บทที่ 456 ย้อนรอยความอับอายทางสังคม
ยามดึก ค่ำคืนในแดนเหนือหนาวเหน็บจนสั่นสะท้านไปถึงกระดูก
สวี่ซินเหนียนที่นอนตะแคงอยู่ข้างกองไฟ ตื่นขึ้นมาเป็นระยะ มือสองข้างวางไว้บนไหล่ของทหารสองนาย พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “โลหิตเดือดพล่าน!”
ทหารสองนายส่งเสียงครางอย่างสบายอารมณ์ ไม่ต้องนอนขดตัวคุดคู้เพื่อรักษาอุณหภูมิในกายอีกต่อไป ความพอใจในห้วงนิทราเผยออกมาเล็กน้อย
กองทัพพันธมิตรระหว่างคณะทูตปีศาจและต้าฟ่งถูกหน่วยทหารม้าติดอาวุธของจิ้งกั๋วโจมตีแตกกระเจิง ทำให้ไม่มีเวลาขนสิ่งของต่างๆ อย่างเสบียงอาหาร หรือของใช้ในชีวิตประจำวันไปด้วย
เมื่อไม่มีกระโจม เตียงนอนและผ้าห่มอุ่นๆ การนอนหลับในแดนเหนือช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเป็นอะไรที่ทรมานมาก เหล่าทหารอาจเป็นไข้หวัด หรือแม้กระทั่งล้มตายจากโรคภัยไข้เจ็บได้
ในสถานการณ์ที่ขาดแคลนเสบียง เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาย่อมถึงแก่ความตาย
ดังนั้นสวี่เอ้อร์หลางจึงตื่นขึ้นมากลางดึกเป็นระยะและใช้วรยุทธ์ปัดเป่าความหนาวเย็นและทำให้ร่างกายอบอุ่นให้กับเหล่าพวกพ้องทหาร
เขาเป็นถึงบัณฑิตขั้นเจ็ด ระดับกำเนิดปราชญ์ในขั้นนี้นอกจากจะมีร่างกายแข็งแรงกว่าคนทั่วไปแล้ว ยังสามารถควบคุมประกาศิตขั้นต้นได้
คำพูดคือพลัง!
สวี่เอ้อร์หลางสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอลง แข็งแกร่งขึ้น หรือบรรเทาความเจ็บปวดได้ในระดับและขอบเขตหนึ่งๆ…
ที่บอกว่าในระดับหนึ่ง คือต้องรักษาความสมเหตุสมผลเอาไว้
หากยกตัวอย่างให้เจาะจง ก็หมายถึงระดับของสวี่เอ้อร์หลางในตอนนี้ทำได้เพียงกระตุ้นความสามารถในการขับไล่ความหนาวเย็นในกายของเหล่าทหารออกมาเท่านั้น และถ้าเจ้าสำนักจ้าวโส่วอยู่ที่นี่ เพียงแค่เขาขับกลอน ‘ทะเลทรายงามงด นภาสวยสดเดือนมีนา’ เพียงท่อนเดียว
สภาพภูมิอากาศโดยรอบจะเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูใบไม้ผลิ และจะคงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากใช้วรยุทธ์ขับไล่ความหนาวเหน็บให้กับเหล่าทหารทีละคนๆ สวี่เอ้อร์หลางก็ไม่อาจเก็บซ่อนความเหนื่อยล้าของตนได้ จึงหนิบเนื้อแห้งในแขนเสื้อออกมา และกัดกระชากอย่างแรง
ในตอนนี้เอง เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้นอนหลับ จ้วงหยวนหลางผู้นี้นั่งเอนหลังพิงรถม้า เท้าสองข้างฝังอยู่ในพื้นดิน ที่ขุดเป็นหลุมลึก
‘สีหน้าของเขาดูไม่ปกติเลย ฮืม ชายผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้รู้จักทำสีหน้าซับซ้อนเป็นกับเขาด้วย’…สวี่เอ้อร์หลางหยัดกายลุกขึ้น เดินไปนั่งข้างฉู่หยวนเจิ่นแล้วพูดว่า
“เกิดอะไรขึ้น หลังจากส่งข้อความไปเมื่อครู่ สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย”
“ข้าแค่รู้สึกว่าความเชื่อใจในเพื่อนมนุษย์มันหายวับได้ภายในพริบตา…”
ฉู่หยวนเจิ่นสีหน้าซึมกะทือ จ้องมองสวี่ฉือจิ้วด้วยท่าทางอ้ำอึ้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว
“เอ้อร์หลาง ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดจาแปลกๆ หรือทำตัวแปลกๆ ใส่เจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาหาความนะ พอมานึกย้อนเอาตอนนี้แล้ว ข้าก็ขนลุกขนพองไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนชื่อเสียงชั่วชีวิตถูกทำลายลงในครั้งเดียว”
สวี่เอ้อร์หลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เจ้าหมายถึงตอนที่เจ้าส่งยิ้มให้ข้าข้างถนนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยน่ะหรือ”
ฉู่หยวนเจิ่นราวกับถูกฟ้าฝ่า “ยะ อย่าพูดเลย…”
ความจริงช่างแจ่มชัด หมายเลขสามคือสวี่ชีอัน เขาสวมรอยเป็นญาติผู้น้องสวี่ซินเหนียนมาโดยตลอด หมายเลขสามกล่าวว่าไม่อยากให้ตัวตนของตนเองถูกเปิดเผย เพราะฉะนั้นตอนที่ได้พบกัน หากไม่เอ่ยถึงหนังสือปฐพีคงจะเป็นการดีที่สุด
หมายเลขสามกล่าวว่า ตนกำลังจะติดตามกองทัพไปออกรบ จะฝากชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้พี่ใหญ่เก็บรักษาเป็นการชั่วคราว
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอุบายหลอกลวงเพื่อปกปิดความจริงที่ว่าหนิงเยี่ยนคือหมายเลขสาม
‘ตะ แต่สวี่เอ้อร์หลางก็ให้ความร่วมมือดีเกินไปเหมือนกัน’
ฉู่หยวนเจิ่นถามอย่างฝืนใจ “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้จักชิ้นส่วนหนังสือปฐพี แต่เจ้ามักจะทำดีกับข้าเสมอ อืม ขออภัย แต่ไม่ว่าข้าจะพูดจาหรือทำตัวแปลกเพียงใด เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบสนองบ้างเลย”
คำพูดมากมายที่เขาคิดว่าไม่ต้องพูดก็เข้าใจกันในตอนนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว เพราะเอ้อร์หลางไม่รู้จักหนังสือปฐพี จึงไม่เข้าใจไปโดยปริยาย
สวี่ซินเหนียนกล่าวราบเรียบ “พี่ใหญ่เคยอธิบายให้ข้าฟังว่า ไม่ว่าเจ้าจะพูดหรือทำตัวประหลาดอย่างไร ก็ไม่ต้องแปลกใจ ไม่ต้องส่งยิ้ม พยักหน้า หรือเพิกเฉยต่อเจ้า”
เท้าของฉู่หยวนเจิ่นขุดหลุมลึกลงไปอีกครั้ง
แต่ในไม่ช้า ฉู่หยวนเจิ่นผู้หัวไวก็คิดได้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนสวมรอยเป็นญาติผู้น้องของตนมาโดยตลอด เพื่อให้สมบทบาทจึงโอ้อวด ‘พี่ใหญ่’ ในหนังสือปฐพีเสียใหญ่โต และพูดถึงบ่อยจนแค่คิดเขาก็รู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะแล้ว
หากสวี่หนิงเยี่ยนรู้ว่าข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว คนที่ต้องอับอายควรจะเป็นเขามากกว่า!
หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ปล่อยให้เขาลอยนวลแน่!
ฉู่หยวนเจิ่นคลี่ยิ้มออกมาฉับพลัน ความคิดนี้เข้าท่าดีแฮะ
…
เมืองหลวง จวนสกุลสวี่
สวี่ชีอันรู้สึกเหมือนถูกตบหัว จึงสะดุ้งตื่นทันใด เพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงไม่แปลกใจถ้าเห็นดาบไท่ผิงและจงหลีที่กำลังเคาะศีรษะของตน
จริงๆ เลย ส่งข้อความส่วนตัวมาตอนดึกดื่นเที่ยงคืน ไอ้คนไร้อารยะนี่ คงไม่ใช่ฮว๋ายชิ่งที่ไม่รู้จักเที่ยวราตรีอีกแล้วใช่หรือไม่…เขาดึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอน จากนั้นหยัดกายลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็จุดเทียน
เขานั่งลง และตรวจสอบข้อความภายใต้แสงเปลวเทียน
หมายเลขสี่ ‘สวี่ชีอัน เจ้าคือหมายเลขสามใช่หรือไม่ เจ้าหลอกลวงพวกเรามาตลอด’
สวี่ชีอันตกตะลึง
ฉู่หยวนเจิ่นรู้ตัวตนของข้าตั้งแต่เมื่อไร
ความแตกตอนไหนเนี่ย
ในที่สุดเขาก็มองเห็นตัวตนของข้าจากจุดอ่อนของสวี่เอ้อร์หลางหรือ?
วินาทีนั้นเอง ความอับอายก็โหมกระหน่ำ กลืนกินเขาทั้งตัวราวกับคลื่นยักษ์ ไม่สิ สึนามิต่างหาก
หลังจากฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความแล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก สวี่ชีอันที่ตกอยู่ในความรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างสาหัส และสูญเสีย ‘ความกล้า’ ที่จะตอบกลับไปชั่วขณะ
หลังจากผ่านไปนาน เจ้าคนหน้าด้านสวี่ก็สงบสติอารมณ์ได้ และส่งข้อความตอบกลับ ‘ใช่แล้ว เจ้าเป็นผู้เดียวในพรรคฟ้าดินที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า นอกจากนักบวชเต๋าจินเหลียน’
ไม่ว่าในความเป็นจริงจะน่าอับอายเพียงไร แต่ใน ‘โลกอินเทอร์เน็ต’ นั้นข้ายังเฉียบแหลมและพร้อมทุ่มสุดตัวเสมอ
กุญแจสำคัญคือมีเพียงความสงบเท่านั้นที่จะสยบความอับอายได้
หมายเลขสี่ ‘อ้อ เก็บซ่อนได้แนบเนียนมาก อันที่จริงข้าก็สงสัยมานานแล้วล่ะ แต่เพิ่งจะมากระจ่างเอาตอนนี้’
หมายเลขสาม ‘สมแล้วที่เป็นจ้วงหยวนหลาง’
ระหว่างสองคนนี้ คนหนึ่งโมโหจนอยากจะขี่กระบี่บินกลับไปฟาดเจ้าคนแซ่สวี่สักกระบวนดาบ ส่วนอีกคนก็อับอายจนอยากจะปิดหน้า จนถึงขั้นคิดว่าอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย
แต่พวกเขาทั้งสองต่างจงใจทำเป็นเมินเฉยไปเสีย
หมายเลขสาม ‘เพิ่งรู้ไม่นานนี้หรือ’
หมายเลขสี่ ‘อ๋อ รู้เมื่อสองชั่วยามก่อนน่ะ พอข้าถามถึงเรื่องของสหายร่วมรบของอารองเจ้า เอ้อร์หลางก็สารภาพกับข้าจนหมดเปลือก’
เอ้อร์หลางทำแบบนั้นได้อย่างไรกันเล่า ไม่เห็นจะน่าเชื่อสักนิด ฮะ? เรื่องสหายร่วมรบของอารองหมายถึงอะไรอีกล่ะ…สวี่ชีอันขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมกับส่งข้อความไปว่า ‘สหายร่วมรบของอารองข้า?’
‘เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนคนนี้ ตกลงว่าไม่สนใจอยู่แล้ว หรือว่าแสร้งทำกันแน่?’…ฉู่หยวนเจิ่นเล่าเรื่องของโจวเปียวและเจ้าพานอี้ใหม่ตั้งแต่ต้น
โครม!
เสียงเก้าอี้พลิกคว่ำทำให้จงหลีสะดุ้งตื่นขึ้น นางขยี้ตาแล้วผงกหัวขึ้นมอง
เห็นสวี่ชีอันวิ่งไปที่โต๊ะหนังสือด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ฝนหมึก หยิบพู่กันออกมา และขีดเขียนข้อความอย่างขะมักเขม้น…
ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา นางก็เห็นสวี่ชีอันเป่าลมให้หมึกแห้ง พับกระดาษสอดไว้ในหนังสืออย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็พ่นลมหายใจ ก่อนจะบ่นพึมพำ
“ที่แท้หลักการของการบดบังความลับสวรรค์ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“หลักการเป็นอย่างไรหรือ” จงหลีเงี่ยหูฟัง และเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
“อย่ามาถาม มันเป็นความลับ” สวี่ชีอันกลอกตาใส่นางหนึ่งที “เจ้าเป็นปัญญาชนแท้ๆ ถามปุถุชนเช่นข้าไม่อายบ้างหรือไง”
จงหลีคอตกด้วยความละอาย ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม และโอบกอดไออุ่นที่เหลืออยู่บนโลกเพียงเล็กน้อย
สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก สงบสติอารมณ์ของตน และส่งข้อความไปว่า “พี่ฉู่ เรื่องนี้ช่วยเก็บเป็นความลับให้ข้าได้หรือไม่’
ฉู่หยวนเจิ่นตอบกลับ ‘ตัวตนของเจ้าหาได้ลึกลับไม่ เหตุใดต้องปกปิดไว้ด้วย’
สวี่ชีอันดูเหมือนจะมองเห็นฉู่หยวนเจิ่นที่กำลังยิ้มเยาะอย่างสะใจจากแดนเหนืออันห่างไกล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง