคนรู้เท่านั้นพอ ดีหรือไม่”

“ข้าไม่มีความเห็น” สวี่ชีอันพยักหน้าอย่าง ‘ใจเย็น’

เมี่ยวเจินช่วยได้ดีจริงๆ!

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าแล้วเหลือบมองเขาเล็กน้อย “มีใครอีกบ้างที่รู้ตัวตนของเจ้า”

สวี่ชีอันตอบกลับ “ไม่มีแล้ว มีแค่พวกเจ้าสองคน”

ละเว้นลี่น่าไปโดยอัตโนมัติ

จากนั้นก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฮว๋ายชิ่งเริ่มนำกลับเข้าสู่หัวข้อที่ถูกต้อง “สืบคดีกระจ่างแล้วหรือ”

สวี่ชีอันรับคำ ‘อืม’ แล้วกล่าวต่อ “แต่ก่อนหน้านั้น พวกท่านสองคนโปรดตอบคำถามของข้าก่อน องค์หญิง พระองค์ทรงได้รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮว๋ายชิ่งตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

สวี่ชีอันถามอีกครั้ง “เมี่ยวเจิน เจ้าได้รับเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตอนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนไปนิกายสวรรค์ใช่หรือไม่”

หลี่เมี่ยวเจินไม่อาจซ่อนความประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าสืบคดีจนกระจ่างแล้วจริงๆ อย่างแรกต้องบอกพวกเจ้าเรื่องหนึ่งก่อนเลยว่า นักบวชเต๋าจินเหลียนก็คือผู้นำเต๋านิกายปฐพี”

สีหน้าของฮว๋ายชิ่งและหลี่เมี่ยวเจินชะงักนิ่งโดยพลัน

สีหน้าของฮว๋ายชิ่งเคร่งเครียดจริงจังเกินใคร นางเอ่ยเน้นทีละคำ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

“ผู้นำเต๋านิกายปฐพีตกสู่ทางมาร แต่ไม่ได้ตกลงไปเต็มตัว จิตดีถูกแยกออกมาแล้วกลายเป็นนักบวชเต๋าจินเหลียน เมี่ยวเจิน เจ้าน่าจะจำได้ ตอนที่เจ้าปกป้องเมล็ดบัว นักบวชเต๋าจินเหลียนได้ผูกมัดเฮยเหลียนเอาไว้คนเดียว ทั้งยังพัวพันกับจิตมารสายนั้นของเขาด้วย” สวี่ชีอันมองไปยังเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์

หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว “ตอนนั้นข้าสับสนอยู่จริงๆ แม้จะเป็นจิตมารเพียงสายเดียว แต่ก็เป็นจิตมารขั้นสองที่ผ่านการบ่มเพาะแล้ว อีกทั้งนักบวชเต๋าจินเหลียนก็ไม่ใช่แม้แต่ขั้นสาม เช่นนั้นเขาต้านมันได้อย่างไร เพียงแต่…”

เพียงแต่เจ้าขี้เกียจใช้สมองคิดน่ะสิ! สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ

ถ้าฮว๋ายชิ่งอยู่ด้วยในตอนนั้นก็คงจะคิดอะไรได้มากกว่านี้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ฮว๋ายชิ่งเป็นไก่อ่อนและไม่ได้ฝึกตน

สวี่ชีอันไม่ได้หยุดชะงัก เขาเล่าการคาดเดาของตนกับลั่วอวี้เหิงให้คนทั้งสองฟังอย่างไม่หมกเม็ด การเล่าครั้งนี้ เขาได้ซ่อนชื่อของลั่วอวี้เหิงเอาไว้ ไม่ได้เอ่ยออกมา

เขาไม่สะดวกใจจะพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวของตนกับราชครู เว้นแต่ว่าราชครูจะเป็นผู้อนุญาต

ในระหว่างนั้น สีหน้าของฮว๋ายชิ่งเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ทั้งตกตะลึง โกรธเกรี้ยว และมืดหม่น…ตอนสุดท้ายสีหน้าก็เหมือนคนจมน้ำ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่นิด ราวกับเสียความสามารถในการพูดไป

สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินแข็งค้างในท่าอ้าปากตาโต เหมือนกับหุ่นเชิดแข็งๆ ตัวหนึ่ง

ปีนั้นผู้นำเต๋านิกายปฐพีดูเหมือนจะปกติ แต่ความจริงมีสัญญาณที่จะตกสู่ทางมารแล้ว ไหวอ๋องและหยวนจิ่งพบเขาที่หนานย่วน ดังนั้นจึงแปดเปื้อนมลทินมาด้วยและกลายเป็นคนบ้าที่ดูเหมือนจะปกติ แต่ความจริงจิตใจบิดเบี้ยววิปริตเช่นนี้

เพราะอย่างนั้น ไหวอ๋องจึงได้สังหารล้างเมืองและหลอมยาเพื่อประโยชน์ส่วนตน

เพราะอย่างนั้น แม้จักรพรรดิหยวนจิ่งจะรู้ว่าหากมีโชคชะตาติดกายจะไม่อาจมีอายุยืนได้ แต่ก็ยังไม่ยอมจำนน

คนธรรมดาไม่ทำกันอย่างนี้ แต่หากเป็นคนกึ่งเสียสติที่มีจิตใจบิดเบี้ยวเล่า

“ที่แท้ ผู้กระทำผิดทั้งหมดก็คือนักบวชเต๋าจินเหลียน…” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงราวกับทอดถอนใจ

กำแพงเมืองแตกหัก ภายในป้อมปราการ

เหล่าแม่ทัพนายกองขั้นสูงของต้าฟ่งมารวมตัวกันในห้องโถงและโต้เถียงกันอย่างดุเดือด

เว่ยเยวียนราวกับทำเป็นหูหนวก เขายืนนิ่งอยู่ด้านหน้าแผนที่ภูมิลักษณ์โดยไม่เอ่ยคำ

ตอนนี้ผ่านมาสิบวันแล้วหลังจากบุกโจมตีเมืองติ้งกวน กองทัพทะลวงกำแพงเมืองราวกับคมดาบที่แทงลงไปในดินแดนเบื้องหลังของเหยียนกั๋ว

ตอนนี้ได้ยึดเมืองหน้าด่านทั้งเจ็ดแห่งเอาไว้หมดแล้ว รวมเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ และเมืองที่อยู่ ณ ปัจจุบันมีชื่อว่าเมืองซวีเฉิง ซึ่งเป็นทางผ่านสุดท้ายก่อนไปถึงเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว

เพียงแค่ก้าวเดียวก็สามารถไปถึงเมืองหลวงของเหยียนกั๋วได้แล้ว สิบวัน…เว่ยเยวียนใช้เวลาเพียงสิบวันก็โค่นล้มอาณาจักรที่ได้ชื่อว่ามีอันตรายนับไม่ถ้วนจนกระเจิง

ส่วนเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว จะตีหรือไม่ตีนั้น ในหมู่แม่ทัพต่างก็มีความเห็นแตกต่างกันอย่างยิ่ง

เพราะกองทัพต้าฟ่งตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นใหญ่หลวง นั่นคือพวกเขาขาดเสบียง!

“เหตุใดเสบียงอาหารแห้งยังไม่มาอีกเล่า ถ้าตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ สามวันก่อนเสบียงชุดแรกก็ควรส่งมาถึงแล้วนี่ เราตีต่อไปไม่ได้แล้ว ทำศึกแนวหน้าลากยาวเกินไป เสบียงของพวกเราขาดไปแล้ว หากไม่มีอาหาร ไม่มีปืนใหญ่ ไม่มีหน้าไม้ แล้วจะบุกอย่างไร”

แม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จากเมืองติ้งกวนถึงเมืองซวีเฉิง พวกเราสูญเสียทหารไปกว่าครึ่ง อีกทั้งเมืองหลวงของเหยียนกั๋วก็มีภูเขารายล้อมสองด้าน อาศัยกำลังทหารตอนนี้ของเราไม่สามารถเอาชนะได้เลย หากเป็นไปตามที่คาด เมืองหลวงของเหยียนกั๋วก็จะต้องมีพ่อมดขั้นสามหนึ่งคนรักษาการณ์อยู่อย่างแน่นอน”

นายพลหนุ่มผู้นี้มีนามว่าจ้าวอิง เกิดในตระกูลทหาร เป็นยอดฝีมือขั้นสี่ และเป็นผู้โดดเด่นในหมู่ชายหนุ่มแห่งต้าฟ่ง

เขาสนับสนุนให้ถอนทัพ นับว่าเป็นหัวหน้าในฝ่ายอนุรักษนิยม

ส่วนฝ่ายต่อต้านนำโดยหนานกงเชี่ยนโหรว เขาสนับสนุนการโจมตีเหยียนกั๋วเพื่อยึดครองในคราวเดียว

“ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือหกสิบลี้ก็จะเป็นเมืองหลวงของเหยียนกั๋วแล้ว หลังจากโจมตีเมืองซวี เสบียงและกระสุนของพวกเราก็จะมีมาเสริมและสามารถออกรบต่อไปได้” หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยเสียงเรียบ

“ที่พวกเรารบมาจนถึงตรงนี้ก็อาศัยคำว่า ‘คล่องแคล่งรวดเร็ว’ ทั้งนั้น หากถอยทัพก็เท่ากับให้โอกาสพักหายใจกับเหยียนกั๋วน่ะสิ แต่ถ้าเราโจมตีเมืองหลวงของเหยียนกั๋ว อาวุธและเสบียงอาหารก็สามารถเติมเต็มได้

การได้ชัยชนะยิ่งใหญ่แบบนี้มา ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการตัดสินใจที่รวดเร็วฉับไวของท่านพ่อบุญธรรม ที่เกือบจะทำลายกองกำลังของทัพเหยียนได้แล้ว ตอนนี้กำลังของทัพฟ่งราวกับสายรุ้งที่พุ่งพรวดขึ้นมา แต่หากนำกองกำลังไร้พ่ายนี้ถอยทัพไป ก็ยากจะรบชนะได้หากต้องเผชิญหน้ากับเมืองที่ยิ่งใหญ่อันตรายอย่างเมืองหลวงของเหยียนกั๋วที่มีกองทัพเสริมของคังกั๋ว”

จ้าวอิงจ้องเขม็งไปยังหนานกงเชี่ยนโหรวแล้วเอ่ยเสียงขรึม

“ความรวดเร็วคล่องแคล่วไม่เหมาะจะนำมาใช้กับเมืองหลวงของเหยียน เมืองหลวงเหยียนรายล้อมด้วยภูเขาทั้งสองด้าน ป้องกันง่ายโจมตียาก ในภูเขาก็มีกองทัพสัตว์บินรักษาอยู่ อยู่คนละชั้นกับเมืองอื่นๆ ด้วยซ้ำ อีกอย่าง แม้พวกเราจะยึดเมืองทั้งเจ็ดได้ แต่ตลอดทางที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือว่าชาวยุทธภพก็ดี ไหนจะพวกทหารของเหยียนกั๋วที่พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยังเมืองหลวงของเหยียนทั้งสิ้น

หากเมืองแตก ทุกคนก็ต้องตาย นี่คือฉันทามติของพวกเขา ตอนนี้เมืองหลวงเหยียนจะต้องรวบรวมกำลังในเมืองมาป้องกันเมืองอย่างถึงที่สุด ซึ่งกองทัพของเรายังรับมือไม่ไหว และเมื่อเราสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจากการโจมตีเมือง นั่นคือเวลาที่อีกฝ่ายจะโต้กลับได้ นั่นอาจจะมีความเสี่ยงที่จะถูกกำจัดทั้งกองทัพด้วยซ้ำ เช่นนั้นไม่สู้ถอยเพื่อพักฟื้น จากนั้นเติมเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ แล้วค่อยบุกอีกครั้ง”

เมืองหลวงเหยียนง่ายต่อการป้องกันแต่ยากที่จะโจมตี แม่ทัพส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ล้วนแต่ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นฝ่ายอนุรักษนิยมจึงมีมากกว่าฝ่ายต่อต้าน

สาเหตุที่พวกเขายังคงโต้เถียงกันอยู่นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าความคาดหวังต่อเว่ยเยวียน

“พักผ่อนหนึ่งคืน พรุ่งนี้ออกเดินทาง กองทัพจะต้องประชิดกำแพงเมือง” เว่ยเยวียนชี้ไปยังเมืองหลวงของเหยียนกั๋วบนแผนที่

การทะเลาะวิวาทสิ้นสุดลง

………………………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง