บทที่ 453 สารภาพต่อกลุ่มสนทนาพรรคฟ้าดิน
ข้ามิใช่คนโง่งม…สวี่ชีอันยิ้มอย่างขมขื่น “หลังจากกลับมาจากเจี้ยนโจว ข้าได้พิสูจน์ตัวตนของจินเหลียนแล้ว แต่ก่อนอื่นข้ามีข้อสงสัย”
จงหลีบอกกับเขาว่าดวงวิญญาณของนักบวชเต๋าจินเหลียนนั้นขาดหาย เช่นเดียวกับฝูเซียง
ผลที่ตามมาของดวงวิญญาณที่เว้าแหว่งนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลายเป็นคนโง่สองคน หรือไม่ก็นอนเป็นผัก
นักบวชเต๋าจินเหลียนถือกำเนิดมาในลัทธิเต๋านิกายปฐพี จิตเดิมเป็นศาสตร์ที่ลัทธิเต๋าเชี่ยวชาญ ดังนั้นดวงวิญญาณขาดหายจึงไม่ได้มีความหมายอันใดสำหรับเขา และอาจเป็นไปได้ว่าจิตเดิมอีกครึ่งหนึ่งนั้นสูญหายไปโดยไม่เจตนา
แต่เมื่อเขาร่วมมือกับหลี่เมี่ยวเจิน เขาเกิดความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีการของลัทธิเต๋า หลี่เมี่ยวเจินช่วยเขารวบรวมจิตเดิม และจงหลีก็ช่วยประกอบจิตเดิมเข้าด้วยกัน
ตบะของนักบวชเต๋าจินเหลียนนั้นแข็งแกร่งกว่าหลี่เมี่ยวเจิน หาได้อ่อนแอกว่านางไม่ เหตุใดเขาถึงไม่รวบรวมจิตเดิมของตนเองเล่า
เช่นนั้นจิตเดิมอีกครั้งหนึ่งที่ไม่อาจรวบรวมมาได้นั้นหายไปอยู่ที่ใด
นี่เป็นข้อสงสัยอย่างหนึ่ง
ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมาย เช่นชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หรือรากบัวเก้าสี นักพรตนิกายปฐพีผู้หนึ่งที่ไปไม่ถึงขั้นสาม และผู้นำเต๋าขั้นสองที่สามารถช่วงชิงรากบัวเก้าสีไปได้…
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อสงสัยประการหนึ่ง ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าจินเหลียนคือผู้นำเต๋านิกายปฐพี
จนกระทั่งเขาไปที่เจี้ยนโจว และได้เห็นภาพนักบวชเต๋าจินเหลียนหลอมรวมจิตเดิมกับผู้นำเต๋านิกายปฐพี แม้ว่าไป๋เหลียนคนงามจะบอกว่าวิธีที่นักบวชเต๋าจินเหลียนใช้เป็นเคล็ดวิชาลับแห่งนิกายปฐพีก็ตาม
แต่สวี่ชีอันก็ไขข้องสงสัยทั้งหมดจนกระจ่างในวินาทีนั้นเอง
อย่าว่าแต่ข้าเลย ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี นอกจากลี่น่าแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการต่อสู้ปกป้องเมล็ดบัวที่เจี้ยนโจวก็คงจะตั้งข้อสงสัยตื้นบ้างลึกบ้างไม่ต่างกัน…สวี่ชีอันจ้องมองลั่วอวี้เหิงผู้มีใบหน้างามลออ ทว่าดวงตาคู่สวยเย็นชาดั่งกระจก
“ท่านราชครู ท่านทราบเรื่องที่นักบวชเต๋าจินเหลียนตกสู่ทางมารตั้งแต่เมื่อใด”
ลั่วอวี้เหิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้น
“เมื่อหกปีที่แล้ว จินเหลียนล้มเหลวในการทะลวงด่าน ก่อนที่จะตกสู่ทางมารเขาแบ่งจิตวิญญาณออกเป็นสองส่วน จิตฝ่ายธรรมถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี คอยปกป้องลูกศิษย์ส่วนหนึ่งให้หลบหนีไป ส่วนจิตฝ่ายอธรรมแผ่อิทธิพลต่อลูกศิษย์ส่วนใหญ่ในนิกาย ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นพรรคฟ้าดินและนิกายปฐพีในปัจจุบัน
“ในตอนนั้น จิตฝ่ายธรรมของจินเหลียนได้เข้ามายังเมืองหลวงอย่างลับๆ และมาเยือนอารามรัตนะเพื่อขอความช่วยเหลือจากข้า เวลานั้นข้าเพิ่งจะเลื่อนขั้นมาถึงขั้นสองได้ไม่นาน รากฐานยังไม่มั่นคง ยิ่งไปกว่านั้นนิกายปฐพีที่ปลูกฝังเรื่องบุญกุศล เมื่อตกสู่ทางมาร ก็กลับกลายเป็นผู้ที่ชั่วช้าที่สุดในโลก วิธีการฝึกบำเพ็ญของนิกายมนุษย์ คือปล่อยให้ไฟแห่งกรรมผลาญกาย เดิมทีก็ไม่ต่างจากการยืนอยู่บนขอบผาอยู่แล้ว หากถูกนิกายปฐพีป้ายมลทินอีก ย่อมจบลงด้วยตัวตายเต๋าสลายเท่านั้น”
เมื่อหกปีที่แล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนมาถึงเมืองหลวง เอ่อ ดังนั้นฮว๋ายชิ่งจึงได้รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจากนักบวชเต๋า และได้กลายมาเป็นสมาชิกพรรคฟ้าดินในเวลานั้นสินะ
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก สวี่ชีอันปะติดปะต่อเรื่องอย่างไม่รู้ตัว ในใจเต้นตึกตัก “เช่นนั้น นักบวชเต๋าจินเหลียนได้รับช่วยเหลือนิกายสวรรค์หรือไม่”
ลั่วอวี้เหิงแค่นยิ้มกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไร”
เช่นนั้นก็คาดเดาเอาว่าหลี่เมี่ยวเจินเองก็ได้รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน แต่นางก็คงไม่รู้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนคือผู้นำเต๋านิกายปฐพี และท่านอาจารย์ของนางก็ไม่เคยบอกนางด้วย
“นิกายสวรรค์เห็นด้วยหรือ”
“นิกายสวรรค์ปลูกฝังให้ละทิ้งอารมณ์ ลูกศิษย์อย่างเมี่ยวเจิน นับว่าเป็นศิษย์นอกคอก” นางพูดเรียบๆ
สวี่ชีอันเข้าใจแล้วว่าผู้นำเต๋านิกายสวรรค์ไม่เห็นด้วยกับการออกหน้าช่วยเหลือ ลั่วอวี้เหิงหวาดกลัวความเสื่อมทรามของนิกายปฐพี ส่วนผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เอาแต่บอกว่า ‘ข้าละแล้วซึ่งความรู้สึกทั้งปวง ข้าไม่สนใจ’
ตกสู่ทางมารเมื่อหกปีก่อน ต่างจากที่ข้าคาดเดาไว้…
ลั่วอวี้เหิงปรายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เดาผิดหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้า ก่อนจะส่ายหัวอีกครั้งและพูดว่า “ท่านราชครู ก่อนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนจะตกสู่ทางมาร มีอะไรผิดสังเกตบ้างหรือไม่ขอรับ นิกายปฐพีตกสู่ทางมารนั้นเป็นไปอย่างกะทันหัน หรือค่อยเป็นค่อยไป”
ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ย
“เท่าที่ข้ารู้ ตอนนั้นจินเหลียนปลีกวิเวกเพื่อหนีเคราะห์กรรม และปลีกวิเวกนานกว่าสามสิบปี ส่วนการตกสู่ทางมารนั้น แม้ข้าไม่ได้ฝึกบำเพ็ญบุญกุศลของนิกายปฐพี แต่ก็รู้ดีว่าเขื่อนพันลี้พังทลายได้ด้วยรังมด สรรพสิ่งไม่อาจตัดขาดจากสัจธรรมข้อนี้ การตกสู่ทางมารไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน”
ตึก ตึก ตึก!
สวี่ชีอันได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งสองสามครั้ง เขากลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ท่านราชครู ช่วยฟังสิ่งที่ข้าจะพูดทีนะขอรับ…”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้าสงสัยว่าสิ่งที่ไหวอ๋องและหยวนจิ่งเจอในหนานย่วน แท้จริงแล้วไม่ใช่หมี แต่เป็นผู้นำเต๋านิกายปฐพี ในเวลานั้นเขาเริ่มมีวี่แววของการตกสู่ทางมาร บางทีอาจเป็นเพราะไม่อาจซุกซ่อนความกระหายเลือดไว้ได้ หรือไม่ก็เพื่อเซ่นสังเวยแก่สิ่งชั่วร้าย จึงเลือกที่จะอยู่ในหนานย่วน และฆ่าสัตว์ธรรมดาแทน เนื่องจากในเมืองหลวงมีท่านโหราจารย์และยอดฝีมือนับไม่ถ้วน เขาจึงไม่สามารถเข่นฆ่าผู้คนในเมืองหลวงได้
“เช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าเหตุใด ฤดูใบไม้ร่วง รัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก สัตว์ป่ารอบเขตหนานย่วนจึงสาญสูญไปเกือบหมด ในเวลานั้นไหวอ๋องและหยวนจิ่งเข้าไปล่าสัตว์ในหนานย่วน และบังเอิญพบกับนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ตกสู่ทางมาร ส่วนทหารรักษาพระองค์ที่ตายไปทั้งหมด หึ หมีตัวเดียวจะสังหารยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไร แต่หากเป็นนักบวชเต๋าจินเหลียนก็ว่าไปอย่าง ไม่ว่าจะมีทหารรักษาพระองค์สักกี่คน ก็ต้องตายตกสถานเดียว
“เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่า ผู้นำเต๋านิกายปฐพีปลีกวิเวกเป็นเวลาสามสิบปี และทะลวงด่านล้มเหลว จึงตกสู่ทางมาร เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ก็เกือบจะตรงกับช่วงเวลาที่เขาไปจากเมืองหลวงพอดี เวลาใกล้เคียงกันมากทีเดียว กล่าวคือ ช่วงที่เขาอยู่ในเมืองหลวง มีปรากฏวี่แววของการตกสู่ทางมารอยู่แล้ว”
ยิ่งฟัง สีหน้าของลั่วอวี้เหิงก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้นเท่านั้น นางพยักหน้าและกล่าว “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดจินเหลียนถึงไม่สังหารหยวนจิ่งและไหวอ๋องเสียเล่า”
สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัว
“เขาต้องมีจุดประสงค์แน่ เพียงแต่เบาะแสที่มีอยู่ตอนนี้ยังสาวไปไม่ถึงจุดประงสงค์ที่ว่า ดังนั้นข้าจึงคาดเดาไม่ได้ ในความเห็นของข้า ข้าคิดว่าพวกเขาถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนทำให้แปดเปื้อนแล้ว”
ตอนอยู่ที่ฉู่โจว เขาได้ประมือกับร่างแยกของผู้นำเต๋านิกายปฐพี ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดคือเจตนาที่จะป้ายมลทินของอีกฝ่าย ราวกับจะทำให้สรรพสิ่งบนโลกเสื่อมสลายไปด้วยกัน
แม้แต่ดาบสยบดินแดนยังถูกปนเปื้อน และสูญเสียจิตวิญญาณไปกว่าหนึ่งเค่อ
เช่นนั้น หยวนจิ่งและไหวอ๋องผู้แปดเปื้อนก็ลงล็อก เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด
สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่จินตนาการเลื่อนลอย แต่มาจากการอนุมานที่สมเหตุสมผลจากเบาะแสที่มีอยู่ของสวี่ชีอัน
“เช่นนั้นก็อธิบายได้ถึงความเห็นแก่ตัวไร้ปรานีของไหวอ๋อง และการไขว่คว้าชีวิตที่ยืนยาวจนไร้เหตุผลของจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูเหมือนคนปกติ แต่ความจริงแล้วพวกเขากึ่งๆ วิปลาสมาเนิ่นนาน เช่นเดียวกับนักพรตนิกายปฐพี”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ลั่วอวี้เหิงก็ตั้งคำถาม “แล้วกลุ่มค้ามนุษย์มันเรื่องอะไรกันล่ะ ไหนจะความผิดปกติใต้ชีพจรมังกรอีก”
เรื่องนี้…สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ เขายังไม่อาจหาข้ออนุมานที่เข้าเค้าได้
หลังจากพิจารณาครู่ เขาก็พูดขึ้นว่า “การที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีทำให้หยวนจิ่งและไหวอ๋องแปดเปื้อนนั้น ข้าเกรงว่าน่าจะมีจุดประสงค์อื่นอยู่ แต่เรื่องราวภายในนั้น เขาไม่อาจคาดเดาได้ เนื่องจากยังขาดเงื่อนงำ”
ทว่าลั่วอวี้เหิงเผยสีหน้าราวกับนึกอะไรขึ้นได้กระทันหัน ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
สวี่ชีอันตั้งใจฟัง
“ผู้นำเต๋านิกายปฐพีเชี่ยวชาญในวิชาแปลงเอกปราณเป็นไตรวิสุทธิเทพ จินเหลียนและผู้นำเต๋านิกายปฐพีปัจจุบัน คือสองดวงจิต ฝ่ายธรรมและฝ่ายอธรรม หากเขาเคยแปลงเอกปราณเป็นไตรวิสุทธิเทพแล้วละก็ ร่างสุดท้ายหายไปอยู่ที่ใด” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยถาม
ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ สวี่ชีอันโพล่งขึ้นมาทันที “อยู่ในชีพจรมังกรใต้ดิน?”
“เจ้าคิดเหมือนกับข้า” ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และกล่าว
“หยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมมานานนับยี่สิบปี ผลาญทรัพยากรของคนทั้งแผ่นดินเกือบหมด แต่จนถึงวันนี้ก็ยังหลอมแก่นปราณออกมาไม่ได้สักที ช่างชวนให้สับสนจริงๆ แน่นอนว่าการบำเพ็ญธรรมไม่ได้มองเพียงทรัพยากรเท่านั้น ความสามารถก็สำคัญมากเช่นกัน แต่ก่อนข้าเคยคิดว่าพรสวรรคของเขาไม่ดี แต่หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย หากเบื้องของเขามีร่างอวตารอีกร่างของจินเหลียนอยู่ ก็สมเหตุสมผลขึ้นมากทีเดียว ยาอายุวัฒนะเหล่านั้น เกินกว่าครึ่งย่อมตกไปอยู่ในท้องของจินเหลียนด้วย
“เป็นไปได้มากว่าที่เขาทำให้ไหวอ๋องและหยวนจิ่งแปดเปื้อนก็เพื่อตบะ เพื่อปูทางให้เขาทะลวงไปสู่ขั้นหนึ่ง รอคอยให้ทั้งสามคนรวมเป็นหนึ่งเดียวในภายภาคหน้า และทะลวงระดับกลายเป็นเซียนครองพิภพในคราวเดียว
“แน่นอนว่าหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าใต้ชีพจรมังกรมีร่างอวตารซ่อนตัวอยู่ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้อมูลที่เจ้าให้มาคราวก่อน มันน้อยเกินกว่าจะพิสูจน์อะไรได้ แต่อีกประเดี๋ยว ข้าจะส่งร่างแปลงไปสำรวจชีพจรมังกรกับเจ้า เพื่อเป็นการยืนยัน
“อ้อ ถ้าใต้ชีพจรมังกรมีร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพี ถ้าหยวนจิ่งถูกผู้นำเต๋านิกายปฐพีปนเปื้อนจริงๆ ละก็ ข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการแยกทางกับหยวนจิ่งอีกต่อไป”
อีกอย่าง เจ้าเองก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้นำเต๋านิกายปฐพีด้วย เพราะว่าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป ท่านโหราจารย์ย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้…จงหลีเคยบอกว่า ชีพจรมังกรเป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์ไม่อาจควบคุมได้โดยง่าย หากมันซ่อนตัวอยู่ในชีพจรมังกรจริงๆ ก็สามารถรอดพ้นจากสายตาของท่านโหราจารย์ไปได้…ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยด้วยเสียงกระซิบต่ำ
“ท่านราชครู หากหยวนจิ่งแปดเปื้อนมลทินและถูกควบคุมโดยผู้นำเต๋านิกายปฐพี เช่นนั้นเขาก็ก่อกวนการบำเพ็ญคู่ของท่านมาโดยตลอด เรื่องนี้มีคำอธิบายที่เข้าท่าบ้างหรือไม่”
เต๋ามารนิกายปฐพีในสมองเต็มไปด้วยความคิดเลวทรามต่ออิสตรี ตอนที่อยู่ในเจี้ยนโจว เขามีประสบการณ์ลึกซึ้งมากับตัว
ไม่ใช่เพราะเต๋ามารนิกายปฐพีเป็นพวกเฒ่าตัณหากลับ แต่เพราะกมลสันดานของผู้ชายทุกคนคือเฒ่าตัณหากลับ ใช้ความชั่วช้านำทางชีวิต
สวี่ชีอันไม่เคยพิจารณาความเป็นไปได้ที่ว่าหยวนจิ่งจะเป็นร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพีเสียเอง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ หยวนจิ่งเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน เกิดมาพร้อมโชคชะตา จึงทำได้เพียงชักจูง ป้ายมลทินเท่านั้น ไม่อาจขึ้นมาแทนที่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง