บทที่ 463 ไพ่ลับของเว่ยเยวียน
ดาบสลักแทงเข้าไปในหัวใจ ซ่าหลุนอากู่ยากจะสะกดกลั้นเสียงร้องคำรามออกมา ราวกับเขากำลังทุกข์ทรมานจากไฟนรก เสียงของเขาโหยหวนและอ้างว้าง
“ด้วยความรอบคอบปราดเปรื่องของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนทำสงครามก็ต้องทำนายให้ตนเองก่อนว่าจะโชคดีหรือไม่ ใช่ไหม หากมิใช่เพราะท่านโหราจารย์ช่วยข้าปิดกั้นดาบสลักและปกปิดความลับของสวรรค์ให้ ก็แทบจะลอบวางแผนต่อกรกับพ่อมดไม่ได้เลย โหรออกจากสายพ่อมด จึงมีเพียงโหรเท่านั้นที่สามารถจัดการกับวิชาทำนายของพ่อมดได้ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านโหราจารย์ คงยากที่จะเอาชนะพวกเจ้า”
ดาบสลักของเว่ยเยวียนเคลื่อนเข้าสู่หัวใจของซ่าหลุนอากู่ทีละนิดๆ ทำให้พลังวิญญาณของเขาไหลทะลักออกมา จนการทำงานของร่างกายถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วภายใต้การกัดกร่อนของดาบสลัก
เพียงไม่กี่อึดใจ ซ่าหลุนอากู่ก็ดูแก่ชราลงไปถึงยี่สิบปี ร่างกายราวกับต้นไม้เหี่ยวเฉา และสามารถ ‘จบชีวิต’ ได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์พลิกผันกะทันหัน ทำให้สีหน้าของปราชญ์วิญญาณขั้นสามสองคนเปลี่ยนไปทันใด พวกเขามีวิธีการรับมือเรื่องนี้อย่างรู้ใจกัน ฝ่ามือทั้งสองข้างของแต่ละคนเล็งจ่อไปยังซ่าหลุนอากู่และเว่ยเยวียน
แสงสีแดงที่ฝ่ามือด้านซ้ายกระตุ้นพลังชีวิตของซ่าหลุนอากู่ ต้านทานการกัดกร่อนจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนฝ่ามือขวาก็สาดวิชาสาปสังหารใส่เว่ยเยวียน
‘ฮึ่ม!’
เว่ยเยวียนเหยียดฝ่ามือซ้ายออกแล้วกำรอบคอของพ่อมดใหญ่ ในขณะที่มือขวาของเขาดึงดาบสลักออกมาแล้วแทงไปที่ข้างศีรษะของซ่าหลุนอากู่
เขาใช้พลังของดาบสลักมากลืนกินพลังร่างกายให้ไม่อาจต้านทานใด แล้วค่อยใช้ดาบสลักมาทำลายจิตเดิมของอีกฝ่าย เพื่อทำให้วิญญาณพ่อมดขั้นหนึ่งผู้นี้แตกสลายไปอย่างสมบูรณ์
แต่ในตอนนี้เอง ประกายดาบก็สว่างวาบ
‘ฉึบ!’
เลือดสาดกระเซ็น เว่ยเยวียนมองแขนของตนถูกตัดออกไปด้วยความตกตะลึง โลหิตพุ่งออกมาราวกับตาน้ำพุ
แขนถูกตัดไปพร้อมกับดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
นี่คือแขนที่มีแสงสีทองและสีดำสอดประสานกัน มันยื่นออกมาจากหว่างคิ้วของซ่าหลุนอากู่
เว่ยเยวียนขมวดคิ้ว เขาเว้นระยะห่างออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่กับที่และจ้องไปยังซ่าหลุนอากู่
‘แกร่ก…’ เนื้อพัวพันกันและบิดตัวไปมา กระดูกงอกขึ้นและเกิดเป็นแขนข้างใหม่หนึ่งข้าง
‘เฮ้อ!’ เว่ยเยวียนถอนหายใจ แสงเทวะหุ้มกายเข้ามาปกคลุมร่างของเขาอีกครั้งจนเกิดเป็นภาวะกระดูกเหล็กผิวทองแดง
เมื่อกี้ที่แขนของเขาถูกตัดไปนั้นไม่ใช่เพราะการป้องกันของเขาไม่แข็งแกร่งพอ แรกเริ่มเขาแสดงให้ศัตรูเห็นว่าเขาอ่อนแอและทำให้พ่อมดระดับสูงสามคนนั้นใช้วิชาสาปสังหารที่สังเวยด้วยโลหิต เว่ยเยวียนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที แต่จอมยุทธ์นั้นมีร่างกายเป็นพลัง
จากนั้นเขาก็คว้าโอกาสได้ เขาใช้ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์โจมตีใส่พ่อมดใหญ่ซ่าหลุนอากู่โดยไม่ทันตั้งตัว
การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ต้องแสดงให้เห็นว่าตนอ่อนแอ แต่ต้องคว้าโอกาสที่อาจหายไปได้ในชั่วพริบตาไว้ให้มั่นด้วย ไม่อย่างนั้นเว่ยเยวียนคงไม่อาจฟื้นฟูกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้ง่ายๆ
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีแผนลับ
ภายในร่างของซ่าหลุนอากู่มีชายในชุดคลุมมังกรค่อยๆ โผล่ออกมา ใบหน้าตั้งตรง คิ้วหนาเล็กน้อย ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยความชั่วร้ายล้ำลึก
เมื่อมองดูดีๆ แล้ว ร่างกายของชายในชุดคลุมมังกรผู้นี้ช่างดูไร้ที่ติราวกับหยก ประกายสีทองและแสงสีนิลพัวพันกันอยู่บนร่างของเขา ทั้งดูศักดิ์สิทธิ์และชั่วร้าย
เทพเจ้าหยาง!
จักรพรรดิองค์ก่อน เจินเต๋อ!
“รู้อยู่ว่าเว่ยเยวียนเก่งกาจด้านการวางแผน ถึงกับกล้าบุกมาถึงเมืองจิ้งซานเช่นนี้คงมีแผนอยู่แล้วเป็นแน่ เจ้ากับข้าเล่นกันมานานแล้ว พวกเรามิใช่ว่าอยากเห็นไพ่ลับของอีกฝ่ายหรอกหรือ”
ซ่าหลุนอากู่กล่าวพลางยิ้มพราย “ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใช้ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ จิ๊ๆ เว่ยเยวียน เจ้านี่ช่างเป็นคนที่มีจิตใจทำเพื่อปวงประชาจริงๆ”
โลหิตในกายของเขาส่องประกาย เลือดเนื้อบนอกของเขาบิดเบี้ยว เพียงชั่วพริบตาก็ฟื้นกลับมาเป็นดังเดิม รอยยับย่นบนผิวหนังก็จางลงเช่นกัน
ทว่าถึงอย่างไรกลิ่นอายของพ่อมดใหญ่ขั้นหนึ่งก็อ่อนแอลงไปมากแล้ว
เช่นเดียวกับปราณและโลหิตของเว่ยเยวียน ตอนนี้ได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดของขั้นสามเสียแล้ว
‘แกร่ก แกร่ก…’
กระดูกแตกเป็นเสี่ยง เลือดเนื้อหดตัวแหลกเป็นชิ้นๆ ชายในชุดคลุมมังกรเปลี่ยนแขนของเว่ยเยวียนให้กลายเป็นปราณโลหิตบริสุทธิ์ จากนั้นก็อ้าปากแล้วกลืนลงไปในร่าง
“รสชาติไม่เลว ปราณโลหิตของเจ้านี่ไม่เลวเลย”
ชายในชุดคลุมมังกรยิ้มพลางถือดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ ของเหลวเหนียวหนืดเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกแห่งความชั่วช้าไหลออกมากัดเซาะดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ทีละนิดๆ จนชะล้างจิตวิญญาณของมันออกไป
เหมือนกับที่จิตวิญญาณของดาบสยบดินแดนเปื้อนมลทินชั่วคราวเพราะผู้นำเต๋านิกายปฐพี
เว่ยเยวียนมองเขาอย่างล้ำลึก คล้ายเศร้า คล้ายผิดหวัง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา “ที่แท้ก็เป็นท่าน เป็นท่านจริงๆ!”
จักรพรรดิเจินเต๋อแค่นเสียงหยัน มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าสะพรึง ก่อนเหลือบมองดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีของเหลวสีดำเข้มข้นปกคลุมอยู่เล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า
“ข้าต้องการเวลามาผนึกมัน เจ้าก็ต้องการเวลาฟื้นฟู เห็นแก่มิตรภาพยี่สิบกว่าปีของจักรพรรดิและขุนนาง เจ้ามีอะไรอยากถามก็ถามมาเถิด”
ซ่าหลุนอากู่ไม่ได้คัดค้าน อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงกว่าเว่ยเยวียนนัก
“องค์กรค้ามนุษย์ที่ควบคุมโดยผิงหย่วนป๋อ มีท่านอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่” เว่ยเยวียนกล่าว
จักรพรรดิเจินเต๋อพยักหน้าแล้วเยาะยิ้ม “เจ้าอ้างว่าทำเพื่อชาติและประชาชน แต่หากเจ้าไม่ได้กดดันผิงหย่วนป๋อ ข้าก็คงไม่หาทางกำจัดเขา และคดีล้างเมืองฉู่โจวก็คงจะไม่เกิดขึ้นด้วย”
“จากนั้นท่านจึงยอมทนกลืนกินชีวิตบริสุทธิ์ของประชาชนต่อไป?”
เว่ยเยวียนหยิบขวดลายครามชิ้นหนึ่งออกมาอย่างไม่ยี่หระ เขาโยนจุกไม้ออกไปแล้วเทยาอายุวัฒนะเสริมปราณมาใช้จนหมด
ผ่านไปพักหนึ่ง สีหน้าของเขาก็ฟื้นกลับมาแดงก่ำแล้วพูดพลางถอนหายใจ “ท่านกลายมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
ชายในชุดคลุมมังกรยิ้มอย่างร้ายกาจและกล่าวว่า “รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก ผู้นำเต๋านิกายปฐพีทำให้ข้าเปื้อนมลทิน”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็มองดูไฟสงครามที่กระจายอยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ร่างกายของข้าไม่สู้ดีมาเสมอ ยาครอบจักรวาลที่ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตและเลือดเนื้อได้ สำหรับข้าแล้ว มันกลับไม่ได้ให้ผลลัพธ์อะไรนัก จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมีโชคชะตาติดกาย ถึงจะมีชีวิตอยู่ได้นาน แต่ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้นานแล้ว
เมื่อก่อนข้าไม่รู้สึกว่ามีชีวิตยืนยาวแล้วเป็นเรื่องดีอะไร เกิดแก่เจ็บตาย ล้วนเป็นไปตามกฎของฟ้าดิน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ข้าก็เริ่มหวาดกลัวความตายและปรารถนาชีวิตยืนยาว แต่ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่อาจต่อต้านกฎฟ้าดิน แล้วนับประสาอะไรกับข้า
จนกระทั่งในรัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็ทำให้ข้าเปื้อนมลทิน เขาบอกข้าว่าจักรพรรดิในโลกมนุษย์ไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้ แม้จะฝึกตนจนสูงเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนผลลัพธ์เช่นนี้ แต่เขาสามารถทำให้ข้ามีชีวิตได้ยาวยิ่งกว่านั้น ยืนยาวยิ่งกว่าจักรพรรดิทั่วๆ ไป ตอนนั้นร่างกายของข้าก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ข้าทนต่อการล่อลวงของเขาไม่ได้จึงตอบตกลง”
เว่ยเยวียนหรี่ตาลงแล้วเอ่ย “ดังนั้นในรัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก ท่านจึงสังหารไหวอ๋อง”
สีหน้าของจักรพรรดิเจินเต๋อมีแต่ความชั่วร้ายขั้นสุด เขาส่ายหน้า
“ไม่ใช่ มันคือการดูดกลืน ข้าหลอมดวงวิญญาณของเขาและได้รับความทรงจำของเขามา เขาเป็นข้า และข้าก็เป็นเขา นี่คือหนึ่งในความลึกลับของไตรวิสุทธิเทพหลอมหนึ่งปราณ หากทำแค่ช่วงชิง กายเนื้อและจิตเดิมก็ไม่อาจเข้ากันได้และจะมีปัญหาตามมาไม่รู้จบ นั่นเท่ากับเป็นการตัดเส้นทางการฝึกตน แล้วข้าจะทำเรื่องตัดทางเจริญของตัวเองได้อย่างไรเล่า
แต่น่าเสียดายที่ข้ามิใช่คนในลัทธิเต๋าสายตรง แม้จะมีผู้นำเต๋านิกายปฐพีช่วยเหลือข้า และพยายามหลอมจิตเดิมของไหวอ๋องแล้ว แต่ร่างกายและวิญญาณหลักของข้าก็ยังไม่สมบูรณ์”
หากปราศจากความช่วยเหลือของผู้นำเต๋านิกายปฐพีขั้นสองผู้นั้น เขาก็ไม่มีทางใช้วิชาไตรวิสุทธิเทพหลอมหนึ่งปราณได้
เว่ยเยวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วหยวนจิ่งล่ะ หยวนจิ่งก็ถูกท่านกลืนกินไปในตอนนั้นด้วยหรือ”
จักรพรรดิเจินเต๋อส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า
“พวกเขาสองพี่น้องควรจะหลอมรวมกับข้าในตอนนั้น แต่ข้าเคยบอกแล้วว่าหลังจากหลอมดวงวิญญาณของไหวอ๋อง วิญญาณหลักของข้าก็ไม่อาจซ่อมแซมดวงวิญญาณส่วนที่หลุดออกไปได้ จนทำให้ไม่สมบูรณ์ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะไปกลืนกินหยวนจิ่งอีกได้อย่างไร ก็เลยได้แต่ต้องเปลี่ยนแผนให้ผู้นำเต๋านิกายปฐพีใช้วิชาวิญญาณหลงของลัทธิเต๋ามาลบความทรงจำช่วงนั้นของหยวนจิ่งไป จากนั้นจึงฝังเมล็ดพันธุ์จิตมารไว้ในสายธารแห่งปัญญาของเขา
ส่วนข้า หลังจากที่เตรียมการทั้งหมดแล้วก็สละราชบัลลังก์ และซ่อนตัวอยู่ในชีพจรมังกรใต้ดินที่เปิดออก ที่นั่นคือสถานที่เดียวที่ข้าจะหลุดรอดจากสายตาของท่านโหราจารย์ได้ ข้าหลับใหลอย่างเงียบๆ และรอคอยโอกาส โอกาสที่จะได้หลอมรวมหยวนจิ่ง
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายคือ หยวนจิ่งถือเอาข้าเป็นบทเรียน และไม่ให้อำนาจแก่สมุหราชเลขาธิการอีก เขาชั่งน้ำหนักฝ่ายต่างๆ เท่ากันและพยายามควบคุมทุกพรรคทุกฝ่าย ความแข็งแกร่งของพลังแห่งอาณาจักรต้าฟ่งจึงเฟื่องฟูขึ้นทุกวัน เมื่อมีโชคชะตาติดกายอยู่ ข้าก็ไม่มีโอกาสกลืนกินเขา จนกระทั่งเจ้าโผล่ออกมา…”
เว่ยเยวียนตกตะลึง
“เจ้าลืมแล้วหรือ”
จักรพรรดิเจินเต๋อจ้องมองเว่ยเยวียน รอยโค้งที่มุมปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“รัชศกหยวนจิ่งปีที่หก แม่ทัพตู๋กูแห่งแดนเหนือถึงแก่กรรม เจ้าเป็นคนนำทหารไปปราบปรามกองทัพเผ่าอนารยชนด้วยตัวเอง จากนั้นเพียงคนเดียวก็ทำให้ทั้งสมรภูมิตกตะลึง เจ้าคงอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเจ้าถึงเพิ่งได้นำทัพออกรบล่ะสิ”
แววตาของเว่ยเยวียนขยายกว้างทันใด ราวกับถูกฟ้าผ่า
“ฮ่าๆๆๆ…” จักรพรรดิเจินเต๋อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮองเฮาต้าฟ่งผู้สง่างาม ฮองเฮาผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน กลับอยู่กินกับขันทีในวัง แล้วขันทีผู้นั้นก็ยังเป็นคู่รักวัยเยาว์ก่อนเข้าวังของตนอีกด้วย จะมีชายใดสามารถต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้เล่า แล้วนับประสาอะไรกับจักรพรรดิที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างหยวนจิ่ง”
เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะสะใจจนงอหน้างอหลัง
“ตั้งแต่นั้นมา ในที่สุดจิตมารในสายธารแห่งปัญญาของหยวนจิ่งก็ฟื้นฟูขึ้นแล้วค่อยๆ กัดกินเขาอย่างช้าๆ จนเขาแปดเปื้อน สาเหตุที่หยวนจิ่งยังไม่สังหารเจ้ากับฮองเฮาในตอนนั้นก็เพราะได้รับอิทธิพลจากจิตมารจนกลายเป็นคนเยือกเย็นเจ้าเล่ห์ หลังจากเข้าใจเรื่องอดีตของเจ้ากับฮองเฮา เขาก็เปลี่ยนความคิด โดยคิดจะยืมมือฮองเฮามาควบคุมเจ้า
จากนั้นยุทธการที่ด่านซานไห่ก็มาถึง การต่อสู้ครั้งนั้นสั่นคลอนทั่วทั้งแผ่นดินต้าฟ่ง และในตอนท้ายของยุทธการด่านซานไห่ ข้าก็อาศัยโอกาสนั้นมาหลอมรวมหยวนจิ่งและเข้าแทนที่
หลังจากเข้าแทนที่หยวนจิ่ง ข้าก็หลาบจำต่อความเจ็บปวด โดยไม่คิดแตะต้องอิสตรีและอุทิศตนให้กับการบำเพ็ญเต๋า ทางหนึ่งปรุงยาหาเหยื่อ อีกทางก็ให้ผิงหย่วนป๋อปล้นฆ่าประชาชนต่อไป หลังจากผ่านไปกว่าสี่สิบปี ในที่สุดก็ปลูกฝังเทพเจ้าหยางสำเร็จ และเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากของขั้นสอง เว่ยเยวียน เจ้าว่าข้าต้องขอบคุณเจ้าดีหรือไม่”
หยวนจิ่งตัวจริงหายไปตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้วแล้ว
“จริงสิ ข้าแอบบอกความลับให้เจ้าฟังอย่างหนึ่งได้นะ ปีนั้นคนที่แอบเปิดเผยความสัมพันธ์ของเจ้ากับฮองเฮาให้หยวนจิ่งฟังก็คือพระมารดาขององค์รัชทายาท เฉินกุ้ยเฟยอย่างไรเล่า” จักรพรรดิเจินเต๋อโยนระเบิดลูกใหญ่มาอีกลูก
เฉินกุ้ยเฟย…เว่ยเยวียนนิ่งเงียบไปนาน “ผู้นำเต๋านิกายปฐพีพยายามช่วยเหลือท่านอย่างลำบากเช่นนี้ เพราะมีจุดประสงค์ใดกัน”
จักรพรรดิเจินเต๋อแค่นยิ้ม “ตอนนั้นผู้นำเต๋านิกายปฐพีมีแนวโน้มจะตกสู่ทางมารแล้ว แต่จิตดียังแข็งแกร่งกว่าจิตมารจึงสะกดกลั้นเอาไว้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตนถูกหลอมรวมหรือขจัดออกไป จิตมารจึงคิดวิธีได้อย่างหนึ่ง
“วันนั้นที่มีการปาฐกถาเต๋า จิตมารสัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตยืนยาวของข้า จึงลอบทำให้ข้าแปดเปื้อนอย่างเงียบๆ แล้วขยายความปรารถนาของข้าที่มีต่ออายุยืนยาว จากนั้นก็ในวันหนึ่ง เขาก็ชิงโอกาสเข้าครองร่างกายข้าชั่วคราว เขาร่ายมนตร์ใส่ข้าและวางแผนลับทั้งหมดกับข้า
หลังจากนั้น ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็กลับไปกักตนที่นิกาย จิตดีและจิตมารพัวพันต่อสู้กันนานถึงสี่สิบวัน หลังจากผ่านไปสี่สิบวัน ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็ตกสู่ทางมาร จิตเดิมแตกซ่าน จิตดีหลุดรอดออกมาด้วยลมหายใจเพียงน้อยนิด เจ้าลองตรองดูสิ”
เว่ยเยวียนหยิบขวดกระเบื้องออกมาอีกครั้งแล้วกินยายาอายุวัฒนะลงไป เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ร่ายมนตร์ให้จักรพรรดิมีอายุยืนยาวและกลืนกินบุตรของตนเอง สี่สิบปีมานี้ ประชาชนต้องดิ้นรน พลังแห่งอาณาจักรก็หลั่งไหลดุจสายน้ำ และนำไปสู่ผลเสียอย่างเลี่ยงไม่ได้…ดังนั้นสี่สิบปีต่อมา ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็ได้ตกสู่ทางมารอย่างสมบูรณ์ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อท่านใช้ไตรวิสุทธิเทพหลอมหนึ่งปราณจนมีระดับการฝึกตนเช่นปัจจุบัน และชีวิตก็ยังยืนยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังเป็นจักรพรรดิแห่งโลกมนุษย์นี่ ท่านจะอยู่ยืนยาวได้อย่างไร”
แววตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของจักรพรรดิเจินเต๋อกวาดมองดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง