บทที่ 452 แหล่งที่มาของคน
ในรัชสมัยต้าฟ่ง เรื่องระหว่างชายและหญิงเป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงเป็นอย่างมาก ไม่สามารถลงรายละเอียดได้ แต่มีชื่อเรียกขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและกรณี
ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ปกติระหว่างชายหญิง เรียกว่า ‘ไปอู๋ซานด้วยกัน’ ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติระหว่างชายและหญิงเรียกว่า ‘ไปฟังเพลงที่หอคณิกา’ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเรียกว่า ‘พิศวาสจนตัดแขนเสื้อ’ ส่วนความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างชายหนึ่งคน หญิงสองคน เรียกว่า ‘หนึ่งมังกรและสองหงส์’ ความสัมพันธ์ชู้สาวระหว่างชายสองคน หญิงหนึ่งคน เรียกว่า ‘ทำสองสิ่งไปพร้อมๆ กัน’
จะเป็นคำเรียกขั้นสูงขึ้นไปอีกหน่อย
ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างสวี่ชีอันและฝูเซียงเรียกว่า ไม่อาจระบุ
ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันและหวงเซียนเอ๋อร์เรียกว่า ไม่อาจระบุ
“ความสุขในชีวิต” เป็นคำบ่นจากจิตใต้สำนึกของสวี่ชีอัน เป็นคำศัพท์ที่ล้าสมัย แม้แต่ฮว๋ายชิ่งที่เป็นคนมีความสามารถมาก ก็ไม่อาจเข้าใจความหมายของคำนี้ได้อย่างชัดเจน เพียงแค่คาดเดาได้เพียงว่าไม่ใช่คำพูดที่ดีอย่างแน่นอน
หลังจากบ่น สวี่ชีอันก็เขินอายเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะ ‘นึกถึง’ ชีวิตที่ผ่านมา
โชคดีที่ฮว๋ายชิ่งไม่เข้าใจความหมาย ไม่ได้นึกถึงความหมายที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น ส่งข้อความตอบกลับว่า ‘หนานย่วน รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก ข้าได้อ่านเอกสารสำนวนคดีมาก่อนแล้ว ในปีนั้นเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์ เหตุการณ์แรก ในฤดูใบไม้ร่วงของรัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหกนี้ สัตว์ร้ายในหนานย่วนหายตัวไปจากพื้นที่ขนาดใหญ่ ไม่ทราบที่อยู่ของพวกมัน เฉพาะพื้นที่ในป่าลึกเท่านั้นที่มีร่องรอยของสัตว์
‘เหตุการณ์ที่สอง ไหวอ๋องและฝ่าบาทในครั้งนั้นที่ยังเป็นพระราชโอรสไปล่าสัตว์ในหนานย่วน ในช่วงเวลาที่องค์ชาย กำลังเผชิญหน้าและรับมือกับการโจมตีของหมี ทหารรักษาพระองค์ที่ตามมาทั้งหมดถูกฆ่าตายและได้รับบาดเจ็บ ไหวอ๋องที่ตกอยู่ในความโกรธ จึงฉีกร่างหมีตัวนั้นให้ตายทั้งเป็น จากนั้นจึงถูกยกย่องจากจักรพรรดิองค์ก่อนและกลายเป็นเสาหลักของเมืองต้าฟ่งในอนาคต’
นางเขียนคำพูดต่อไปสองสามประโยค จากนั้นหยุดชั่วครู่หนึ่งแล้วส่งต่ออีกครั้ง ‘ข้าสงสัยว่าในปีนั้นไหวอ๋องและฝ่าบาท ไม่สามารถหาเหยื่อจากข้างนอกได้ จึงเข้าไปหาในหนานย่วนที่อยู่ในพื้นที่ลึกเข้าไปอีก
‘นอกจากนี้ สภาพร่างกายของจักรพรรดิผู้ล่วงลับก็ยังปกติ แต่เพราะความหลงใหลในสตรีเพศตลอดเวลา…ดังนั้นในปีต่อๆ มา ความเจ็บป่วยของท่านจึงหนักหนาเหมือนภูเขา โหรแห่งสำนักโหราจารย์สามารถยืดอายุของพระองค์ได้เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น หลังจากหนึ่งปีให้หลังพระองค์ก็สวรรคต’
สวี่ชีอันส่งข้อความกลับแล้วถาม ‘สัตว์ร้ายรอบๆ หนานย่วนส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปจากพื้นที่นั้น นี่หมายความว่าอย่างไร สัตว์ร้ายหนีไปอย่างนั้นหรือ?’
หมายเลขหนึ่งตอบว่า ‘อาจจะมีความเป็นไปได้บ้าง สัตว์ร้ายจะมีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งเกี่ยวกับอาณาเขตของพวกมัน เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะหนีออกจากอาณาเขตหากไม่ถูกขับไล่ออกไปอย่างรุนแรง นอกจากนี้ นี่ยังถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพวกมันเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่’
หลังจากพูดจบ นางก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไม่ตัดการเชื่อมต่อหรือส่งข้อความ ดูเหมือนจะรอความคิดเห็นจากสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่งข้อความ ‘ข้าจะสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป สามารถพบเจ้าเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่ ข้าอยากจะบอกรายละเอียดแก่เจ้า’
หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่ได้’
หลังจากพูดจบ นางก็ตัดการเชื่อมต่อ
เฮอะ นางยังคงไม่รู้ว่าข้ารู้ตัวตนของนางแล้ว…สวี่ชีอันเบ้ปากไม่พอใจ
ขณะเก็บชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี เขานอนบนเตียงพลางเอามือรองไว้ข้างหลังศีรษะ คิดทบทวนและวิเคราะห์
“จักรพรรดิผู้ล่วงลับหมกมุ่นอยู่กับสตรีเพศตลอดทั้งปี มีสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอ ตามโชคชะตาที่ว่าผู้ที่มีโชคลาภจะมีชีวิตสั้น สมควรแล้วที่จักรพรรดิผู้ล่วงลับจะตาย…”
“ในปีนั้นสิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องพบในพื้นที่ลึกของหนานย่วนต้องไม่ใช่หมีอย่างแน่นอน ทหารรักษาพระองค์ถูกสังหารและบาดเจ็บทั้งหมดถือเป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่ใช่หมีแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
“อีกอย่าง ในขณะนั้นไหวอ๋องยังเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่ายอดฝีมือของพระราชวังได้ ในขณะที่ยอดฝีมือของพระราชวังซึ่งติดตามเขาทุกคนล้วนเสียชีวิต เขาและจักรพรรดิหยวนจิ่งกลับไม่ตาย เห็นได้ชัดว่าช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“การคาดเดาที่ถูกต้องที่สุดคือในช่วงวิกฤตในปีนั้น เขาและจักรพรรดิหยวนจิ่งรอดพ้นจากความตายด้วยเหตุผลบางประการ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจึงกลายเป็นผู้รับเคราะห์ หากสามารถหาทางหลบหนีไปได้ ความจริงแล้วจักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องควรไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นต่อพระราชวัง จากนั้นก็ขอให้จักรพรรดิผู้ล่วงลับส่งผู้ยอดฝีมือกลับไปจัดการกับมัน อย่างไรก็ตาม บันทึกทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของเหตุการณ์นี้คือ ไหวอ๋องฉีกร่างหมีด้วยมือของตนเองและได้รับการยกย่องจากอดีตจักรพรรดิว่าเป็นเสาหลักของประเทศในอนาคต
“นี่แสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งและไหวอ๋องปกปิดความจริงบางอย่าง”
…
ในคืนเดียวกันนั้น ทางเหนือ อ่าวพระจันทร์เสี้ยว
กองไฟกำลังแผดเผา โต๊ะเตี้ยเต็มไปด้วยวัวและแกะย่าง รวมทั้งเหล้านมหมัก
ชายหญิงเผ่าอนารยชนเต้นรำรอบกองไฟ ร้องเพลงอย่างดุเดือดและร้อนแรง
หลังจากฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิในภาคเหนือเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ลมพัดแรงบนใบหน้า ทำให้ใบหน้าที่บอบบางของสวี่ซินเหนียนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ตามคำแนะนำของเผยหม่านซีโหลว เขาได้ป้ายไขมันแพะบนใบหน้า เพื่อป้องกันผิวแตกจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งในภาคเหนือ
กลยุทธ์ของสวี่ซินเหนียนได้ผล กองทัพต้าฟ่งที่แข็งแกร่งจำนวนสามแสนคนบุกไปทางเหนือ โจมตีจิ้งกั๋วอย่างไม่ทันตั้งตัว ในการต่อสู้ครั้งแรกเมื่อวันก่อน ด้วยความร่วมมือของเผ่าอนารยชน พวกเขากวาดล้างกองทัพเกราะไฟจำนวนสามพันคน ทหารม้าหนึ่งพันสี่ร้อยคน และทหารราบห้าพันคน
จากคำพูดของปีศาจทางเหนือ นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดจากการต่อสู้สองเดือน เป็นไปตามที่ควรจะเป็น กองทัพของต้าฟ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและดูแลเป็นพิเศษจากคนป่าเถื่อน
แต่สวี่เอ้อร์หลางรู้ว่าทุกอย่างมีสองด้าน สำหรับการจู่โจมครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความเร็วของการเดินทัพ กองทหารสามหมื่นนายนำอาหารมาเพียงแค่สี่วันเท่านั้น
หากแนวเสบียงด้านหลังขาด กองทหารสามหมื่นนายนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์ขาดแคลนกระสุนและอาหารอย่างร้ายแรง ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องยากสำหรับกองทหารขนส่งอาหารที่จะไล่ตามคนของพวกเขา
มีแนวโน้มที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพจิ้งกั๋ว
แม้ว่าพวกสัตว์ประหลาดและคนป่าเถื่อนอ้างว่าสามารถขอยืมอาหารได้ แต่เมื่อสงครามปะทุขึ้น ต่างฝ่ายต่างแตกแยก ใครจะดูแลใครกันแน่?
ตอนนั้นทำได้แค่กลับไปที่ชายแดน และรอโอกาสกลับมาอีกครั้ง แบบนี้จะทำให้พลาดโอกาสมากมาย
สวี่เอ้อร์หลางไม่เคยดื่มเหล้านมหมักมาก่อน ดังนั้นเขาจึงจิบมันแค่เล็กน้อยและดูการเต้นรำของพวกชายหญิง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงจะปรากฏตัวในค่ายทหารในเผ่าพันธุ์ปีศาจและคนป่าเถื่อน ประการแรก การดำรงอยู่ของผู้หญิงเหล่านี้สามารถสนองความต้องการของผู้ชายได้เป็นอย่างดี
ประการที่สอง ผู้หญิงของเผ่าปีศาจและคนป่าเถื่อนมีพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เผยหม่านซีโหลวเหลือบมองสวี่เอ้อร์หลางซึ่งกำลังนั่งตัวตรง ยิ้มและกวักมือปีศาจสาวเจ้าเสน่ห์และสั่งว่า “ดูแลเพื่อนของข้าให้ดีล่ะ”
จากนั้นก็พูดกับสวี่เอ้อร์หลางว่า “ค่ายทหารตกต่ำและน่าเบื่อ ทหารต้องต่อสู้ในสนามรบในกลางวัน และต้องระบายอารมณ์ออกในตอนกลางคืน พี่ฉือจิ้ว นางเป็นของเจ้าในคืนนี้ ไม่ต้องเกรงใจนาง”
ปีศาจสาวทรงเสน่ห์ซุกตัวและคลอเคลียเขาราวกับใยไหม เบียดร่างกายอันอ่อนนุ่มเข้ากับแขนของเขา
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วและผลักออก แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น
การเผชิญหน้าระหว่างสองกองทัพเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ข้าจะดื่มด่ำกับภาพลามกอนาจารของผู้หญิงได้อย่างไร… ข้าจะไม่แตะต้องหญิงปีศาจ ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นอะไรกันแน่…ร่างกายที่อ่อนนุ่มนั้น ไม่ ไม่ ไม่ ข้าคิดแบบนั้นไม่ได้ ข้าเป็นปัญญาชน…อย่างน้อยเจ้าก็ต้องอาบน้ำเสียก่อน…
เมื่อพอใจกับอาหารและเครื่องดื่มแล้ว สวี่เอ้อร์หลางยืนยันความตั้งใจดั้งเดิมของปัญญาชนแห่งต้าฟ่ง และไม่ให้โอกาสปีศาจสาว
เมื่อกลับไปที่เต็นท์ทหาร เขาถอดแต่ชุดเกราะที่หนักที่สุดออก ถอดรองเท้าแล้วผล็อยหลับไป
ฉู่หยวนเจิ่นปรากฏตัวในเต็นท์ทหารอย่างเงียบๆ นั่งบนเก้าอี้ ถือดาบ ปิดตาและหลับไป
บรรดาผู้ที่ต่อสู้กับสำนักพ่อมดจะพัฒนานิสัยอย่างหนึ่งคือการนอน โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละสองคน คนหนึ่งนอนพัก อีกคนสังเกตการณ์ เมื่อพบว่าคนที่กำลังนอนอยู่นั้น นอนหลับนิ่งเงียบเป็นตาย เขาจะส่งเสียงเตือนทันที
เหตุผลทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อมดระดับสี่ชื่อเมิ่งอู เขาสามารถฆ่าคนในความฝันได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม สำหรับเมิ่งอูที่จะใช้วิธีนี้ มีข้อจำกัดในแง่ของระยะทางและจำนวนคน บ่อยครั้งหลังจากประสบความสำเร็จในการฆ่าคนหลายสิบคน เขาจะถูกค้นพบ
ในระหว่างการรบที่ด่านซานไห่ เว่ยเยวียนเคยพัฒนาวิธีการต่อต้านเมิ่งอู และส่งยอดฝีมือขั้นสี่และพ่อมดหลายคนไปลาดตระเวนนอกค่ายทหาร ปลอมตัวเป็นหน่วยสอดแนม
เมื่อพบค่ายทหาร พวกโหรได้ค้นหาและกำหนดตำแหน่งของพ่อมดเมิ่งอู จากนั้นยอดฝีมือขั้นสี่ก็ควบคุมไว้ได้
เมิ่งอูคิดที่จะฆ่าคนด้วยวิธีนี้ เขาจึงอยู่ไม่ห่างไกลจากค่ายทหารมากนัก ด้วยความสามารถของยอดฝีมือขั้นสี่ เสริมด้วยความสามารถของโหรในการค้นหาศัตรู พวกเขาจึงสามารถชนะได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
สังเวยชีวิตของทหารส่วนน้อยเพื่อแลกกับเมิ่งอูที่อยู่ในขั้นสี่ นี่ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่หลวง
ท่ามกลางภวังค์อันมึนงง สวี่เอ้อร์หลางกลับไปที่เมืองหลวงและนั่งที่โต๊ะอาหารค่ำพร้อมกับครอบครัว
ทันนั้นเอง สวี่ผิงจื้อผู้เป็นบิดาก็จับคอของตัวเอง ก่อนจะสิ้นลมหายใจด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เลือดสีดำไหลรินออกมาจากมุมปาก จากนั้นก็ตามด้วยมารดา หลิงเยวี่ยน้องสาวของเขา และพี่ใหญ่…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง