บทที่ 457 หวนคิดถึง
หลังจากถ่ายเทพลังปราณ เศษชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีก็ส่องประกายระยิบระยับขมุกขมัว พร่างพรายราวกับสายน้ำไหล จุดชนวนการร่ายมนตร์ให้ดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่า
สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหินโดยปริยาย ครู่ต่อมาประกายแวววาวพลันแผ่ขยายกว้างไร้สุ้มเสียง กลืนกินคนทั้งสองและพาพวกเขาเข้าไปยังห้องศิลา
อีกครั้งแล้วที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง ร่างกายของสวี่ชีอันตึงเครียดขึ้นมาเงียบๆ ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จึงอดนึกถึงฉากการ ‘ตาย’ ที่ไร้สุ้มเสียงครั้งก่อนของตัวเองอย่างเสียไม่ได้
ครั้นคิดถึงความน่าสะพรึงกลัวนั่น สถานการณ์คับขันตรงหน้าก็เริ่มคงตัว
ในเวลานี้เขารู้สึกคล้ายกับถูกตีน้อยๆ ที่แขน ก่อนเสียงของลั่วอวี้เหิงจะดังขึ้นที่ข้างหู “ตามหลังข้ามา!”
แส้ขนจามรีหวดตีเขาอีกครั้งราวกับสื่อว่าให้เขาตามมา
มืดเกินไปแล้ว มองไม่เห็นอะไรเลย ข้าต้องคอยเอื้อมมือคลำไปข้างหน้า จะจับโดนบั้นท้ายของน้าเล็กหรือเปล่าล่ะนี่? มีหวังถูกฆ่าตายคาที่แน่…เขาขบคิดขณะก้าวเดินช้าๆ
ทางเดินนั้นเงียบสงัดทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด หลังจากเดินไปได้สักพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็แน่นขนัดภายในอก เตรียมพร้อมเผชิญกับเสียงลมหายใจอันน่าสะพรึงกลัวนั่นและแรงกดดันอันหนักหน่วงของภูเขาไท่
แต่ทว่าเบื้องหน้ากลับไม่มีอะไรรอคอยอยู่ ทั้งลมก็สงบนิ่ง
หืม?
เขาเดินตามลั่วอวี้เหิงต่อไปอย่างข่มอารมณ์ ผ่านไปไม่กี่นาทีก็มีแสงสีทองนวลอ่อนแต่บริสุทธิ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
คราวที่แล้วข้าก็ ‘ตาย’ ที่นี่ สวี่ชีอันพึมพำในใจ หยุดนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
เชื่อเหลือเกินว่าด้วยวิธีการและการฝึกฝนของลั่วอวี้เหิง ไม่จำเป็นต้องพึ่งคำเตือนชี้แนะของเขาให้มากความ หากเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ น้าเล็กย่อมจัดการได้อย่างไร้ที่ติอยู่แล้ว
ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นเพียงร่างอวตารของน้องสะใภ้เท่านั้น…เฮ้ หากร่างอวตารของนางเกิดจัดการไม่ได้ ร่างจริงนี้ของข้าจะไม่ถูกบดจนป่นปี้เป็นผุยผงเหมือนยาเม็ดหรือ? ครั้นครุ่นคิด สวี่ชีอันก็ตะลึงงันครู่หนึ่ง
ขณะที่จินตนาการกำลังโลดแล่น ทันใดนั้นเขาก็เห็นแสงสีทองสะท้อนออกมาจากร่างของลั่วอวี้เหิง มันสว่างแต่ไม่พร่างพราย ส่องสว่างออกไปในความมืดรอบตัว
น้องสะใภ้หันหน้ากลับมา บัดนี้ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและงดงามของนางราวกับรูปปั้นทองคำเจิดจ้า ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ที่นี่ไม่มีสิ่งผิดปกติ มีเพียงพระภิกษุหนึ่งรูป”
ไม่มีสิ่งผิดปกติ?! สวี่ชีอันตกตะลึงอีกครั้ง
แล้วแรงกดดันอันหนักหน่วงเล่า ทั้งเสียงหายใจที่น่าสะพรึงกลัวอีก?
ด้วยความสงสัย เขาและลั่วอวี้เหิงหันเหไปทางแสงสีทองที่แผ่กลิ่นอายสำนักพุทธออกมา
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาพลันเห็นห้องลับกว้างขวางอยู่เบื้องหน้า ตรงกลางของห้องลับมีเตียงหินและเตายาทองสัมฤทธิ์ ที่ด้านข้างของเตียงหินเป็นเหวลึกลงไป
บนเตียงหิน ปรากฏพระภิกษุร่างสูงกำยำกำลังนั่งอยู่ พร้อมด้วยลูกประคำสีทองขนาดเท่ากำปั้นที่ห้อยอยู่เหนือศีรษะของเขา
ดวงตาของเขาปิดสนิท แสดงถึงการไร้ชีวสัญญาณมานานแล้ว
ไต้ซือเหิงหย่วน…ภายในอกของสวี่ชีอันเจ็บปวดเหลือแสน เจ็บปวดเสียจนเจียนขาดใจ
ในชั่วพริบตาภาพต่างๆ ในอดีตของเหิงหย่วนพลันผุดขึ้นมาในหัว ทั้งความคับใจที่อีกฝ่ายเคยถามตัวเขาถึงความต้องการทางการเงินหรือความขยันขันแข็งที่อีกฝ่ายคอยดูแลหญิงหม้ายผู้โดดเดี่ยวในสถานรับเลี้ยงเด็ก…
ลั่วอวี้เหิงจ้องไปที่ลูกประคำขนาดเท่ากำปั้นครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อัฐิธาตุและระดับเต๋าอรหันต์ขั้นสองควบแน่นกัน”
หลังจากหยุดชะงัก นางก็มองไปที่สวี่ชีอัน “เขาแค่แกล้งตายเท่านั้น”
แค่แกล้งตาย…ความโศกเศร้าที่ปั่นป่วนของสวี่ชีอันยังคงติดค้างอยู่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางหันไปถาม
“อัฐิธาตุเป็นระดับเต๋าของอรหันต์ก็จริง แต่เหิงหย่วนไม่สามารถเป็นยอดฝีมือขั้นสองได้”
เว้นแต่ว่าเหิงหย่วนจะเป็นภิกษุขั้นสองของสำนักพุทธที่ซ่อนตัวอยู่ ทว่าสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด
ลั่วอวี้เหิงบ่นพึมพำ
“เมื่อห้าร้อยก่อน สำนักพุทธเคยรุ่งเรืองในที่ราบตอนกลาง คิดๆ ดูแล้วอาจยังคงเหลือพระภิกษุในสมัยนั้นอยู่ เหตุผลที่เขามีอัฐิธาตุ มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นพระอรหันต์กลับชาติมาเกิดหรือไม่ก็ได้อัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่าพระอรหันต์เป็นอมตะนี่”
หลังกล่าวจบ เขาก็พร่ำบ่นในใจ แนวทางบำเพ็ญของสำนักพุทธนั้นเสถียรกว่าลัทธิเต๋าของเจ้ามากโข ลัทธิเต๋าสามนิกายของพวกเจ้าล้วนไปในทางอบายมุข
ลั่วอวี้เหิงเหล่มองเขา เอ่ยเสียงเบา
“ตามแนวทางฉานซือของสำนักพุทธ นักพรตระดับสี่คือผู้ที่อยู่ในสภาวะสร้างรากฐาน นักพรตต้องมีความมุ่งมั่น ยิ่งปณิธานมากเท่าไร ระดับเต๋าก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ระดับเต๋าที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ เมื่อระดับเต๋าถูกควบแน่นเป็นหนึ่ง จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระอรหันต์ย่อมเป็นพระอรหันต์สืบไป ไม่มีคุณสมบัติเป็นพระโพธิสัตว์ ด้วยเหตุนี้จึงมีวิถีการกลับชาติมาเกิดใหม่ หากพระอรหันต์ต้องการบรรลุระดับหนึ่งก็ต้องกลับชาติเพื่อบำเพ็ญใหม่และสละทุกอย่างในชีวิตนี้ สำหรับการกลับชาติมาเกิดของพระอรหันต์ในแต่ละครั้ง สำนักพุทธจะพยายามค้นหาพวกเขาอย่างสุดกำลัง จากนั้นก็จะนำอัฐิธาตุจากชาติที่แล้วมาสถิตไว้ในร่างกายของคนพวกนั้นเพื่อคุ้มครองรักษา เมื่อห้าร้อยปีก่อน ลัทธิขงจื๊อได้ส่งเสริมการขจัดศาสนาพุทธและบังคับให้สำนักพุทธกลับคืนสู่ดินแดนประจิมทิศ จึงมีความเป็นไปได้ยิ่งว่าอัฐิธาตุนี้อาจหลงเหลือมาจากในปีนั้น ด้วยเหตุนี้พระรูปนี้จึงอาจได้รับอัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องเป็นการกลับชาติมาเกิดของพระอรหันต์”
นี่สินะคือความลับของเหิงหย่วน นี่สินะคือเหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีให้กับเขา…ไม่ว่าเหิงหย่วนจะพระอรหันต์ที่กลับชาติมาเกิดหรือได้รับอัฐิธาตุมาโดยบังเอิญ ความสำเร็จในภายภาคหน้าของเขาย่อมไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน…อัฐิธาตุมีจิตวิญญาณจึงปกป้องไต้ซือเหิงหย่วนให้เขาพ้นจากวิกฤติงั้นสินะ? ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักได้
ขณะนั้นเองเขาพลันนึกถึงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่เคยเรียกเขาว่าพุทธบุตร
การที่เขาแคล้วคลาดจากภัยเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาคือพระอรหันต์คนใดคนหนึ่งที่กลับชาติมาเกิด?
ในขณะที่ความคิดของเขากำลังลอยล่อง ลั่วอวี้เหิงพลันเหยียดนิ้วออกและแตะเบาๆ ที่บนอัฐิธาตุ
นางใช้วิธีลับของลัทธิเต๋าในการปลุกจิตเดิม ซึ่งไม่ใช่วิธีการที่รุกล้ำ
อัฐิธาตุค่อยๆ เปล่งรัศมีอันนุ่มนวล
ไม่กี่วินาทีต่อมาสวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงหัวใจที่ตายแล้วเต้นกระเพื่อมอีกครั้งในอกของเหิงหย่วน เลือดลมเริ่มไหลเวียน สิบวินาทีต่อมาเปลือกตาของภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ก็เบิกโพลงด้วยความสั่นสะท้าน
“คุณชายสวี่? ราชครู?”
หลังจากมองไปรอบๆ อย่างงุนงง เหิงหย่วนก็เห็นสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงเปล่งแสงสีทองอร่าม
“ไต้ซือไต้ซือ ชีวิตของท่านช่างยิ่งใหญ่จริงๆ!” สวี่ชีอันหัวเราะออกมา
ขณะที่เหิงหย่วนกำลังจะเอ่ย อีกฝ่ายกลับมีท่าทีตื่นตกใจ ให้ความรู้สึกราวกับแมวที่พองขนฟูฟ่อง ทันใดนั้นเขาก็มองไปยังทิศทางของเตายาทองสัมฤทธิ์ ก่อนพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
‘ขนแมว’ ที่ตั้งตรงค่อยๆ ลู่ลงบรรจบกัน เหิงหย่วนถอนหายใจแผ่วเบา หว่างคิ้วผ่อนคลายมากขึ้น
ปฏิกิริยาของเหิงหย่วนทำให้สวี่ชีอันหวาดหวั่นพรั่นพรึงเล็กน้อย เขาพูดครู่หนึ่งและอธิบายสั้นๆ ว่าเขาค้นพบทางลับและวิธีช่วยเหลือราชครูได้อย่างไร
จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านที่นี่?”
ในเวลานี้หลังจากที่ฟังคำอธิบายของสวี่ชีอันและตรวจสอบรายละเอียดแล้ว เหิงหย่วนก็เชื่อว่าทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาเป็นของจริง
เขากลืนอัฐิธาตุในทันที ประนมมือทั้งสองแล้วพูดว่า “หลังจากที่ข้าถูกสายลับของไหวอ๋องนำตัวไปในวันนั้น พวกเขาก็ส่งข้ามาที่นี่ผ่านค่ายกลลำเลียงของจวนผิงหย่วนป๋อ ที่นี่ ที่นี่…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่งยวด “มีสิ่งชั่วร้ายอาศัยอยู่ที่นี่”
สิ่งชั่วร้าย?!
ใบหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล้ามเนื้อหลังบิดเกร็งจนบิดเบี้ยว ทั้งเส้นขนก็ลุกซู่
“เขาต้องการกลืนกินข้า แต่เพราะอัฐิธาตุจึงทำไม่สำเร็จ แต่อัฐิธาตุไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ไม่ช้าก็เร็วสักวันมันอาจจะถูกเขาสังเคราะห์ เพื่อที่จะต่อสู้กับเขา ข้าจึงตกอยู่ในภวังค์ พยายามปลุกกระตุ้นอัฐิธาตุสุดแรงเกิด” เหิงหย่วนมีสีหน้าขมขื่น
“เขามีลักษณะอย่างไร?” สวี่ชีอันถามอย่างรวดเร็ว
“ความรู้สึกที่เขามอบให้นั้นคล้ายกับเต๋ามารนิกายปฐพีมาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย ราวกับเพียงมองแวบเดียวก็สามารถดำดิ่งสู่ความชั่วร้ายของเขาได้เลย ความโหดร้าย ความโลภและตัณหา…ความคิดชั่วร้ายทุกชนิดก่อตัวขึ้น นี่เป็นเหตุผลที่ข้าเลือกเข้าสู่ ‘นิพพาน’ เพราะไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อาจป้องกันตัวเองจากการต่อสู้กับเขาได้” เหิงหย่วนกล่าวทั้งที่ในใจยังคงหวาดกลัว
ต้องเป็นร่างอวตารของผู้นำเต๋าอีกคนแน่นอน! สวี่ชีอันมองไปที่ลั่วอวี้เหิงอย่างตระหนักได้ เมื่อเห็นว่านางกำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองฝ่ายจึงเข้าใจตรงกันโดยทันที
“แล้วคนอื่นล่ะ?”
สวี่ชีอันกวาดสายตามองห้องหิน ก่อนจะพบสถานที่ผิดปกติหนึ่ง ห้องลับถูกปิดเอาไว้และมันก็ไม่มีทางเดินลงไปยังพื้น
เขามองไปยังเหวลึกทางด้านขวาของเตียงหินทันที ไม่แน่ว่าชายคนนั้นอาจอยู่ใต้เหวลึกลงไป
เหิงหย่วนขมวดคิ้ว “ไม่นานมานี้ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าแรงกดดันจากภายนอกหายไปแล้ว…”
เขายังคงทอดสายตาไปที่เหวลึก
ลั่วอวี้เหิงลอยขึ้นช้าๆ ก่อนกระโจนลงสู่ก้นเหว
เป็นเวลากว่าห้านาที ลั่วอวี้เหิงก็ขึ้นมาพร้อมกับแสงสีทอง เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันเห็นความโกรธแค้นในดวงตาและการแสดงออกของนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง