ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 455

บทที่ 455 ความจริงที่หายไป

แม้สวี่ซินเหนียนจะดูถูกบิดาและพี่ใหญ่;jkเป็นทหารจอมต่ำช้าอยู่ในใจ แต่บิดาก็คือบิดา ตนเองดูถูกได้ไม่เป็นไร จะให้คนนอกกล่าวใส่ร้ายได้อย่างไร

ดังนั้น เมื่อฟังคำกล่าวหาของเจ้าพานอี้ สวี่ซินเหนียนกำลังคำนวณอายุของตนเองและน้องสาวอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว ยืนยันว่าเป็นญาติของตนเอง ถึงจะหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ สะบัดแขนเสื้อพลางยิ้มหยันกล่าว

“เจ้าพานอี้ เจ้ากล่าวอยู่คำเดียวว่าพ่อข้าเนรคุณ มีหลักฐานหรือไม่? “

ยุทธการด่านซานไห่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน ตนเองอายุยี่สิบปี หลิงเยวี่ยอายุสิบแปดปี เวลาไม่สอดคล้องกัน ดังนั้นเขาและหลิงเยวี่ยไม่ใช่ลูกกำพร้าของตระกูลโจว

เจ้าพานอี้เอือมระอา “คนตายไปตั้งยี่สิบเอ็ดปีแล้ว จะมีหลักฐานอะไรอีก แต่สวี่ผิงจื้อเป็นคนเนรคุณก็คือเนรคุณ ข้าคุ้มหรือที่จะกล่าวใส่ร้ายเขา?”

สวี่เอ้อร์หลางไม่กล่าวอะไร กวักมือ “เข้ามา จับมัดเจ้าอัปลักษณ์นี้ให้ข้า”

ทหารที่ต้มเนื้อให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของด้านนี้อยู่ตลอด เมื่อได้ยินดังนั้น ชักกระบี่ออกจากฝักทีละคน กรูเข้ามา ทหารสามสิบนายรวมทั้งเจ้าพานอี้ถูกห้อมล้อม

ทหารที่อยู่ในอำนาจของเจ้าพานอี้ชักกระบี่ออกมา เผชิญหน้ากับสหายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะบาดเจ็บ แม้จะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แต่ก็ไม่เกรงกลัวเสียนิดเดียว

อยู่ในสนามรบ ก็เหมือนติดอยู่ในนรก ตั้งแต่การออกทัพ ผลัดกันสู้รบกับทหารม้าของจิ้งกั๋ว ความเกลียดชังได้รับการหล่อเลี้ยงมานานแล้ว และไม่มีใครกลัวความตาย

เจ้าพานอี้กดมือลง ส่งสัญญาณให้ลูกน้องอย่าวู่วาม ‘ถุย’ พ่นเสมหะออกมา พลางกล่าวอย่างไม่สนใคร “ข้าไม่สู้สุดชีวิตกับสหาย ไม่เหมือนบางคน ที่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ต่างเป็นเลวระยำหมาที่เนรคุณ”

สีหน้าของสวี่เอ้อร์หลางอึมครึม ตะโกนสั่ง “จับเขาไว้”

ทหารกรูเข้ามา ใช้กระบี่กระแทกเจ้าพานอี้และคนอื่นๆ ทั้งมัดอย่างแน่นหนา และโยนไปไว้อีกฝั่ง จากนั้นก็กลับไปต้มเนื้อม้าต่อ

เจ้าพานอี้ยังคงพูดไปด่าไปอยู่ตรงนั้น บรรพบุรุษของตระกูลสวี่ทั้งสิบแปดรุ่นต่างถูกด่าทอ แม้แต่สตรีที่อยู่ในความอุปการะก็ด้วย

สวี่ซินเหนียนสั่งการให้ลูกน้องปิดปากของเจ้าพานอี้ ทำให้เขาได้เพียงแต่อือๆๆ เท่านั้น ไม่สามารถพ่นคำหยาบคายได้อีก

“เรื่องในบ้านหรือ?”

ฉู่หยวนเจิ่นเห็นเขาขมวดคิ้วแน่น จึงหัวเราะพลางกล่าวหยั่งเชิง

สวี่ซินเหนียนส่ายหน้า สายตามองไปยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลนัก กล่าวอย่างลังเล “ข้าไม่เชื่อว่าพ่อข้าจะเป็นคนเช่นนี้ แต่คำพูดของเจ้าพานอี้ ทำให้ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเก็บเขาไว้ก่อน”

เมื่อตอนยังเด็ก พี่ใหญ่และท่านแม่ความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกัน ทำให้ท่านพ่อปวดหัวหนัก ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อมักจะพูดถึงความขัดแย้งของตนเองและท่านลุงบ่อยครั้ง ท่านลุงป้องกันกระบี่แทนท่านพ่อ และเสียชีวิตในสนามรบ

สวี่เอ้อร์หลางฟังตั้งแต่เด็กจนโต ตอนนี้กลับมีโจวเปียวที่ปรากฏตัวออกมาอย่างงุนงง ดูไม่สมเหตุสมผลและแปลกประหลาดอย่างชัดเจน

เขามองไปทางฉู่หยวนเจิ่น กล่าว “เจ้าดูเหมือนจะมีวิธีติดต่อพี่ใหญ่ของข้า?”

‘สวี่เอ้อร์หลางยังคงระมัดระวังยิ่งนัก ที่นี่ไม่มีคนนอก กล่าวถึงหนังสือปฐพีตรงๆ ไปเลยก็ได้แล้วมิใช่หรือ’…ฉู่หยวนเจิ่นเอื้อมมือไปหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา กล่าวถาม “เจ้าต้องการติดต่อหนิงเยี่ยนใช่หรือไม่ ว่ามาสิ เรื่องอะไร”

สวี่ซินเหนียนเหลือบมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างแปลกใจ กล่าว “นำเรื่องที่อยู่ที่นี่บอกเขา ให้เขาไปหาพ่อข้าเพื่อหาข้อพิสูจน์”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็เห็นฉู่หยวนเจิ่นใช้มือต่างพู่กัน เขียนอักษรลงบนพื้นผิวของกระจกหยกชิ้นเล็กนั้น

ตะวันในยามสายัณห์ถูกกลืนกินจนลับขอบฟ้าจนหมด ท้องฟ้าสีครามอยู่ไกลออกไป สวี่ชีอันทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ในขณะที่ท้องฟ้าสีครามอยู่ไกลออกไปยังไม่ถูกม่านราตรีปกคลุมจนหมดสิ้น เขาเดินย่อยอาหารอย่างสบายใจอยู่ในลาน และเตะลูกขนไก่เป็นเพื่อนเสี่ยวโต้วติง

เสี่ยวโต้วติงยังไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองให้ดี มักจะเตะลูกขนไก่ลอยออกไปนอกจวน หรือไม่ก็เตะจนพื้นเป็นหลุมออกมา

พลังของนางเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปแล้วกระมัง นางฝึกฝนวิชาออกกำลังของฝ่ายลี่กู่เพียงไม่กี่เดือน ตกลงเป็นนางที่โชคดี หรือว่าข้าที่โชคดีกันแน่…สวี่ชีอันเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง

“ลี่น่า เกิดอะไรขึ้นกับหลินอิน? ความก้าวหน้าดูเกินจริงมากไปแล้ว”

เขาหันหน้าไปมองลี่น่า ที่นั่งปอกเปลือกกินส้มอยู่อีกฝั่ง

เมื่อลี่น่าได้ยินก็ย่นจมูก “ข้าเคยบอกแล้วว่าหลินอินแข็งแรงเหมือนลูกวัว เต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดลม เป็นต้นกล้าที่ดีในการบำเพ็ญพรตลี่กู่ เจ้าไม่เชื่อการตัดสินของข้ารึ”

ต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ก็ช่างยอดเยี่ยมไปเลย ข้าใกล้จะอิจฉาตาร้อนแล้ว…สวี่ชีอันกุมลูกขนไก่ใว้ในมือ มองหลุมที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของสวี่หลินอิน พลางกล่าวอย่างจนใจ

“ตอนนี้นางยังไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้ ไม่ระวังเสียหน่อยก็จะออกแรงมากเกินไป ด้านการบำเพ็ญพรต ชะลอลงหน่อยเถอะ”

เสี่ยวโต้วติงเป็นเด็กที่ร่าเริงสดใสคนหนึ่ง อีกทั้งยังติดอาสะใภ้แจ เมื่อต้นปีไปเรียนที่สถานศึกษา เมื่อกลับถึงบ้าน ก็จะแบกกระเป๋าใส่ตำราใบเล็กวิ่งอย่างบ้าคลั่งเข้ามายังห้องโถง วิ่งเหมือนวัวกระทิงพุ่งเข้าใส่ก้นลูกท้อกลมๆ ของมารดานาง

ตอนนี้กควบคุมพลังไม่ได้และเผลอออกไปข้างนอกเข้าสักวันหนึ่ง…ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ ไม่แน่บ้านสกุลสวี่อาจมีลูกกำพร้าเพิ่มอีกสามคนก็เป็นได้

“อ้อ!”

ลี่น่าพยักหน้า นางคิดขึ้นมาได้แล้วว่า หลินอินไม่ใช่เด็กของฝ่ายลี่กู่ เด็กของฝ่ายลี่กู่สามารถระเบิดพลังได้ตามอำเภอใจ และไม่กลัวว่าจะทำร้ายครอบครัว

หากทำลายข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ภายในบ้าน ยังต้องระวังบิดามารดาระเบิดพลังตามอำเภอใจใส่อีก

แต่หลินอินทำเช่นนั้นไม่ได้ บ้านสกุลสวี่ล้วนเป็นเพียงคนธรรมดา

สวี่ชีอันพึงพอใจแล้ว คนผิวคล้ำตัวเล็กจากซินเจียงตอนใต้เป็นแม่นางที่ซื่อบื้อ แต่ข้อดีของความซื่อบื้อก็คือไม่หยิ่งผยอง และเชื่อฟัง

คำถามเดียวกัน หากเปลี่ยนเป็นหลี่เมี่ยวเจิน นางคงจะกล่าวว่า ‘วางใจเถอะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การฝึกฝนจะเพิ่มระดับยิ่งขึ้น รับประกันว่าจะทำให้นางควบคุมพละกำลังในเวลาที่สั้นที่สุดให้ได้’

เปลี่ยนเป็นหลินอัน ‘เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียนแล้ว พวกเราไปเล่นด้วยกันเถอะ’

เปลี่ยนเป็นไฉ่เวย ‘การบำเพ็ญพรตน่าเบื่อจะตาย พวกเรามากินกันเถอะ’

เปลี่ยนเป็นฮว๋ายชิ่ง ‘เจ้ากำลังสั่งสอนข้ารึ’

เวลานี้ ความรู้สึกหัวใจเต้นแรงที่คุ้นเคยกลับมาแล้ว สวี่ชีอันทิ้งเสี่ยวโต้วติงกับลี่น่าไว้ และรีบเดินเข้าห้องไปในทันที

เขาคลำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอน เป็นฉู่หยวนเจิ่นที่ส่งคำขอแชทส่วนตัวกับเขา

หมายเลขสาม ‘พี่ฉู่ การสู้รบทางแดนเหนือเป็นเช่นไรบ้าง’

หมายเลขสี่ ‘สู้รบยากยิ่งนัก แต่ถือว่ายังดี ที่มีผู้แพ้และผู้ชนะ ข้าติดต่อเจ้า เพราะจะมาถามถึงเรื่องเรื่องหนึ่งแทนสวี่เอ้อร์หลาง’

หลังจากนั้นไม่นาน ข้อความช่วงที่สองก็ส่งมา หมายเลขสี่ ‘พวกเราพบเข้ากับนายกองธงแห่งเมืองยงโจวคนหนึ่งชื่อเจ้าพานอี้ อ้างว่าเป็นสหายรักกับอารองสวี่ในช่วงสงครามด่านซานไห่

เมื่อเขาเห็นสวี่เอ้อร์หลางก็ด่าทออย่างรุนแรง ดุด่าอารองสวี่ว่าเป็นคนเนรคุณ เหตุผลคือเมื่อตอนนั้นที่เจ้าพานอี้ อารองสวี่ กับอีกคนหนึ่งที่ชื่อโจวเปียว ทั้งสามเป็นสหายรักที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ในระหว่างสู้รบในสนาม

จากนั้น โจวเปียวได้เข้ารับกระบี่แทนอารองสวี่ และเสียชีวิตในสนามรบ อารองสวี่เคยสาบานว่าจะปฏิบัติดีต่อครอบครัวอีกฝ่าย แต่อารองสวี่ผิดสัญญา และในเวลายี่สิบปีมานี้ไม่เคยไปเยี่ยมครอบครัวของโจวเปียวเลย ฉือจิ้วไม่เชื่อว่ามีเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจึงให้ข้าส่งสารหาเจ้า และรบกวนให้เจ้าไปถามอารองสวี่’

สวี่ชีอันเกือบจะใช้มือที่สั่นเทา เขียนกลับไปว่า ‘รอข้าประเดี๋ยว!’

หลังจากเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้ไปหาอารองทันที แต่กลับรินน้ำให้ตนเองหนึ่งจอก ดื่มอย่างช้าๆ หลังจากดื่มน้ำแล้ว มือก็ยังไม่หายสั่น

“เอี๊ยด…”

เมื่อเปิดประตู สวี่ชีอันก็เดินไปยังห้องปีกตะวันออกด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ เคาะประตูที่มีแสงเทียนลอดออกมา

อารองสวี่สวมชุดสุภาพสำหรับทำงาน เดินมาเปิดประตู ยิ้มแหะแหะกล่าว “หนิงเยี่ยน มีเรื่องอันใดหรือ?”

สวี่ชีอันเปิดปาก และปิดกลับไปอีก ผ่านไปไม่นาน ก็กล่าวถามเสียงเบา “อารอง ท่านรู้จักเจ้าพานอี้หรือไม่”

อารองสวี่เห็นได้ชัดว่าตกตะลึง ตาคมดุจเสือเบิกกว้างเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยความตะลึงงัน “เจ้ารู้จักพี่น้องของข้าที่คบหากันในช่วงสงครามด่านซานไห่เมื่อตอนนั้นได้อย่างไร ข้าจะบอกเจ้าให้ เขาคือพี่น้องที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันของข้าเลยเชียว”

สวี่ชีอันพยักหน้า “หลังจากนั้นเหตุใดจึงไม่ติดต่อแล้วเล่า?”

อารองสวี่ส่ายหัวและหัวเราะ “เจ้าไม่เข้าใจ อาชีพทหาร อยู่กันคนละฟากฟ้า ต่างคนต่างมีหน้าที่ เวลานานไป ความสัมพันธ์ก็จืดจางแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง