บทที่ 459 สำรวจสุสานจักรพรรรดิองค์ก่อน
สวี่ชีอันพาเหิงหย่วนกลับมาที่จวนสกุลสวี่ และสั่งให้ทาสรับใช้ทำความสะอาดห้องพัก เพื่อให้ไต้ซือไปอยู่ที่นั่น
เหิงหย่วนสามารถพักค้างคืนที่จวนสกุลสวี่ได้ สำหรับสวี่ชีอัน สำหรับสมาชิกตระกูลสวี่ ล้วนเป็นหลักประกันความปลอดภัยที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย มีเทพธิดานิกายสวรรค์ มีสาวน้อยผิวเข้มจากซินเจียงตอนใต้ อีกทั้งยังมีผู้ที่มีเทพซ่อนอยู่ในตัวอีกท่าน
ความจริง ความแข็งแกร่งของทหารยามจวนสกุลสวี่สูงจนน่าทึ่งอยู่แล้ว แข็งแกร่งกว่าจวนของเจ้าชายและขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่เสียอีก
เหิงหย่วนยกมือทั้งสองขึ้นมาประสานกัน และกล่าวว่า “ต้องรบกวนด้วย”
เขากล่าวแล้วก็ตามทาสรับใช้ไปที่ลานชั้นนอก
แม้ว่าเขาจะเป็นพระภิกษุ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย จึงไม่สะดวกที่จะอาศัยอยู่ลานชั้นใน เพราะในลานชั้นในมีผู้หญิงมากเกินไป
ภายใต้การนำของข้ารับใช้ เหิงหย่วนเข้าไปในห้องที่ตั้งอยู่ริมสุดและมีบรรยากาศเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
เขาไม่รู้สึกว่าเป็นการถูกละเลยแต่อย่างใด แต่กลับพอใจกับการเอาใจใส่ของสวี่ชีอัน เหิงหย่วนต้องการห้องที่เงียบสงบพอที่จะให้เขาท่องพระไตรปิฎกทั้งเช้าและเย็น
หลังจากทำความสะอาดห้องเบื้องต้น เหิงหย่วนก็ยกสองมือขึ้นมาประสานเพื่อกล่าวขอบคุณทาสรับใช้
เมื่อทาสรับใช้ไปแล้ว ในขณะที่เขากำลังจะปิดประตูและนั่งสมาธิ จู่ๆ เขาก็เห็นศีรษะเล็กๆ โผล่ออกมาจากประตู ดวงตาสีเข้มอันไร้เดียงสามองมาที่เขาด้วยความสงสัยเล็กน้อย
เหิงหย่วนยกยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ประสกน้อย”
เขารู้ว่าเด็กสาวคนนี้คือน้องสาวของสวี่ชีอัน เหิงหย่วนเคยมาที่จวนสกุลสวี่หลายต่อหลายครั้งแล้ว
“ท่านก็อยากมาอยู่ที่จวนข้าด้วยหรือ?” สวี่หลิงอินถาม
“ต้องรบกวนด้วย” เหิงหย่วนแสดงความรู้สึกเสียใจ
สวี่หลิงอินเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ก่อนจะหยิบขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พลางเงยหน้าขึ้นและยื่นให้เขาทั้งสองมือ “ให้ท่าน”
‘ช่างเป็นเด็กที่จิตใจงดงามเสียจริง…’ เหิงหย่วนเผยรอยยิ้ม ก่อนจะยัดขนมเปี๊ยะชิ้นนั้นเข้าไปในปาก และรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่แปลกประหลาดเล็กน้อย
สวี่หลิงอินวิ่งออกไปอย่างมีความสุข และหลังจากนั้นไม่นาน นางก็วิ่งกลับเข้ามาพร้อมกับกล้วยไม้ช่อหนึ่งที่เหี่ยวเฉา และมีสิ่งสกปรกติดอยู่ที่ราก
เหิงหย่วนมองเด็กสาวด้วยความสับสนเล็กน้อย และคิดในใจว่า ‘มอบขนมให้แล้ว นางยังคิดจะมอบดอกไม้ให้อีกรึ น้องสาวของใต้เท้าสวี่ช่างกระตือรือร้นและเฉลียวฉลาดจริงๆ’
สวี่หลิงอินขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความทุกข์ใจ “เมื่อครู่ข้าเล่นอยู่ข้างนอก และทำดอกไม้ที่ท่านแม่โปรดปรานล้ม ข้าจะโดนเฆี่ยนอีกแล้ว ท่านลุง ท่านแค่พูดว่าท่านเป็นคนทำล้ม ได้หรือไม่ ท่านคือแขก ท่านแม่คงไม่เฆี่ยนท่าน”
เหิงหย่วนกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ภิกษุไม่มุสา”
สวี่หลิงอินเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “หมายความว่าอะไร”
เหิงหย่วนอธิบายด้วยท่าทีอ่อนโยน “ก็ไม่สามารถพูดปดได้”
สวี่หลิงอินทำท่าราวกับจะร้องไห้ และกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านก็คืนขนมเปี๊ยะข้ามา ข้าซ่อนมันไว้ในรองเท้าตั้งสามวัน เพราะข้าทำใจกินมันไม่ลง…”
เหิงหย่วนตกตะลึงจนร่างแข็งทื่อ
…
กลับไปที่ห้องหนังสือ ฮว๋ายชิ่งและหลี่เมี่ยวเจินยังคงรออยู่ตามคาด สาวงามทั้งสองที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันนั่งเงียบๆ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่อึดอัด แต่ก็ไม่ผ่อนคลายเช่นกัน
เมื่อเห็นสวี่ชีอันเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ปฏิกิริยาของฮว๋ายชิ่งชัดเจนกว่าหลี่เมี่ยวเจินมาก นางลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว และเดินกระโปรงพริ้วเข้าไปต้อนรับเขา
นางหยุดลงที่เบื้องหน้าสวี่ชีอันอย่างกะทันหัน ดวงตาราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วงกำลังจ้องมาที่เขาด้วยความลังเลหลายต่อหลายครั้ง และพยายามควบคุมความสงบนิ่งของน้ำเสียงไว้อย่างดีที่สุด “เป็น เป็นใคร?”
“ไม่ใช่เขา” สวี่ชีอันส่ายศีรษะ หลังจากหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก็กล่าวเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เป็นเขา”
สองคำตอบ สองเขา สอดคล้องกับภาพทั้งสองตามลำดับ
สีหน้าของฮว๋ายชิ่งแข็งทื่อ ใบหน้างดงามของนางซีดลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สีเลือดฝาดบนใบหน้าค่อยๆ จางลงทีละนิด นางดูเหมือนไม่สามารถรับข้อเท็จจริงนี้ได้ อาการวิงเวียนศีรษะโจมตีอย่างรุนแรง ร่างของนางโอนเอนจนแทบจะล้มลงไป
สวี่ชีอันใช้แขนโอบรอบเอวของนาง และกล่าวด้วยความทอดถอนใจ “องค์หญิง กระหม่อมเสียใจด้วย…”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร…” ฮว๋ายชิ่งผลักไสอยู่สองสามครั้ง แต่ในที่สุดก็พิงไหล่หอมกรุ่นอันสั่นสะท้านไปที่หน้าอกของเขา
สวี่ชีอันอยากโอบหญิงงามไว้ในอ้อมกอดแน่นๆ แต่เมื่อพิจารณาได้ว่านางไม่ใช่หลินอัน ก็ทำได้เพียงโอบนางเบาๆ ให้องค์หญิงแห่งราชวงศ์ยืมหน้าอกอันแข็งแกร่งและไหล่กว้างของเขา
หลี่เมี่ยวเจินผู้ซึ่งไม่รู้ความจริงและกำลังหาทางสอดส่องถึงกับตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ และกล่าวในใจว่า ‘พะ พะ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร…นี่เจ้าคิดจะทำอะไรต่อหน้าข้า?’
ฉากนั้นเกิดขึ้นไม่นาน หลังจากฮว๋ายชิ่งร้องไห้เล็กน้อย ก็ระงับอารมณ์ภายในอย่างรวดเร็ว และผละออกจากอ้อมกอดของสวี่ชีอัน พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ากระทำสิ่งที่ไม่เหมาะไปแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินจึงฉวยโอกาสถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สวี่ชีอันชายตามองฮว๋ายชิ่ง เห็นนางไม่ได้คัดค้านอะไร จึงอธิบายให้เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ฟังว่า “ผู้ที่อยู่ภายใต้ชีพจรมังกร ไม่ใช่ผู้นำเต๋านิกายปฐพี แต่เป็นจักรพรรดิองค์ก่อน”
จักรพรรดิองค์ก่อน?!
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางอ้าปากค้างและค่อยๆ เบิกตาคู่สวยขึ้น คำพูดของสวี่ชีอันดังก้องอยู่ในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากผ่านไปนาน นางก็ถามพึมพำกับตนเองว่า “เป็นไปได้อย่างไร!”
“เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ ว่าผู้ที่ลุ่มหลงความเป็นอมตะที่แท้จริงคือจักรพรรดิองค์ก่อน แต่ข้อเท็จจริงอาจจะเป็นเช่นนี้” สวี่ชีอันถอนหายใจอีกครั้ง
สภาพร่างกายของจักรพรรดิองค์ก่อนดูไม่ดีจริงๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตายจริง แต่ผลการวินิจฉัยของโหรแห่งสำนักโหราจารย์ไม่ผิดแน่ นั่นคือจักรพรรดิองค์ก่อนหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับความงามของสตรี ทำให้ร่างกายกลวง
สิ่งนี้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์อย่างชัดเจน เพียงแค่ประโยคสั้นๆ ว่า ‘นักบวชหญิงช่างมีเสน่ห์เย้ายวน’ ก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
ตนเองจะเข้าใจร่างกายของตนเองดีที่สุด ดังนั้น จักรพรรดิองค์ก่อนถึงได้เกิดความปรารถนาในการบำเพ็ญธรรมและการเป็นอมตะ แต่เนื่องจากกฎที่ว่า ผู้แบกรับโชคชะตาของประเทศไม่สามารถมีอายุยืนยาวได้ จึงทำได้เพียงเก็บความปรารถนานี้ไว้ภายใต้ก้นบึ้งของหัวใจ
จนกระทั่งผู้นำเต๋านิกายปฐพีมาถึงเมืองหลวง หลังจากนั้น ต้องเกิดความลับบางอย่างที่บุคคลภายนอกไม่รู้อย่างแน่นอน สิ่งนั้นเปลี่ยนมุมมองของจักรพรรดิองค์ก่อน ทำให้เขาเห็นความเป็นไปได้ในการเป็นอมตะ
หลี่เมี่ยวเจินใช้เวลานานถึงจะแยกแยะข้อมูลนี้ได้ และปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง “เป็นไปไม่ได้ จักรพรรดิองค์ก่อนไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิเต๋า ไม่ใช่แม้กระทั่งทหาร และตอนที่เจ้าอยู่ในชีพจรมังกรใต้ดิน เมื่อเห็นสิ่งนั้นดำรงอยู่ มันอาจทรงพลังจนทำให้เจ้าตัวสั่น”
ฮว๋ายชิ่งดวงตาแดงก่ำ พลางสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ไม่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุต้นผลกรรมระหว่างทั้งสองท่าน จักรพรรดิองค์ก่อนเป็นคนธรรมดา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ ในบรรดาสมาชิกของราชวงศ์ ขอเพียงเป็นพระราชโอรสที่มีคุณสมบัติในการชิงบัลลังก์ ทุกคนล้วนรับนางสนมตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อสืบทอดทายาทให้แก่ราชวงศ์ เนื่องจากปัจจัยการมีหรือไม่มีทายาท เป็นเกณฑ์สำคัญข้อหนึ่งในการชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท แม้กระทั่ง หากพระราชโอรสหมกมุ่นอยู่กับวิทยายุทธ์ ก็จะกระตุ้นความไม่พอใจของจักรพรรดิและขุนนาง มัวหมกมุ่นอยู่กับวิทยายุทธ์ จะมีพลังวิญญาณจากที่ใดมาจัดการกับงานราชการแผ่นดิน เสด็จพ่อ…หมกมุ่นอยู่กับการบำเพ็ญธรรมมายี่สิบปี ขุนนางและประชาชนนินทากันอย่างหนาหู นี่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด”
ประโยคนี้หมายความว่า หากเจ้าอยากเป็นจักรพรรดิ ย่อมต้องละทิ้งการบำเพ็ญธรรม ถึงอย่างไรผู้คนก็มีขีดจำกัด
จักรพรรดิองค์ก่อนเลือกบัลลังก์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีพรสวรรค์
ในยี่สิบปีนี้ เขาเป็นเหมือนแมลงตัวหนึ่ง ที่นอนดูดเลือดอยู่บนโชคชะตาของต้าฟ่ง ขูดรีดความมั่งคั่งของประชาชน แม้ว่าจะเป็นหมูตัวหนึ่ง แต่หากป้อนทรัพยากรไปมากเช่นนี้ ก็เติบโตเป็นเทียนเผิงหยวนซ่วยได้เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ตามสถานการณ์ปัจจุบัน พรสวรรค์ของจักรพรรดิองค์ก่อนไม่ได้อ่อนแอ
หลี่เมี่ยวเจินพูดไม่ออกครู่หนึ่ง นางไม่รู้ว่าต้องนึกถึงอะไร ในจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดสะพรึง กล่าวด้วยความกระตือรือร้นว่า “ศพของอ๋องสยบแดนเหนืออยู่ที่ใด?!”
สวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งหันมาสบตากัน ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงตื่นเต้นถึงเพียงนี้ “เกิดอะไรขึ้น?”
ร่างของอ๋องสยบแดนเหนือถูกฉีกเป็นชิ้นๆ คนตายไปแล้วไม่สามารถตายได้อีก ย่อมไม่มีใครในคดีฉู่โจวสนใจว่าจะจัดการกับพระศพของชินอ๋องอย่างไร
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ยืนขึ้นช้าๆ และกวาดสายตามองทั้งสองด้วยแววตาหวาดผวา พลางกล่าวว่า “จิตวิญญาณหนึ่งแปรสภาพเป็นไตรวิสุทธิเทพ หนึ่งท่านสามคน สามคนหนึ่งท่าน ตราบใดที่ยังไม่ได้ฆ่าเทพสูงสุดทั้งสามแห่งลัทธิเต๋าให้ตายอย่างสมบูรณ์ เช่นนั้น พวกเขาก็ยังไม่ตาย สิ่งที่ตายไปเป็นเพียงเลือดลมที่สะสมมาตลอดหลายปี สิ่งที่ตายไปเป็นเพียงหนึ่งในสามของจิตเดิมเท่านั้น”
สีหน้าของสวี่ชีอันและฮว๋ายชิ่งเปลี่ยนไปอย่างมาก
…
ซังผอ วัดหย่งเจิ้นซานเหอที่สร้างขึ้นใหม่
หยวนจิ่งสวมเสื้อคลุมสีดำซึ่งปักด้วยไหมสีทอง ยืนไขว้สองมือไว้ด้านหลังอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งอาณาจักร พลางหรี่ตาลงและสบตากับรูปปั้น
เขาอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว แต่ผิวพรรณที่มีเลือดฝาด ผมสีดำ และรูปร่างที่ยังคงตั้งตรง ทำให้เขาดูมีอายุไม่เกินสี่สิบปี
“เกาจู่ ท่านก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่ง รวบรวมศูนย์กลางของโชคชะตา เลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง เมื่ออยู่ในจุดสูงสุด แม้แต่สำนักพ่อมดก็ทำได้เพียงกลั้นใจยอมรับ
“อู่จง ท่านโค่นเชื้อสายบรรพบุรุษที่เสื่อมโทรม ได้รับการยอมรับจากลัทธิขงจื๊อ ขึ้นครองบัลลังก์และกลายเป็นจักรพรรดิ ก้าวขึ้นสู่ขั้นหนึ่ง หลังจากลัทธิขงจื๊อรุ่งเรือง สำนักพุทธก็ทำได้เพียงกลับสู่ดินแดนประจิมทิศ
“ต้าฟ่งก่อตั้งมาหกร้อยปี นอกจากพวกท่านทั้งสอง ก็ไม่เคยมีการปรากฏตัวของยอดฝีมือขั้นหนึ่งอีก แต่ไม่ว่าช่วงที่มีชีวิตอยู่ พวกท่านจะแข็งแกร่งและเรืองอำนาจเพียงใด เมื่อตายไปแล้ว สุดท้ายก็เป็นแค่ดินกองหนึ่ง” ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งสงบนิ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “แต่ข้า จะเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งต้าฟ่งที่เป็นอมตะ อีกไม่ช้า อีกไม่ช้าแล้ว…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง