ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 461

สรุปบท บทที่ 461 กล้าหาญน่าสรรเสริญ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 461 กล้าหาญน่าสรรเสริญ – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 461 กล้าหาญน่าสรรเสริญ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 461 กล้าหาญน่าสรรเสริญ

เสียงแตรเขาสัตว์อันเยือกเย็นดังไปทั่วภูเขาและท้องทุ่ง ปลุกเมืองที่หลับใหลให้ตื่นฟื้น

ในฐานะแท่นบูชาหลักของสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซานมีประชากรเกือบห้าแสนคน ทั้งเมืองมีแต่ผู้ฝึกตนสายพ่อมดเดินขวักไขว่ไปทั่ว

ทหารอารักขาเพียงสองหมื่นห้าพันนายนั้นช่างอ่อนด้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับเมืองที่มีประชากรกว่าห้าแสนคน

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ากำลังพลของสำนักพ่อมดจะขาดแคลนแต่อย่างใด ทว่าเพราะไม่มีความจำเป็น

ที่นี่คือแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมด มีทั้งรูปเคารพของพ่อมด มีพ่อมดขั้นหนึ่ง มียอดฝีมือมากมายที่เข้าสู่ระบบสำนักพ่อมด อีกทั้งยังมีกองทหารขนาดใหญ่อีกด้วย

จึงไม่เป็นการกล่าวเกิดจริง หากจะบอกว่าความแข็งแกร่งกองทัพของเมืองจิ้งซานในภาพรวมนั้นมิได้ด้อยไปกว่าเมืองหลวงต้าฟ่งเลย

ทหารอารักขากว่าสองหมื่นรายที่ประจำในค่ายภายในเมืองรีบกรูออกไป ทหารม้าหกพันนาย ทหารราบหนึ่งหนึ่งหมื่นสี่พันนาย ไล่ตั้งแต่ระดับแม่ทัพจนถึงพลทหารทั้งหมดต่างงงเป็นไก่ตาแตก

ใครมันอาจหาญโจมตีเมืองจิ้งซาน?

ตลอดบันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่สำนักพ่อมดถือกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งโบราณกาล และสืบทอดสำนักต่อกันมา เมืองจิ้งซานก็ไม่เคยเผชิญสงครามเลย

ทหารสองหมื่นนายเดินไปตามเส้นทางเปิดโล่ง ข้ามยอดเขาจิ้งซานจนมาถึงชายทะเลที่ตลบอบอวลไปด้วยฝุ่นผง

จากนั้นลำแสงสีดำทะมึนก็พุ่งออกมาจากในเมือง ราวกับดาวหางที่อัดแน่น ข้ามผ่านยอดเขาจิ้งซาน มาลงจอดที่ชายฝั่ง

เหล่าพ่อมดนำโดยเจ้าเมืองน่าหลันเหยี่ยน ทอดสายตามองออกไป เห็นเรือรบขนาดใหญ่กว่ายี่สิบลำฝ่าคลื่นทะเลมาจากที่ที่ไกลออกไป

น่าหลันเหยี่ยนสูงแปดฟุต ใบหน้าครึ่งหนึ่งปกคลุมด้วยเคราหนา มีผมหยักศกสีน้ำตาลตามธรรมชาติ บำเพ็ญสายพ่อมดและทหารควบคู่กัน

เจ้าเมืองผู้นี้เป็นอยู่บนจุดสูงสุดของพ่อมดขั้นสี่ และจุดสูงสุดของทหารขั้นสี่ อีกเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็จะก้าวข้ามกำแพงกั้นระหว่างมนุษย์และเซียน และกลายเป็นยอดฝีมือขั้นสามที่มีอายุยืนยาว

น่าหลันเหยี่ยนยังมีอีกตัวตนหนึ่ง สำนักพ่อมดมีพ่อมดปราชญ์วิญญาณ (ขั้นสาม) สามคน และพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ (ขั้นหนึ่ง) อีกหนึ่งคน ปราชญ์วิญญาณสามคนเป็นราชครูแห่งสามอาณาจักรจิ้ง คัง และเหยียน ซึ่งมักจะไม่อยู่ที่แท่นบูชาหลักในวันธรรมดา

ส่วนพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่นั้นมัวแต่เลี้ยงแกะ ใช้ชีวิตปลีกวิเวกไม่สนใจใคร

เจ้าเมืองจิ้งซานเดิมทีเป็นเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองคนหนึ่ง ทว่าในระหว่างสงครามด่านซานไห่ เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองผู้นั้นถูกเว่ยเยวียนล่อลวงไปติดกับ และลงมือสังหารร่วมกับอรหันต์สำนักพุทธ

น่าหลันเหยี่ยนก็คือบุตรชายของเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองผู้นั้นนั่นเอง

อาทิตย์อรุณต้องผืนน้ำทะเลเป็นประกายระยับด้วยแสงสีทอง น่าหลันเหยี่ยนหรี่ตามองออกไป เมื่อเห็นคนในชุดสีดำที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือรางๆ ก็แสยะยิ้มเยือกเย็นทันที

นอกจากพ่อมดและทหารอารักขาแล้ว ยังมียอดฝีมือผู้มีตบะสูงต่ำต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ คือไม่ขาดแคลนยอดฝีมืออย่างแน่นอน ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงชายฝั่ง แต่กลับเฝ้ามองจากไกลๆ ไม่เข้าไปปะทะ

ทหารเป็นคนจรสำหรับเมืองจิ้งซาน หากใช้ภาษาต้าฟ่งมานิยาม ก็หมายถึงชาวยุทธ์

“นั่นมันเรือรบของต้าฟ่ง…”

“ที่หัวเรือนั่นคือเว่ยเยวียนสินะ สวมชุดสีดำเช่นนั้น ช่างสมกับตำนานเว่ยเยวียนเสียจริง”

“สมกับเป็นเทพสงครามจริงๆ เล่าลือกันว่าเขานำทัพต้าฟ่งไปเผชิญกับการต้านทานอย่างเหนียวแน่นจากแดนเหยียนกั๋ว…ใครจะไปคิดว่าเขาจะยกทัพบุกมาทางทะเลโต้งๆ เช่นนี้”

“แต่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ”

“เว่ยเยวียนเดินหมากได้ดี แต่สำนักพ่อมดอย่างเราไร้ซึ่งจุดอ่อน ต่อให้เจ้าเป็นเทพสงคราม ก็ทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น เรือรบยี่สิบลำนี่เห็นทีจะสูญสิ้นแล้ว”

สีหน้าของเหล่าชาวยุทธ์พูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย จนถึงขั้นหัวเราะออกมา การที่พวกเขาผ่อนคลายขนาดนี้ได้นั้นย่อมมีสาเหตุ

แท่นบูชาหลักสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซาน ติดกับผืนทะเลสุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบด้วยสามดินแดน เหยียน จิ้ง คัง กาลเวลาผันผ่านนับสหัสวรรษ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังจากที่ราบลุ่มตอนกลาง แดนเหนือ หรือสำนักพุทธที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวปัจจุบัน

เคยบุกทะลวงมาจนถึงแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดได้สักครั้งหรือไม่?

ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เพราะเหตุใด? เพราะไม่มีใครคิดจะสร้างเรือรบบุกมาทางทะเลหรือ?

เพราะ ‘เจ้าแห่งวัสสาน’ ต่างหาก!

บนหน้าผาของภูเขาจิ้งซาน พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่สวมเสื้อคลุมป่านและประคองลูกแกะอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่มองตามเรือรบที่กำลังแล่นผ่านไป

เสื้อคลุมป่านโบกพลิ้ว คลื่นพลังงานวาววับดั่งแก้วปั่นป่วนอยู่รอบตัวของเขา ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบยืดขยายออก

ดูเหมือนว่าเขากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินอย่างช้าๆ ซ่าหลุนอากู่ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

ลมหายใจนี้เป็นดั่งก้อนหิมะ ที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัว

ทันใดนั้น ลมกรรโชกพัดไปทางผืนทะเลอันเงียบสงบ ท้องฟ้าสดใสพลันมืดครึ้ม พร้อมด้วยฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฝนที่กระหน่ำลงมา

คลื่นขยายตัวทีละชั้น ดันตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในชั่วพริบตา ทะเลนอกชายฝั่งที่เคยราบเรียบก็ถูกพายุปกคลุม

เรือรบยี่สิบลำล้วนมีขนาดมหึมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับธรรมชาติอันทรงพลัง กลับดูบอบบางเล็กจ้อยราวกับเรือแจว บางจังหวะถูกพัดพาไปตามแรงคลื่น เรือรบทั้งลำลอยขึ้นสูงและร่วงลงมาอย่างแรง ตกกระทบผืนน้ำจนเกิดเป็นคลื่นสาดกระเซ็น

นอกจากพ่อมดและทหารอารักขาแล้ว ยังมียอดฝีมือผู้มีตบะสูงต่ำต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ คือไม่ขาดแคลนยอดฝีมืออย่างแน่นอน ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงชายฝั่ง แต่กลับเฝ้ามองจากไกลๆ ไม่เข้าไปปะทะ

ทหารเป็นคนจรสำหรับเมืองจิ้งซาน หากใช้ภาษาต้าฟ่งมานิยาม ก็หมายถึงชาวยุทธ์

“นั่นมันเรือรบของต้าฟ่ง…”

“ที่หัวเรือนั่นคือเว่ยเยวียนสินะ สวมชุดสีดำเช่นนั้น ช่างสมกับตำนานเว่ยเยวียนเสียจริง”

“สมกับเป็นเทพสงครามจริงๆ เล่าลือกันว่าเขานำทัพต้าฟ่งไปเผชิญกับการต้านทานอย่างเหนียวแน่นจากแดนเหยียนกั๋ว…ใครจะไปคิดว่าเขาจะยกทัพบุกมาทางทะเลโต้งๆ เช่นนี้”

“แต่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ”

“เว่ยเยวียนเดินหมากได้ดี แต่สำนักพ่อมดอย่างเราไร้ซึ่งจุดอ่อน ต่อให้เจ้าเป็นเทพสงคราม ก็ทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น เรือรบยี่สิบลำนี่เห็นทีจะสูญสิ้นแล้ว”

สีหน้าของเหล่าชาวยุทธ์พูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย จนถึงขั้นหัวเราะออกมา การที่พวกเขาผ่อนคลายขนาดนี้ได้นั้นย่อมมีสาเหตุ

แท่นบูชาหลักสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซาน ติดกับผืนทะเลสุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบด้วยสามดินแดน เหยียน จิ้ง คัง กาลเวลาผันผ่านนับสหัสวรรษ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังจากที่ราบลุ่มตอนกลาง แดนเหนือ หรือสำนักพุทธที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจวปัจจุบัน

เคยบุกทะลวงมาจนถึงแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดได้สักครั้งหรือไม่?

ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เพราะเหตุใด? เพราะไม่มีใครคิดจะสร้างเรือรบบุกมาทางทะเลหรือ?

เพราะ ‘เจ้าแห่งวัสสาน’ ต่างหาก!

บนหน้าผาของภูเขาจิ้งซาน พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ซ่าหลุนอากู่สวมเสื้อคลุมป่านและประคองลูกแกะอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่มองตามเรือรบที่กำลังแล่นผ่านไป

เสื้อคลุมป่านโบกพลิ้ว คลื่นพลังงานวาววับดั่งแก้วปั่นป่วนอยู่รอบตัวของเขา ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบยืดขยายออก

ดูเหมือนว่าเขากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินอย่างช้าๆ ซ่าหลุนอากู่ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

ลมหายใจนี้เป็นดั่งก้อนหิมะ ที่ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัว

ทันใดนั้น ลมกรรโชกพัดไปทางผืนทะเลอันเงียบสงบ ท้องฟ้าสดใสพลันมืดครึ้ม พร้อมด้วยฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฝนที่กระหน่ำลงมา

คลื่นขยายตัวทีละชั้น ดันตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในชั่วพริบตา ทะเลนอกชายฝั่งที่เคยราบเรียบก็ถูกพายุปกคลุม

เรือรบยี่สิบลำล้วนมีขนาดมหึมา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับธรรมชาติอันทรงพลัง กลับดูบอบบางเล็กจ้อยราวกับเรือแจว บางจังหวะถูกพัดพาไปตามแรงคลื่น เรือรบทั้งลำลอยขึ้นสูงและร่วงลงมาอย่างแรง ตกกระทบผืนน้ำจนเกิดเป็นคลื่นสาดกระเซ็น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง