ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 462

บทที่ 462 เจ็บหรือไม่ล่ะ

‘กร๊อบ!’

เสียงกระดูกคอที่แหลกละเอียดของอีเอ๋อร์ปู้ดังลั่น และในวินาทีนั้นเอง อีเอ๋อร์ปู้ก็หักนิ้วเองของตนเอง พร้อมทั้งหลอมรวมนิ้วมือที่หลุดออกมากับเลือดสดๆ กลายเป็นคาถาโลหิตบิดเร่า

คาถาโลหิตบิดเร่าโอบคลุมร่างของเว่ยเยวียน และแทรกซึมเข้าไปจากผิวหนังของเขา

นี่ไม่ใช่การโจมตีทางกายภาพ กระดูกเหล็กผิวทองแดงของทหารไม่อาจป้องกันได้ นี่คือวิชาสาปสังหารของพ่อมด

วิชาสาปสังหารแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ แบบแรกคือการนำเลือด เส้นผม หรือแม้แต่เสื้อผ้าและสิ่งของของเป้าหมายมาเป็นสื่อกลางในการสาปสังหาร

แต่เมื่อก้าวไปถึงขั้นสาม สามารถสาปแช่งได้โดยไม่ต้องใช้สื่อกลางใดๆ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก

อีกรูปแบบหนึ่งคือการสาปสังหารเป้าหมายโดยใช้เนื้อเลือดของตนเอง

เงื่อนไขของรูปแบบนี้คือศัตรูต้องเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าก่อน

คาถาสีเลือดกัดกร่อนจิตเดิมของเว่ยเยวียน สูบกินพลังปราณและโลหิตของเขา และทำให้เขาแน่นิ่งเป็นเวลาสั้นๆ แต่ในวินาทีต่อมา ผลด้านลบทั้งหมดก็ถูกทำลายโดยพลังปราณอันทรงของทหาร

แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับอีเอ๋อร์ปู้

เขาทุบอาวุธเวทมนตร์เข็มทิศ ร่างของเขาก็หายไปในทันที จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในอากาศห่างออกไปหลายร้อยฟุต เรียกนกผีออกมา กรงเล็บของมันเกาะบนไหล่ของเขาและบินหนีไปทางจิ้งซานอย่างรวดเร็ว

อีเอ๋อร์ปู้ที่บาดเจ็บอย่างหนัก เลือกที่จะอัญเชิญวิญญาณของสัตว์ประหลาดจำพวกนก เพื่อพาตนเองหนีไป

เลือดในกาของอีเอ๋อร์ปู้พุ่งกระฉูด รักษาอาการบาดเจ็บที่เรียกได้ว่าปางตายสำหรับเหล่าผู้บำเพ็ญระดับต่ำ

ทักษะการกระตุ้นปราณโลหิตของขั้นเก้าวิญญาณโลหิต เมื่อก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นคุณภาพก็จะก้าวกระโดดตาม ไม่ได้ด้อยไปกว่าการถอดร่างเกิดใหม่ของทหารแม้แต่น้อย ข้อแตกต่างอยู่ที่ฝ่ายแรกต้องใช้พลังวิญญาณมากกว่า

ส่วนทหารไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนมากมายในการถอดร่างเกิดใหม่ เพราะนี่คือ ‘พรสวรรค์’ ของทหารผู้เป็นอมตะ

ยอดฝีมือขั้นสามไม่อาจสังหารได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นระบบใด ยอดฝีมือขั้นสามก็ถือว่าเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปแล้ว

ทั้งสำนักพ่อมดและกองทัพต้าฟ่งบนชายฝั่ง และบนเรือรบ เมื่อเห็นฉากตรงหน้าต่างก็ตกตะลึงกันทั้งสิ้น

จางไคไท่รวมถึงฆ้องทองคำคนอื่นๆ ต่างร่ำไห้น้ำตานองหน้า นอกจากคนสนิทจำนวนน้อยนิดแล้ว ส่วนใหญ่มักจะไม่ทราบว่าเว่ยเยวียนเมื่อในอดีตนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขาเคยนำทัพเข้าสู่สงครามสยบคณะทูตปีศาจ เผ่าพันธุ์กู่ รวมถึงยอดฝีมือขั้นสูงสุดแห่งสำนักพ่อมดมาหลายสมรภูมิ เขาเป็นผู้คิดค้นแผนการทั้งหมด และให้ยอดฝีมือแห่งสำนักพุทธเป็นผู้ลงมือกระทำ

ในสมรภูมิที่ต้องปะทะกันตัวต่อตัว เขาจะคอยวางแผนกลยุทธ์ และแทบไม่ลงมือเองเลย

หลังจากสงครามด่านซานไห่สิ้นสุดลง เว่ยเยวียนก็สละทิ้งตบะของตนไปเสียดื้อๆ ราวกับเสือที่ถอดเขี้ยวเล็บของตนเอง เขายอมจำนนต่อท้องพระโรง และสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักในฐานะมนุษย์ธรรมดา

ไม่มีใครจดจำภาพของยอดทหารผู้นี้ได้อีก

ยี่สิบเอ็ดปีต่อมา ในที่สุดเขาก็แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์อันไร้เทียมทานอีกครั้ง

เหล่าทหารที่ไม่รู้ความจริง ต่างรู้สึกว่าสิ่งที่ตนรับรู้ในอดีตนั้นถูกล้มล้างจนสิ้น ทีแรกพวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ไม่นานความรู้สึกปีติก็ท่วมท้นในอกของพวกเขาราวกับกระแสน้ำที่พัดผ่านใต้ฝ่าเท้า

นี่แหละเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่

นี่แหละเทพสงครามแห่งต้าฟ่งของพวกเรา

ฝ่าฟันลมฝนพายุคลั่งมาถึงที่นี่ได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย

เมื่อเทียบกับเสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าพลทหารต้าฟ่ง ที่โลหิตเดือดพล่านด้วยความกระตือรือร้น ฝั่งกองทัพของสำนักพ่อมดนั้น ทั้งพ่อมดก็ดี หรือชาวยุทธ์ทั้งหลายก็ดี ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะทุกคน

ไม่ใช่เพียงเพราะผู้อาวุโสอีเอ๋อร์ปู้และพ่อมดปราชญ์วิญญาณต้องถอยร่นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และเป็นเพราะพวกเขามีลางสังหรณ์อยู่แล้วว่าศึกครั้งนี้จะเลวร้ายและน่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้

ความแข็งแกร่งโดยรวมของแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเมืองหลวงต้าฟ่งอย่างแน่นอน แม้ว่าเว่ยเยวียนจะสร้างชื่อเสียงคุณูปการจากสงครามด่านซานไห่ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะเป็นภัยคุกคามต่อเมืองจิ้งซานได้จริงๆ

อย่างมากที่สุดก็เท่ากับการถูกกัดเข้าที่เนื้อ ถึงจะเจ็บ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ทนไม่ได้

กองทัพต้าฟ่งบุกทะลวงอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่มียอดฝีมือขั้นสูงสุดแม้แต่คนเดียว แบบนี้จะคุกคามแท่นบูชาหลักแห่งสำนักพ่อมดได้อย่างไร

ทว่าตอนนี้เทพสงครามแห่งต้าฟ่งผู้นี้ ยังเป็นผู้แข็งวแกร่งระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย

นกยักษ์ร่างเสมือนคว้าร่างของอีเอ๋อร์ปู้บินข้ามผืนทะเล ภูเขาพงไพร และร่อนลงบริเวณหน้าผา ข้างกายซ่าหลุนอากู่ พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่

ในตอนนี้เอง ในที่สุดราชครูแห่งคังกั๋ว อูต๋าเป๋าถ่าก็ขี่ลำแสงสีดำ พุ่งตรงไปยังยอดเขาอย่างแน่วแน่

นอกจากราชครูแห่งจิ้งกั๋วที่กำลังต่อสู้กับจู๋จิ่วอยู่ที่แดนเหนือ ไม่อาจเดินทางกลับมาได้ ยอดพ่อมดแห่งสำนักพ่อมดต่างก็มารวมตัวกันแล้ว

นี่ทำให้เหล่าพ่อมดและทหารอารักขาที่หลบหนีจากวิถีปืนใหญ่กันจ้าละหวั่นรู้สึกโล่งอก พวกชาวยุทธ์จากแดนตะวันออกเฉียงเหนือเองก็คลายความกังวลลงไปไม่น้อย

เว่ยเยวียนสั่งการจากบนเรือรบ “บุกเข้าไปยังเมืองจิ้งซาน สังหารให้สิ้นซาก!”

ฆ่าล้างเมือง

สงครามเป็นการสั่นคลอนโชคชะตา การเข่นฆ่าทำให้โชคชะตาอ่อนแอลง

“สังหารให้สิ้นซาก!”

“สังหารให้สิ้นซาก!”

“สังหารให้สิ้นซาก…”

เสียงคำรามของทหาร าฟ่งก้องกังวานไปทั่วท้องทะเล ทรงพลังราวกับสายรุ้ง

นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักพ่อมด เมืองจิ้งซานไม่เคยถูกกองทัพใหญ่บุกทะลวงมาถึงที่นี่ นับประสาอะไรกับการสังหารล้างเมือง

พวกเขาจะสร้างจุดเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์!

ประกาศศักดาแห่งต้าฟ่งจากที่ราบตอนกลาง

เรือรบจอดเทียบท่าช้าๆ ไม้กระดานอันหนักและหนาทอดลงสู่ชายหาด ทหารราบพร้อมด้วยดาบ หน้าไม้ และปืนไฟในมือ พุ่งทะยานออกไปเป็นด่านหน้า เข้าคุ้มกันพื้นที่โดยรอบ

จากนั้นทหารม้าก็ขี่ม้าห้อตะบึงลงจากเรือ

ท้ายสุดเป็นพลปืนใหญ่ซึ่งผลักปืนใหญ่และหน้าไม้ลงจากเรือตามไม้กระดาน

ฟิ่ว ฟิ่ว ฟิ่ว…

ทันทีที่กองทัพต้าฟ่งเทียบท่า พลธนูที่ถูกซุ่มซ่อนในแนวป่าเขาก็เปิดฉากโจมตีทันที

ตามมาด้วยเสียง ‘ติ๊ง ติ๊ง’ ลูกธนูส่วนใหญ่ถูกโล่เหล็กเนื้อดีกำบังไว้ได้ มีเพียงลูกธนูที่ยอดฝีมือยิงออกมาเท่านั้นที่ทะลุทะลวงโล่ และคร่าชีวิตของเหล่าทหารคนแล้วคนเล่า

ฆ้องทองคำจางไคไท่ดีดนิ้วโป้งหนึ่งที กระบี่ยาวก็ออกมาจากฝักพร้อมส่งเสียงดัง เขากวัดแกว่งกระบี่จนเกิดแสงเจิดจ้า ตัดลูกธนูที่กระหน่ำลงมาราวกับห่าฝน

เขาหายตัวไปจากจากจุดที่เขาอยู่ทันที จากนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากแนวป่าใกล้กับชายหาด

ฉู่หยวนเจิ่น ยอดฝีมือขั้นสี่ผู้ไร้ซึ่งความรู้สึก เปิดฉากสังหารราวกับหมาป่าที่เข้าไปในฝูงแกะ

ยอดฝีมือแห่งต้าฟ่งทยอยบุกทะลวงแนวป่า เพื่อซื้อเวลาให้กองทัพยกพลขึ้นบก

สงครามเริ่มต้นจากชายฝั่ง ลุกลามไปยังเขาจิ้งซาน และแพร่กระจายไปยังแท่นบูชาหลักในเมืองจิ้งซานซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป

ซ่าหลุนอากู่ทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ประสบกับคนชุดสีดำที่ลอยคว้างกลางอากาศ เขาลูบขนลูกแกะไปพลาง กล่าวด้วยรอยยิ้มไปพลาง

“ยี่สิบปีที่แล้ว ข้าเคยยืนกรานว่าอีกยี่สิบปีให้หลัง ต้าฟ่งจะสร้างทหารที่กล้าแกร่งที่สุดในโลกขึ้นมา ข้านั้นคิดว่าอายุขัยในการเป็นวีรบุรุษของเจ้าช่างแสนสั้น แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคมในฝักมาโดยตลอด ไหนแสดงให้ข้าได้เห็นซิ เจ้าเป็นขั้นสอง หรือขั้นหนึ่ง

“อีเอ๋อร์ปู้ อูต๋าเป๋าถ่า พวกเจ้าสองคนลองทดสอบเขา”

พ่อมดขั้นสามทั้งสองคนจากสำนักพ่อมดไร้ซึ่งความหวาดกลัวและลังเล ต่างคนต่างอัญเชิญวิญญาณวีรุบุรุษออกมาหนึ่งคน อีเอ๋อร์ปู้อัญเชิญวิญญาณทหารที่อัญเชิญมาก่อนหน้านั้นออกมา เขาช่วงชิงพลังของวิญญาณวีรุบุรุษผู้นั้น และกลายร่างเป็นคนยักษ์

บนยอดศีรษะของอูต๋าเป๋าถ่า มีพระภิกษุรูปหนึ่งท่าทางดุร้าย ร่างกำยำ หัวโล้น กล้ามแน่น ระดับเพชรสำนักพุทธ

พ่อมดทุกคนพยายามฆ่าปรมาจารย์ของระบบใหญ่ๆ ให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างเหตุต้นผลกรรม และด้วยเหตุนี้จึงสามารถอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษของอีกฝ่ายออกมาได้

นี่เป็นการเสริมสร้างกลยุทธ์ในการต่อกรกับศัตรูของพวกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แตกต่างกันไป ก็จะอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษจากระบบต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันออกมาควบคุมอีกฝ่าย

แต่ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเป็นทหาร เหล่าพ่อมดก็จะอัญเชิญวิญญาณทหารออกมาอย่างเฉียบขาด ไม่ลังเล

มีเพียงทหารเท่านั้นที่จะเอาชนะทหารด้วยกันได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง